เรื่องราวของไรก็ได้ ตอนที่ 11
[แปลโดยแฟนเพจ ยักษาแปร มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอน แต่จะราคาแพงที่สุด]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ100คน ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบไม่มีการแก้คำผิด และยิบย่อยมากมาย ไปนั่นแหละ]
<เรื่องราวของไรก็ได้ ตอนที่ 11>
***********
“ว้าว! นี่มันคอลเลคชั่นรูปปั้นม้าศึกในฝันของนายท่านเลยนี่!”
นิฮาคุวิ่งเข้ามาพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย
แล้วเธอก็เริ่มหยิบรูปปั้นม้าศึกขึ้นมาจากชั้นวางแล้วพลิกดูไปมาอย่างไม่ระมัดระวัง
‘ถ้าทำแบบนั้นมันจะพังเอานะ….’
ไรก็ได้ได้แต่คิดในใจ ไม่กล้าพูดออกมา
เพราะว่าทั้งเซริส นิฮาคุ และฮีโร่ทั้ง 5 คนนั้นต่างก็ให้ความสนใจกับชั้นวางของ
“นายท่านไปเห็นคุณค่าอะไรในรูปปั้นม้าธรรมดาๆ พวกนี้กันนะ?”
รีเจียนจ้องไปที่ดวงตาของรูปปั้นม้าศึก
ความรู้สึกนั้น…ราวกับกำลังจ้องตากับม้าจริงๆเลย
“บางทีมันอาจจะมีความหมายมากกว่าที่เห็นก็ได้นะคะ?”
ยูเน็ตยิ้มอย่างมีเลศนัย
ส่วนเซริสหลับตาลงครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“เอ๊ะ ไม่รู้อ่ะ น่าเบื่อชะมัด! นึกว่ากดท้องแล้วจะมีเพลงออกมาซะอีก หรือไม่ก็พวกมันแปลงร่างเป็นหุ่นยนต์ได้ ถ้าทำแบบนี้แล้ว….”
“ไม่ได้นะ!”
ไรก็ได้รีบคว้ามือของนิฮาคุที่กำลังจะบิดคอม้า
“อันนี้เพิ่งทำเสร็จเมื่อไม่นานมานี้นะ….”
“หา? ไม่ใช่ว่าเอาม้ามาประกบกันแล้วจะกลายเป็นหุ่นยนต์เหรอ?”
“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก….”
“มันไม่มีลูกเล่นอะไรเลยเหรอ? แบบว่ายิงเลเซอร์จากตาได้ อะไรแบบนี้”
“มันก็แค่รูปปั้นธรรมดาๆ น่ะ….”
“ถ้างั้นทำไมนายท่านถึงชอบรูปปั้นพวกนี้จัง?”
“เอ่อ….”
ไรก็ได้ตอบไม่ได้
เธอได้แต่พูดว่าฮานชอบรูปปั้นม้าศึกนี้มาตั้งแต่แรก
คนเราก็มีรสนิยมต่างกันไป
‘แต่มันก็แค่รูปปั้นม้าธรรมดาๆ นี่นา’
ใช่แล้ว
ไม่มีอะไรพิเศษ
ไม่สามารถยิงเลเซอร์จากตา หรือแปลงร่างเป็นหุ่นยนต์ก็ไม่ได้
เป็นแค่รูปปั้นไม้ธรรมดาๆ ที่เอาไปวางขายในร้านของเล่นก็คงมีแต่ฝุ่นจับ
รูปปั้นม้าศึกที่เรียบง่ายพวกนี้วางเรียงรายอยู่เต็มชั้นวาง
“ไม่มีอะไรจริงๆ เหรอ?”
“อืม….”
“เซ็งเลย! หมดสนุกแล้ว ไปดื่มโค้กซีโร่ในตู้เย็นดีกว่า”
นิฮาคุเดินออกจากห้องเก็บของไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เหลือเพียงรีเจียนที่ยังคงจ้องมองรูปปั้นม้าศึกอย่างตั้งใจ เซริสที่ยังคงครุ่นคิด และยูเน็ตกับอารอนที่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ
“ดูยังไงก็ไม่เข้าใจ”
รีเจียนพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่เห็นมีศิลปะพิเศษอะไรเลย เทคนิคการทำก็งั้นๆ วัสดุก็ไม่ได้พิเศษอะไร แค่รูปปั้นบ้านๆ ที่หาได้ทั่วไป…. โอ๊ย! ทำบ้าอะไรเนี่ย?”
“เสียมารยาทต่อนายท่านไรก็ได้นะครับคุณรีเจียน”
“ฉันแค่พูดความจริง”
“เอาล่ะ ห้องเก็บของมันแคบ ไปที่ห้องนั่งเล่นกันเถอะ ยังมีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะเลย”
“แต่ฉันยังดู….”
“ไปกันเถอะค่ะ อารอนป่ะ”
“ครับ”
“แต่ฉันยังไม่ไขความลับของรูปปั้นม้าศึกเลยนะ!”
“ลากออกไปเลย”
“ครับ”
ยูเน็ต รีเจียน และอารอนเดินออกจากห้องเก็บของไป
เหลือเพียงเซริสที่ลืมตาขึ้นแล้วมองไปที่ชั้นวางด้วยสายตาจริงจัง
“ฉันมั่นใจ”
เซริสพูด
“รูปปั้นที่เธอทำพวกนี้นายท่านต้องชอบแน่ๆ”
“ขะ ขอบคุณค่ะ”
นี่เซริสกำลังชมใช่มั้ย?
จริงๆ แล้วไรก็ได้ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรเป็นพิเศษตอนที่เริ่มแกะสลัก
เธอแค่อยากรำลึกถึงความทรงจำเก่าๆ
หลังจากที่เกมพิกมีอัพปิดตัวลง
ความสุขเดียวในชีวิตของเธอก็หายไป
ในชีวิตประจำวันที่แสนหม่นหมอง เกมพิกมีอัพคือสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่และเป็นแรงผลักดันให้เธอ
ใครจะว่าเธอติดเกมก็ช่าง
เหล่าฮีโร่ในเกมนั้นมีชีวิตจริงๆ สำหรับเธอ
ในชีวิตที่น่าเบื่อและจำเจ เกมนั้นเป็นเหมือนแสงสีสันสดใส
พิกมีอัพ
บางคนบอกว่ามันเป็นเกมกระจอก
บางคนบอกว่ามันเป็นเกมที่เจ๊งไปแล้วและไม่ควรกลับมาอีก
แต่สำหรับเธอมันไม่ใช่อย่างนั้น
เธอทุ่มเทให้กับมันจริงๆ
ทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ
และฮีโร่ในเกมนั้นอย่าง ฮาน อิสรัต
เขาเป็นแรงบันดาลใจให้เธอมีชีวิตต่อไป
ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม
‘แล้วก็…’
หลังจากที่เธอได้พบกับฮาน ไม่นานเธอก็เริ่มแกะสลักรูปปั้นม้าศึกโดยไม่รู้ตัว
รูปปั้นม้าศึก
เธอลงมือสร้างสิ่งที่ฮีโร่คนนั้นชอบด้วยมือของเธอเอง
เธอเรียนรู้และฝึกฝนทักษะการแกะสลักอย่างหนัก เพื่อที่จะสร้างรูปปั้นม้าศึกให้เหมือนกับคอลเลคชั่นที่เธอเก็บไว้อย่างดีในแกลเลอรีของโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าของเธอ
เธอใช้เวลาหลายปี
จากมือใหม่ ไรก็ได้ได้กลายเป็นช่างฝีมือที่สามารถสร้างรูปปั้นม้าศึกที่สมบูรณ์แบบได้หลายชิ้น
นี่เป็นผลมาจากการที่เธอทุ่มเทเงิน เวลา และความหลงใหลทั้งหมดให้กับการแกะสลักรูปปั้นม้าศึก
“มันต่างกันตรงไหน?”
เซริสมองหน้าไรก็ได้
สีหน้าของเธอดูเหมือนกำลังหาคำตอบ
“จริงๆ แล้ว ฉันเคยหารูปปั้นที่เหมือนกับอันนี้เป๊ะๆ แล้วเอาไปให้นายท่านหลายครั้งแล้ว แต่…. ทุกครั้งก็ล้มเหลว นายท่านไม่พอใจเลยสักครั้ง”
ที่เซริสหามานั้นมันเหมือนกันมาก
แม้กระทั่งวัสดุของไม้และรูปร่างเล็กๆ น้อยๆ ก็สมบูรณ์แบบ
แต่โลกิไม่เคยยอมรับว่ามันคือ 'รูปปั้นม้าศึก' เลย
“เป็นเพราะมันไม่มีจิตวิญญาณแห่งพงไพรหรือเปล่านะ? แล้วจิตวิญญาณคืออะไรกันแน่? ต้องใช้คาถาหรือพิธีกรรมอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า? อืม….”
เซริสขมวดคิ้วครุ่นคิด
ไรก็ได้เผลอยิ้มออกมาเมื่อเห็นท่าทีจริงจังของเขา
“เซริส”
ฮีโร่ที่เหลือดวงตาเพียงข้างเดียวหันมามองเธอ
“มันคงไม่มีอะไรพิเศษหรอกค่ะ”
“ถ้างั้นรูปปั้นของฉันกับของเธอมันต่างกันตรงไหน?”
“……อาจจะจิตใจมั้งคะ?”
“จิตใจงั้นเหรอ?”
คิ้วของซีริสเลิกขึ้น
“เธอหมายความว่ารูปปั้นของฉันไม่มีจิตใจ แต่ของเธอมีงั้นเหรอ?”
“แน่นอนว่าของขวัญจากคุณเซริสนั้นใส่จิตใจและจิตวิญาณลงไปด้วยแน่นอน แต่แต่ของฉันอาจจะต่างออกไปนิดหน่อยค่ะ”
“ต่างกันยังไง?”
“เอ่อ….”
ไรก็ได้พูดไม่ออก
จิตใจ
จิตใจแบบไหนที่อยู่ในรูปปั้นม้าศึก?
พอคิดจะพูดออกมาก็พบว่าเธอไม่สามารถนิยามมันออกมาเป็นคำพูดได้
‘ตอนแรกนั้นเป็นยังไงนะ?’
เธอลองนึกถึงการพบกันครั้งแรก
ตอนนั้นฮานเป็นฮีโร่ระดับ 2 ดาว
เขาเป็นฮีโร่ที่เก่งกาจและตัวป่วนของห้องพัก
ฮีโร่คนนั้นกลืนกินฮีโร่ระดับ 4 ดาว แถมยังทำลายเซ็ตฮีโร่ระดับ 3 ดาวที่เธออุตส่าห์เติมเงินไปเยอะๆ เพื่อสุ่มอัญเชิญเขาออกมาอีกด้วย
ตอนแรกเธอโกรธมาก
แต่พอออกไปทำภารกิจ เขาก็เป็นคนแรกที่ออกไปสู้
เธอเลยเกลียดเขาไม่ลง
แต่พอมองดูสิ่งที่เขาทำ เธอก็รู้สึกหมั่นไส้….
‘อืม….’
ไม่เข้าใจเลย
ยิ่งนึกก็ยิ่งงง ตอนแรกเขายังเขวี้ยงรูปปั้นม้าศึกจนแตก
ทั้งที่จริงๆ แล้วชอบมากจนทนไม่ไหว
หรือว่าตอนนั้นแค่เล่นตัว?
‘หรือว่า…. ตั้งแต่ตอนนั้น….’
ถึงแม้ว่าภายนอกจะไม่ยอมรับ
แต่ลึกๆ แล้วเธออาจจะคิดว่า
ฮีโร่คนนี้อาจจะมีชีวิตอยู่จริงก็ได้
เป็นความคิดเพ้อฝัน
ไม่ว่ายังไง รูปปั้นม้าศึกที่ไรก็ได้มอบให้ก็มีความรู้สึกที่ซับซ้อนมากมายอยู่ในนั้น
ไม่สามารถนิยามได้ด้วยคำพูดเพียงคำเดียว
“เข้าใจละ มันพูดเป็นคำพูดไม่ได้สินะ”
เซริสดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างและพยักหน้า
ไรก็ได้กล่าวว่า
“แค่รูปปั้นม้าศึกตัวเดียวอาจจะไม่พอ แต่จำนวนขนาดนี้คงไม่เพียงพอที่จะเรียกคุณฮานใช่ไหมคะ?”
“ไม่ มันน่าจะได้ผลดีมากต่างหาก”
ถ้ากองรวมกันเยอะแบบนี้ก็มองเห็นได้ชัดเจนแม้จะอยู่ไกลๆ
ฮานจะเจอมันอย่างแน่นอน
ไรก็ได้หยิบกระเป๋าหนังออกมาด้วยความมั่นใจแปลกๆ
มันถูกวางทิ้งอยู่อย่างบังเอิญที่มุมโกดัง
แค่นี้ก็เพียงพอที่จะใส่รูปปั้นแล้ว
เธอจัดการใส่รูปปั้นม้าศึกลงในกระเป๋าหนังใบใหญ่ จอนนี้ในกระเป๋านั้นมีรูปปั้นม้าศึกจำนวนมาก
ไรก็ได้และเซริสเดินออกไปที่ห้องนั่งเล่น ที่กำลังมีการประชุมวางแผนบางอย่าง
‘ประชุมวางแผน?’
จะว่าอย่างนั้นก็ได้….
กร้วมๆ
เสียงเคี้ยวมันฝรั่งทอดกรอบ
นิฮาคุกำลังนั่งกินมันฝรั่งทอดกรอบพลางดูทีวี
<สถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้างครับ? นี่ก็เข้าสู่วันที่สองของการปิดล้อมโซลแล้วนะครับ>
ภาพบนหน้าจอทีวี
กำลังมีรายการพิเศษเกี่ยวกับการก่อการร้าย
ผู้ประกาศถามคำถาม และผู้ชายที่ดูเหมือนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญตอบ
<มีการไล่ล่าครั้งใหญ่ แต่ก็ยังจับไม่ได้ครับ การป้องกันของโซลที่อ่อนแอลงเพราะความสงบสุขที่ยาวนานดูจะเป็นปัญหาครับ>
<การที่ผู้ก่อการร้ายโผล่มาใจกลางกรุงโซลมันแปลกๆ ไม่ใช่เหรอครับ? ขนาดทหารยังจับไม่ได้ มันดูน่าสงสัยยังไงไม่รู้….>
ผู้เชี่ยวชาญปฏิเสธข้อสงสัยของผู้ประกาศ
<ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะครับ>
<เป็นไปได้เหรอครับ?>
<ครับ เป็นไปได้ครับ>
เป็นไปได้
เป็นไปได้
ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ผู้เชี่ยวชาญพูดซ้ำๆ แบบเดิมทุกครั้งที่ผู้ประกาศถามถึงสถานการณ์
“นายท่านไรก็ได้คิดว่าไงคะ?”
ยูเน็ตที่กำลังดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นถาม
“การก่อการร้ายในโซล เป็นไปได้ไหมคะ?”
“เอ่อ…. พูดตรงๆ เลยนะคะ…. ฉันไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยค่ะ”
มันโคตรจะไร้สาระ
มันไม่สมเหตุสมผลเลย
แต่ถ้าคิดให้ลึกซึ้ง ก็คงบอกไม่ได้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ 0% เพราะว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้
ไม่นานมานี้ก็มีตัวอย่าง
อยู่ๆ ก็เกิดสงครามที่ไม่คาดคิดในยุโรป และก่อนหน้านั้นก็มีโรคระบาดไปทั่วโลกจนต้องมีการล็อกดาวน์
บางครั้งความจริงก็เหนือจินตนาการ
“มันคงไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ แต่มันต้องเป็นเรื่องบังเอิญแล้วบังเอิญอีก….”
“งั้นเหรอคะ เป็นไปได้”
ยูเน็ตยิ้มกว้าง
“นั่นแหละค่ะต้นตอที่กัดกินเมืองนี้”
“กัดกิน? ต้นตอเหรอคะ?”
“เนื้อหาของบทสนทนาของคนสองคนนั้น ที่มีใจความหลักว่า 'ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้' กำลังกลายเป็นความจริงและแพร่กระจายไปทั่วเมืองค่ะ”
ความจริง?
เป็นไปไม่ได้
คนที่พวกนั้นประกาศจับไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย
แต่เป็นฮีโร่แห่งวัลฮัลลาต่างหาก
แต่สิ่งที่ยูเน็ตต้องการจะสื่อคงไม่ใช่เรื่องนั้น
ไรก็ได้พยายามใช้จินตนาการอันน้อยนิดของเธอตอบคำถาม
“หมายความว่า คนที่ดูรายการจะเชื่อในสิ่งที่รายการพูด…เหมือนโดนสะกดจิตเหรอคะ?”
“ฮิๆ มันเป็นเหมือนการสะกดจิตในวงกว้างกว่านั้นหน่อยค่ะ”
“วงกว้างกว่า?”
“เหมือนกับว่ามีคนสะกดจิตโลกทั้งใบเลยล่ะค่ะ ไม่ใช่แค่ทำให้เชื่อนะคะ แต่สิ่งที่พวกเขาพูดจะกลายเป็นความจริง บุกรุกเข้ามาในความจริง เพราะงั้นการที่เราถูกตราหน้าว่าเป็น 'ผู้ก่อการร้าย' มันก็กลายเป็นความจริงไปแล้วค่ะ”
คำอธิบายเข้าใจยากจัง
ยูเน็ตโค้งศีรษะให้ไรก็ได้ที่ทำหน้างง
“ขอโทษค่ะ ฉันอธิบายยากไปหน่อย”
“ไม่หรอกค่ะ แค่ไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้มาก่อน”
“ยังไงก็ตาม เพื่อช่วยนายท่านและให้นายท่านไรก็ได้กลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ เราต้องจัดการกับเวทย์มนตร์นั้นก่อนค่ะ”
“ชีวิตของฉันเหรอคะ? ฉัน….”
“โอ๊ะ ตามรายการนั้นนายท่านไรก็ได้เป็นบุคคลอันตรายที่ไปคบค้ากับผู้ก่อการร้ายอย่างพวกเรานะ? แถมยังมีการถ่ายทอดสดตอนไล่ล่าด้วย?”
สีหน้าของไรก็ได้ซีดเผือด
ถึงเธอจะใส่แว่นกันแดด แต่ตัวตนของเธอก็ต้องถูกเปิดเผยในภายหลังอยู่ดี
“ถ้าเรื่องนี้จบลง พวกเราก็แค่กลับไป แต่ชีวิตของนายท่านไรก็ได้ที่ต้องอยู่ที่นี่ต่อจะเป็นยังไง?”
“…….”
“ไม่ต้องห่วง….เรามีแผนรับมือเรื่องนั้นแล้ว”
ยูเน็ตพูด
แค่เพิ่มเป้าหมายของแผนอีกอย่างก็เท่านั้น
ช่วยฮัน
และทำให้ชีวิตของนายท่านไรก็ได้และกรุงโซลกลับมาเป็นปกติ
“แต่ว่า…มันทำได้จริงๆ เหรอ?”
“เชื่อใจฉันเถอะค่ะ”
ยูเน็ตยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“การแก้เวทย์ ชั้นต่ำแบบนี้เป็นงานถนัดของฉันเลยล่ะค่ะ หึหึ….”
เพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ค่อยๆ ถอยห่างจากเธอ
พวกเขารู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่าง
“งั้นก็ได้ข้อสรุปแล้วสินะ”
เซริสพูดขึ้น
“ช่วยนายท่านของเรา และทำให้นายท่านไรก็ได้กลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่มีใครคัดค้านใช่ไหม?”
ทุกคนพยักหน้า
‘แล้วจะให้ทำยังไงล่ะถ้าไม่เห็นด้วย?’
ไรก็ได้นึกภาพไม่ออก
จากนั้นยูเน็ตก็พูดต่อ
“เราต้องแบ่งทีมเป็นสองทีม ทีมหนึ่งไปแก้เวทย์มนตร์ที่ครอบคลุมเมืองนี้ อีกทีมไปส่งรูปปั้นม้าศึกให้นายท่านผ่านกำแพงมิติ”
“แต่ละทีมจะไปที่ไหน?”
“ทีมแรกไปสถานีโทรทัศน์ค่ะ”
“สถานีโทรทัศน์?”
“หรือที่ไหนก็ได้ค่ะ ขอแค่มีสัญญาณแรงๆ พาฉันไปถึงที่นั่นก็พอแล้ว อืม ช่วยรีเจียนหน่อยได้ไหม?”
“ทำไมต้องเป็นฉัน?”
“ก็แค่อยากให้เป็นนาย”
รีเจียนขมวดคิ้ว
“ต่อไปก็…. ทีมไปช่วยนายท่านที่หลงทางอยู่นะคะ”
สายตาของยูเน็ตหันไปทางไรก็ได้
ทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนหนูที่อยู่ต่อหน้าแมวก็ไม่รู้
“ฉันมีอะไรอยากจะถามค่ะ”
“คะ คะ?”
“ตึกที่สูงที่สุดในโซลอยู่ที่ไหนคะ?”
ไม่ต้องบอกก็รู้
ล็อตเต้ เวิลด์ ทาวเวอร์ที่ตั้งอยู่ในเขตซงพา
เป็นตึกระฟ้าที่มีทั้งหมด 123 ชั้น ความสูงอยู่ที่ 554.5 เมตร
ไรก็ได้ตอบไปตามนั้น
“โอ้โห สูงขนาดนั้นก็ใช้ได้ค่ะ ใกล้สวรรค์พอสมควรเลย”
“ว่าแต่ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะคะ?”
ตอนนั้นเอง ไรก็ได้เริ่มเสียใจที่ถามออกไปแล้ว….