ตอนที่แล้วตอนที่ 20 "จิตดาบ"
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 22 ทำตามกฎของข้า!!

ตอนที่ 21 เวทีแห่งเมืองซูเฉิง!!


"พี่หนิง บาดแผลดีขึ้นบ้างหรือยัง?" เว่ยฟานเคาะประตูห้องของหนิงเสวียน และพบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูดีขึ้นมาก

หนิงเสวียนถูกราชาเสือฟันด้วยดาบหนึ่งครั้ง แต่เดิมบาดแผลไม่ได้หนักหนาอะไร แต่ขณะรักษาตัวดันถูกคำพูดของเว่ยฟานทำให้หัวเราะ ส่งผลให้พลังลมปราณเดินผิดทาง จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด

"พักอีกสามสี่วัน น่าจะหายดี" หนิงเสวียนเชิญเว่ยฟานเข้ามา พลางรินน้ำชาให้ "อ้าว... แค่ไม่เจอกันสองวัน พี่เว่ยดูโดดเด่นขึ้นนะ"

การรับรู้จิตดาบทำให้เว่ยฟานเกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ดูเย็นชาและแหลมคมกว่าเดิม สายตาคมกริบขึ้น

แม้หนิงเสวียนจะไม่รู้ว่าเขาบรรลุจิตดาบ แต่ก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณและบุคลิกภาพของเขา

"พี่หนิงช่างสังเกต ข้าเพิ่งมีความก้าวหน้าเล็กน้อยในวิชายุทธ์ ไม่คิดว่าท่านจะสังเกตเห็น" เว่ยฟานจิบชา คนในที่ว่าการมากมายยังไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเขา หนิงเสวียนเป็นคนแรกที่สังเกตเห็น

ครู่หนึ่งต่อมา ซูเสวี่ยหรงที่ได้ยินเสียงก็เข้ามาในห้องของหนิงเสวียนด้วย

"ดูเหมือนเจ้าจะอยากเข้าร่วมสำนักปราบปีศาจเร็วๆ นี้นะ!" ซูเสวี่ยหรงยังคงไม่ค่อยให้หน้าเว่ยฟาน ยังคงเคืองที่วันนั้นเว่ยฟานบอกว่านางอายุมาก แม้แต่จะเรียกชื่อเว่ยฟานก็ไม่ยอม

ซูเสวี่ยหรงพอจะเดาได้ว่าจุดประสงค์ที่เว่ยฟานมาคือมาดูว่าหนิงเสวียนหายดีแล้วหรือยัง ถ้าหายดีแล้วจะได้รีบกลับเมืองซูเฉิง เพื่อรายงานเรื่องของเว่ยฟานให้ผู้นำทางทราบ

เว่ยฟานพยักหน้า "ข้าอยากเข้าสำนักปราบปีศาจจริงๆ วรยุทธ์ของข้าถึงขั้นพลังลมปราณเก้าส่วนแล้ว แต่เพราะไม่มีคัมภีร์วิชาขอบเขตเปิดจุดลมปราณ จึงไม่สามารถก้าวข้ามไปได้"

ทั้งสองพยักหน้า เข้าใจความรู้สึกของเว่ยฟาน

หนิงเสวียนกล่าว "พี่เว่ยไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอก ท่านมีพรสวรรค์เหนือคนธรรมดา แต่ข้าสังเกตว่าพลังลมปราณของท่านยังไม่แข็งแกร่งพอ คงเป็นเพราะต่อมโลหิตไม่กว้างขวางพอ อย่างมากก็เก็บพลังลมปราณได้แค่สิบปีเท่านั้น

ตามความเห็นของข้า ตอนนี้ท่านควรหาวิชายุทธ์ที่สามารถขยายต่อมโลหิตได้ เพื่อขยายต่อมโลหิตให้กว้างขึ้น เก็บพลังลมปราณได้มากขึ้น

ถ้าต่อมโลหิตของท่านขยายได้สองสามเท่า บางทีหลังจากเข้าสำนักปราบปีศาจแล้ว สักวันหนึ่งอาจจะสามารถเทียบชั้นกับพวกอัจฉริยะของสำนักปราบปีศาจได้

ตอนนี้ถ้าไม่ขยายต่อมโลหิต พอก้าวข้ามไปถึงขอบเขตเปิดจุดลมปราณ ขนาดของต่อมโลหิตก็จะถูกกำหนดตายตัวแล้ว

ท่านไม่รู้จักพวกอัจฉริยะของสำนักปราบปีศาจหรอก พวกเขาตอนอยู่ในขอบเขตพลังลมปราณไม่รีบก้าวข้าม พยายามขยายต่อมโลหิตจนสามารถเก็บพลังได้ถึงห้าหกสิบปี ถึงได้ยกระดับขึ้นไป ซึ่งเป็นการวางรากฐานควาเป็นอัจฉริยะของพวกเขา ทำให้ไม่มีใครสู้ได้ในระดับเดียวกัน ไม่ว่าจะเจอใครก็สามารถใช้พลังลมปราณอันแข็งแกร่งกวาดล้างได้เลย"

ปริมาณพลังลมปราณนั้นสำคัญจริงๆ

คนที่มีวิชาระฆังทองขั้นแรก ไม่ว่าจะมีวิชายุทธ์เก่งกาจแค่ไหน ก็ไม่มีทางเอาชนะคนที่มีวิชาระฆังทองขั้นเจ็ดแปดได้

อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องใช้วิชายุทธ์อะไรมาก แค่อาศัยพลังลมปราณที่เหนือกว่าท่านมากๆ ก็สามารถฆ่าท่านได้แล้ว

เว่ยฟานขมวดคิ้ว "ยังมีวิชายุทธ์ที่สามารถขยายต่อมโลหิตได้อีกหรือ? หาได้จากที่ไหน"

แม้ตอนนี้เขาจะสังหารปีศาจระดับผู้ฝึกปรือขั้นสูงได้แล้ว แต่ความรู้เกี่ยวกับวิชายุทธ์ยังตื้นเขินมาก

วิชายุทธ์ที่สามารถขยายต่อมโลหิตได้ เขาเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก

สาเหตุที่วรยุทธ์ของเขาไม่สามารถก้าวหน้าได้ ก็เพราะต่อมโลหิตเก็บพลังลมปราณถึงขีดจำกัดแล้ว ไม่สามารถเก็บพลังลมปราณเพิ่มได้อีก

ถ้าสามารถขยายต่อมโลหิตได้ สามารถเก็บพลังลมปราณได้มากขึ้น เขาก็ไม่รีบร้อนที่จะก้าวข้ามไป

เพราะเขาเคยได้ยินหนิงเสวียนทั้งสองคนพูดถึงทิศทางการฝึกฝนของขอบเขตเปิดจุดลมปราณ สิ่งที่สำคัญที่สุดของขอบเขตเปิดจุดลมปราณคือการเปิดจุดลมปราณในร่างกายที่สามารถเก็บพลังลมปราณได้ เพื่อเพิ่มปริมาณการเก็บพลังลมปราณของตนเอง

ซูเสวี่ยหรงกล่าว "เจ้าถึงกับไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย อย่าบอกนะว่าวิชายุทธ์ทั้งหมดของเจ้าไม่มีอาจารย์สอน ล้วนแต่อาศัยวิชายุทธ์ที่ที่ว่าการถ่ายทอดให้แล้วฝึกฝนเอาเองทั้งหมด"

สิ่งที่พวกเขาพูดถึงเหล่านี้ แค่มีอาจารย์สักหน่อย หรือคลุกคลีในยุทธภพมานาน ก็ล้วนรู้กันทั้งนั้น

เว่ยฟานมีฝีมือเก่งกาจขนาดนี้ แต่กลับไม่รู้แม้แต่ความรู้พื้นฐานแบบนี้ คำอธิบายเดียวก็คือเขาไม่เพียงแต่ไม่มีอาจารย์ แต่ยังเป็นนักยุทธ์มาไม่นานด้วย

เว่ยฟานไม่พูดอะไร แต่หันไปมองหนิงเสวียน

ในเมื่อคนคนนี้พูดมากขนาดนี้ ก็น่าจะเคยฝึกฝนวิชายุทธ์ที่ขยายต่อมโลหิตได้

หนิงเสวียนเข้าใจความหมายนี้ จึงกล่าวทันที "ข้ามีวิชายุทธ์แบบนั้นจริงๆ แต่เป็นวิชาลับของสำนัก ไม่สามารถถ่ายทอดให้คนนอกได้"

พูดพลางมองไปทางซูเสวี่ยหรง "เสวี่ยหรง ตระกูลซูของเจ้าไม่มีกฎเกณฑ์เคร่งครัดเหมือนสำนักของข้า เจ้าไม่ลองมอบให้พี่เว่ยหรือ? ถือว่าผูกมิตรกันไว้"

ซูเสวี่ยหรงคิดสักครู่ แล้วพยักหน้า "งั้นข้าจะมอบให้เว่ยฟานเอง ตราบใดที่ไม่ใช่วิชาหลักของตระกูล ก็ไม่มีกฎเกณฑ์เคร่งครัดเหมือนสำนักของพวกเจ้าหรอก แต่ข้าหวังว่าเว่ยฟานจะไม่ถ่ายทอดวิชายุทธ์นี้ให้คนที่สอง"

นางก็อยากผูกมิตรกับเว่ยฟานเช่นกัน

จากสถานการณ์ปัจจุบัน เว่ยฟานมีพรสวรรค์น่าตกตะลึง ถ้านางสามารถช่วยเหลือได้ ในอนาคตเว่ยฟานอาจไม่เป็นรองพวกอัจฉริยะของสำนักปราบปีศาจ แม้แต่การเหนือกว่าก็ไม่ใช

พวกเขาก็อาจจะไม่มีทางทราบว่าในอนาคตเขาจะก้าวไปถึงจุดไหน

คนแบบนี้ ใครก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยเหลือสักหน่อย

"ขอบคุณคุณหนูซูมาก ข้าสัญญาว่าจะไม่ถ่ายทอดให้คนที่สอง!" เว่ยฟานพยักหน้ารับคำทันที

"ข้าไม่ได้พกคัมภีร์ลับมาด้วย ข้าจะหาเวลาจดจำออกมา เจ้ามาเอาอีกสองสามวันแล้วกัน"

แม้จะยังไม่ได้รับคัมภีร์ลับในตอนนี้ เว่ยฟานก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็แค่เวลาหนึ่งสองวันเท่านั้น ผ่านไปเร็วมาก

ตอนนี้ หนิงเสวียนเอ่ยปากอีกครั้ง "พี่เว่ย จำไว้ว่าอย่ารีบร้อนที่จะก้าวข้ามไปสู่ขอบเขตเปิดจุดลมปราณ รอจนกว่าต่อมโลหิตจะขยายถึงขีดสุดแล้วไม่สามารถขยายได้อีก ค่อยก้าวข้ามไป

ขนาดของต่อมโลหิตในขอบเขตพลังลมปราณ มีผลกระทบต่อขอบเขตต่อๆ ไปมาก

ในสำนักของข้ามีพี่ร่วมสำนักคนหนึ่ง ตอนที่คนรุ่นเดียวกันก้าวข้ามไปสู่ขอบเขตเปิดจุดลมปราณ เขายังคงขยายต่อมโลหิตอยู่ ตอนนี้เขาเป็นถึงยอดฝีมือขั้นสวรรค์แล้ว แต่คนรุ่นเดียวกันของเขายังคงอยู่ในขอบเขตเปิดจุดลมปราณ

ในหมู่นักยุทธ์ คนส่วนใหญ่วัดศักยภาพของคนหนึ่งๆ สิ่งแรกที่มองก็คือต่อมโลหิตของเจ้าสามารถเก็บพลังได้กี่ปี

ยิ่งเก็บพลังได้มาก อนาคตก็ยิ่งสูงส่ง และก้าวหน้าได้เร็วขึ้น

ถ้าข้าไม่ได้ขยายต่อมโลหิตจนถึงขีดสุด ตอนนี้ก็ยังอยู่ในขอบเขตพลังลมปราณ"

...

หนิงเสวียนและซูเสวี่ยหรงผลัดกันพูด ไม่นานก็เล่าเรื่องมากมายที่เว่ยฟานไม่รู้

แคว้นต้าฉู่! สำนักปราบปีศาจ! สำนักวิชายุทธ์!

ตระกูลยุทธ์!

เผ่าพันธุ์ปีศาจ!

ยอดฝีมือในหมู่โจร!

อาวุธวิเศษและของวิเศษ!

...

เวทีของเมืองซูเฉิงใหญ่โตและน่าตื่นเต้นกว่าเมืองหยุนเฉิงมาก เมื่อเทียบกันแล้ว เมืองหยุนเฉิงเป็นเพียงมุมเล็กๆ มีหลายสิ่งที่แม้แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

เขาคุยกับทั้งสองคนเป็นเวลานาน ถึงขนาดไปสั่งสุราและอาหารมาที่ห้องเพื่อกินดื่มไปพลางคุยไปพลาง จนกระทั่งหนิงเสวียนบอกว่าต้องไปฝึกพลังรักษาอาการบาดเจ็บ เขาถึงได้ลุกขึ้นบอกลากลับที่ว่าการ

ในฐานะหัวหน้าหน่วย เว่ยฟานไม่มีงานมากนัก ตราบใดที่ไม่มีคดีฆาตกรรม เขาก็ไม่จำเป็นต้องออกไปลาดตระเวน

"ท่านหัวหน้าเว่ย โจวชี่กับพวกเขาถูกคนทำร้าย!"

ไม่คิดว่าเพิ่งจะนั่งได้ไม่นาน หลิวเฉิงโจวลูกน้องก็มารายงานว่าโจวชี่ถูกคนทำร้าย

เว่ยฟานเดินออกจากห้องโถง เห็นโจวชี่และลูกน้องอีกคนถูกคนหามกลับมาที่ว่าการแล้ว

ทั้งสองคนหน้าตาบวมช้ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง บนตัวยังมีรอยเท้า

"เกิดอะไรขึ้น?" เว่ยฟานก้มลงดู บาดแผลของโจวชี่และเจ้าหน้าที่อีกคนไม่รุนแรงนัก ไม่ถึงกับเสียชีวิต แค่ดูน่าอเนจอนาถเท่านั้น

โจวชี่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง "พวกเราสองคนออกลาดตระเวน เห็นร้านค้าบนถนนถูกคนทำลาย จึงเข้าไปห้าม

ไม่คิดว่าพวกนั้นเห็นพวกเราปรากฏตัวไม่เพียงแต่ไม่กลัว ยังบอกว่าพวกเรายุ่งเรื่องชาวบ้านแล้วลงมือโจมตีพวกเรา

ในกลุ่มพวกเขามีนักยุทธ์ น่าจะอยู่ในขั้นพลังลมปราณสองส่วน พวกเราสู้พวกเขาไม่ได้"

เว่ยฟานหน้าตึงพูด "คนที่ทำร้ายพวกเจ้าล่ะ? รู้หรือไม่ว่าเป็นใคร"

"พวกเขาทำร้ายพวกเราเสร็จก็จากไป พวกเราไม่รู้จักพวกเขา แต่ตอนที่คนหนึ่งจากไปได้เตือนพวกเรา บอกว่าถ้าพวกเรายังกล้ายุ่งกับเรื่องของแก๊งเอ๋อเสิน ก็จะจับพวกเราไปเลี้ยงปีศาจ"

โจวชี่ฝืนลุกขึ้นนั่ง "ข้าได้สอบถามร้านค้าที่ถูกทำลายแล้ว เจ้าของร้านบอกว่าพวกนั้นมาเรียกเก็บเงินให้แก๊งเอ๋อเสินทุกเดือน เจ้าของร้านไม่ยอม จึงถูกทำร้ายและทำลายข้าวของ"

***********************************************************************************

(จบตอนที่ 21 เวทีแห่งเมืองซูเฉิง!!)

 

“ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาอ่านและสนับสนุน”

~หากชอบเนื้อหานี้อย่าลืมกด Like โปรดติดตามและแนะนำด้วยขอบคุณมากครับ~

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด