ตอนที่ 21 เวทีแห่งเมืองซูเฉิง!!
"พี่หนิง บาดแผลดีขึ้นบ้างหรือยัง?" เว่ยฟานเคาะประตูห้องของหนิงเสวียน และพบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูดีขึ้นมาก
หนิงเสวียนถูกราชาเสือฟันด้วยดาบหนึ่งครั้ง แต่เดิมบาดแผลไม่ได้หนักหนาอะไร แต่ขณะรักษาตัวดันถูกคำพูดของเว่ยฟานทำให้หัวเราะ ส่งผลให้พลังลมปราณเดินผิดทาง จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
"พักอีกสามสี่วัน น่าจะหายดี" หนิงเสวียนเชิญเว่ยฟานเข้ามา พลางรินน้ำชาให้ "อ้าว... แค่ไม่เจอกันสองวัน พี่เว่ยดูโดดเด่นขึ้นนะ"
การรับรู้จิตดาบทำให้เว่ยฟานเกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ดูเย็นชาและแหลมคมกว่าเดิม สายตาคมกริบขึ้น
แม้หนิงเสวียนจะไม่รู้ว่าเขาบรรลุจิตดาบ แต่ก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณและบุคลิกภาพของเขา
"พี่หนิงช่างสังเกต ข้าเพิ่งมีความก้าวหน้าเล็กน้อยในวิชายุทธ์ ไม่คิดว่าท่านจะสังเกตเห็น" เว่ยฟานจิบชา คนในที่ว่าการมากมายยังไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเขา หนิงเสวียนเป็นคนแรกที่สังเกตเห็น
ครู่หนึ่งต่อมา ซูเสวี่ยหรงที่ได้ยินเสียงก็เข้ามาในห้องของหนิงเสวียนด้วย
"ดูเหมือนเจ้าจะอยากเข้าร่วมสำนักปราบปีศาจเร็วๆ นี้นะ!" ซูเสวี่ยหรงยังคงไม่ค่อยให้หน้าเว่ยฟาน ยังคงเคืองที่วันนั้นเว่ยฟานบอกว่านางอายุมาก แม้แต่จะเรียกชื่อเว่ยฟานก็ไม่ยอม
ซูเสวี่ยหรงพอจะเดาได้ว่าจุดประสงค์ที่เว่ยฟานมาคือมาดูว่าหนิงเสวียนหายดีแล้วหรือยัง ถ้าหายดีแล้วจะได้รีบกลับเมืองซูเฉิง เพื่อรายงานเรื่องของเว่ยฟานให้ผู้นำทางทราบ
เว่ยฟานพยักหน้า "ข้าอยากเข้าสำนักปราบปีศาจจริงๆ วรยุทธ์ของข้าถึงขั้นพลังลมปราณเก้าส่วนแล้ว แต่เพราะไม่มีคัมภีร์วิชาขอบเขตเปิดจุดลมปราณ จึงไม่สามารถก้าวข้ามไปได้"
ทั้งสองพยักหน้า เข้าใจความรู้สึกของเว่ยฟาน
หนิงเสวียนกล่าว "พี่เว่ยไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอก ท่านมีพรสวรรค์เหนือคนธรรมดา แต่ข้าสังเกตว่าพลังลมปราณของท่านยังไม่แข็งแกร่งพอ คงเป็นเพราะต่อมโลหิตไม่กว้างขวางพอ อย่างมากก็เก็บพลังลมปราณได้แค่สิบปีเท่านั้น
ตามความเห็นของข้า ตอนนี้ท่านควรหาวิชายุทธ์ที่สามารถขยายต่อมโลหิตได้ เพื่อขยายต่อมโลหิตให้กว้างขึ้น เก็บพลังลมปราณได้มากขึ้น
ถ้าต่อมโลหิตของท่านขยายได้สองสามเท่า บางทีหลังจากเข้าสำนักปราบปีศาจแล้ว สักวันหนึ่งอาจจะสามารถเทียบชั้นกับพวกอัจฉริยะของสำนักปราบปีศาจได้
ตอนนี้ถ้าไม่ขยายต่อมโลหิต พอก้าวข้ามไปถึงขอบเขตเปิดจุดลมปราณ ขนาดของต่อมโลหิตก็จะถูกกำหนดตายตัวแล้ว
ท่านไม่รู้จักพวกอัจฉริยะของสำนักปราบปีศาจหรอก พวกเขาตอนอยู่ในขอบเขตพลังลมปราณไม่รีบก้าวข้าม พยายามขยายต่อมโลหิตจนสามารถเก็บพลังได้ถึงห้าหกสิบปี ถึงได้ยกระดับขึ้นไป ซึ่งเป็นการวางรากฐานควาเป็นอัจฉริยะของพวกเขา ทำให้ไม่มีใครสู้ได้ในระดับเดียวกัน ไม่ว่าจะเจอใครก็สามารถใช้พลังลมปราณอันแข็งแกร่งกวาดล้างได้เลย"
ปริมาณพลังลมปราณนั้นสำคัญจริงๆ
คนที่มีวิชาระฆังทองขั้นแรก ไม่ว่าจะมีวิชายุทธ์เก่งกาจแค่ไหน ก็ไม่มีทางเอาชนะคนที่มีวิชาระฆังทองขั้นเจ็ดแปดได้
อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องใช้วิชายุทธ์อะไรมาก แค่อาศัยพลังลมปราณที่เหนือกว่าท่านมากๆ ก็สามารถฆ่าท่านได้แล้ว
เว่ยฟานขมวดคิ้ว "ยังมีวิชายุทธ์ที่สามารถขยายต่อมโลหิตได้อีกหรือ? หาได้จากที่ไหน"
แม้ตอนนี้เขาจะสังหารปีศาจระดับผู้ฝึกปรือขั้นสูงได้แล้ว แต่ความรู้เกี่ยวกับวิชายุทธ์ยังตื้นเขินมาก
วิชายุทธ์ที่สามารถขยายต่อมโลหิตได้ เขาเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก
สาเหตุที่วรยุทธ์ของเขาไม่สามารถก้าวหน้าได้ ก็เพราะต่อมโลหิตเก็บพลังลมปราณถึงขีดจำกัดแล้ว ไม่สามารถเก็บพลังลมปราณเพิ่มได้อีก
ถ้าสามารถขยายต่อมโลหิตได้ สามารถเก็บพลังลมปราณได้มากขึ้น เขาก็ไม่รีบร้อนที่จะก้าวข้ามไป
เพราะเขาเคยได้ยินหนิงเสวียนทั้งสองคนพูดถึงทิศทางการฝึกฝนของขอบเขตเปิดจุดลมปราณ สิ่งที่สำคัญที่สุดของขอบเขตเปิดจุดลมปราณคือการเปิดจุดลมปราณในร่างกายที่สามารถเก็บพลังลมปราณได้ เพื่อเพิ่มปริมาณการเก็บพลังลมปราณของตนเอง
ซูเสวี่ยหรงกล่าว "เจ้าถึงกับไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย อย่าบอกนะว่าวิชายุทธ์ทั้งหมดของเจ้าไม่มีอาจารย์สอน ล้วนแต่อาศัยวิชายุทธ์ที่ที่ว่าการถ่ายทอดให้แล้วฝึกฝนเอาเองทั้งหมด"
สิ่งที่พวกเขาพูดถึงเหล่านี้ แค่มีอาจารย์สักหน่อย หรือคลุกคลีในยุทธภพมานาน ก็ล้วนรู้กันทั้งนั้น
เว่ยฟานมีฝีมือเก่งกาจขนาดนี้ แต่กลับไม่รู้แม้แต่ความรู้พื้นฐานแบบนี้ คำอธิบายเดียวก็คือเขาไม่เพียงแต่ไม่มีอาจารย์ แต่ยังเป็นนักยุทธ์มาไม่นานด้วย
เว่ยฟานไม่พูดอะไร แต่หันไปมองหนิงเสวียน
ในเมื่อคนคนนี้พูดมากขนาดนี้ ก็น่าจะเคยฝึกฝนวิชายุทธ์ที่ขยายต่อมโลหิตได้
หนิงเสวียนเข้าใจความหมายนี้ จึงกล่าวทันที "ข้ามีวิชายุทธ์แบบนั้นจริงๆ แต่เป็นวิชาลับของสำนัก ไม่สามารถถ่ายทอดให้คนนอกได้"
พูดพลางมองไปทางซูเสวี่ยหรง "เสวี่ยหรง ตระกูลซูของเจ้าไม่มีกฎเกณฑ์เคร่งครัดเหมือนสำนักของข้า เจ้าไม่ลองมอบให้พี่เว่ยหรือ? ถือว่าผูกมิตรกันไว้"
ซูเสวี่ยหรงคิดสักครู่ แล้วพยักหน้า "งั้นข้าจะมอบให้เว่ยฟานเอง ตราบใดที่ไม่ใช่วิชาหลักของตระกูล ก็ไม่มีกฎเกณฑ์เคร่งครัดเหมือนสำนักของพวกเจ้าหรอก แต่ข้าหวังว่าเว่ยฟานจะไม่ถ่ายทอดวิชายุทธ์นี้ให้คนที่สอง"
นางก็อยากผูกมิตรกับเว่ยฟานเช่นกัน
จากสถานการณ์ปัจจุบัน เว่ยฟานมีพรสวรรค์น่าตกตะลึง ถ้านางสามารถช่วยเหลือได้ ในอนาคตเว่ยฟานอาจไม่เป็นรองพวกอัจฉริยะของสำนักปราบปีศาจ แม้แต่การเหนือกว่าก็ไม่ใช
พวกเขาก็อาจจะไม่มีทางทราบว่าในอนาคตเขาจะก้าวไปถึงจุดไหน
คนแบบนี้ ใครก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยเหลือสักหน่อย
"ขอบคุณคุณหนูซูมาก ข้าสัญญาว่าจะไม่ถ่ายทอดให้คนที่สอง!" เว่ยฟานพยักหน้ารับคำทันที
"ข้าไม่ได้พกคัมภีร์ลับมาด้วย ข้าจะหาเวลาจดจำออกมา เจ้ามาเอาอีกสองสามวันแล้วกัน"
แม้จะยังไม่ได้รับคัมภีร์ลับในตอนนี้ เว่ยฟานก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็แค่เวลาหนึ่งสองวันเท่านั้น ผ่านไปเร็วมาก
ตอนนี้ หนิงเสวียนเอ่ยปากอีกครั้ง "พี่เว่ย จำไว้ว่าอย่ารีบร้อนที่จะก้าวข้ามไปสู่ขอบเขตเปิดจุดลมปราณ รอจนกว่าต่อมโลหิตจะขยายถึงขีดสุดแล้วไม่สามารถขยายได้อีก ค่อยก้าวข้ามไป
ขนาดของต่อมโลหิตในขอบเขตพลังลมปราณ มีผลกระทบต่อขอบเขตต่อๆ ไปมาก
ในสำนักของข้ามีพี่ร่วมสำนักคนหนึ่ง ตอนที่คนรุ่นเดียวกันก้าวข้ามไปสู่ขอบเขตเปิดจุดลมปราณ เขายังคงขยายต่อมโลหิตอยู่ ตอนนี้เขาเป็นถึงยอดฝีมือขั้นสวรรค์แล้ว แต่คนรุ่นเดียวกันของเขายังคงอยู่ในขอบเขตเปิดจุดลมปราณ
ในหมู่นักยุทธ์ คนส่วนใหญ่วัดศักยภาพของคนหนึ่งๆ สิ่งแรกที่มองก็คือต่อมโลหิตของเจ้าสามารถเก็บพลังได้กี่ปี
ยิ่งเก็บพลังได้มาก อนาคตก็ยิ่งสูงส่ง และก้าวหน้าได้เร็วขึ้น
ถ้าข้าไม่ได้ขยายต่อมโลหิตจนถึงขีดสุด ตอนนี้ก็ยังอยู่ในขอบเขตพลังลมปราณ"
...
หนิงเสวียนและซูเสวี่ยหรงผลัดกันพูด ไม่นานก็เล่าเรื่องมากมายที่เว่ยฟานไม่รู้
แคว้นต้าฉู่! สำนักปราบปีศาจ! สำนักวิชายุทธ์!
ตระกูลยุทธ์!
เผ่าพันธุ์ปีศาจ!
ยอดฝีมือในหมู่โจร!
อาวุธวิเศษและของวิเศษ!
...
เวทีของเมืองซูเฉิงใหญ่โตและน่าตื่นเต้นกว่าเมืองหยุนเฉิงมาก เมื่อเทียบกันแล้ว เมืองหยุนเฉิงเป็นเพียงมุมเล็กๆ มีหลายสิ่งที่แม้แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
เขาคุยกับทั้งสองคนเป็นเวลานาน ถึงขนาดไปสั่งสุราและอาหารมาที่ห้องเพื่อกินดื่มไปพลางคุยไปพลาง จนกระทั่งหนิงเสวียนบอกว่าต้องไปฝึกพลังรักษาอาการบาดเจ็บ เขาถึงได้ลุกขึ้นบอกลากลับที่ว่าการ
ในฐานะหัวหน้าหน่วย เว่ยฟานไม่มีงานมากนัก ตราบใดที่ไม่มีคดีฆาตกรรม เขาก็ไม่จำเป็นต้องออกไปลาดตระเวน
"ท่านหัวหน้าเว่ย โจวชี่กับพวกเขาถูกคนทำร้าย!"
ไม่คิดว่าเพิ่งจะนั่งได้ไม่นาน หลิวเฉิงโจวลูกน้องก็มารายงานว่าโจวชี่ถูกคนทำร้าย
เว่ยฟานเดินออกจากห้องโถง เห็นโจวชี่และลูกน้องอีกคนถูกคนหามกลับมาที่ว่าการแล้ว
ทั้งสองคนหน้าตาบวมช้ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง บนตัวยังมีรอยเท้า
"เกิดอะไรขึ้น?" เว่ยฟานก้มลงดู บาดแผลของโจวชี่และเจ้าหน้าที่อีกคนไม่รุนแรงนัก ไม่ถึงกับเสียชีวิต แค่ดูน่าอเนจอนาถเท่านั้น
โจวชี่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง "พวกเราสองคนออกลาดตระเวน เห็นร้านค้าบนถนนถูกคนทำลาย จึงเข้าไปห้าม
ไม่คิดว่าพวกนั้นเห็นพวกเราปรากฏตัวไม่เพียงแต่ไม่กลัว ยังบอกว่าพวกเรายุ่งเรื่องชาวบ้านแล้วลงมือโจมตีพวกเรา
ในกลุ่มพวกเขามีนักยุทธ์ น่าจะอยู่ในขั้นพลังลมปราณสองส่วน พวกเราสู้พวกเขาไม่ได้"
เว่ยฟานหน้าตึงพูด "คนที่ทำร้ายพวกเจ้าล่ะ? รู้หรือไม่ว่าเป็นใคร"
"พวกเขาทำร้ายพวกเราเสร็จก็จากไป พวกเราไม่รู้จักพวกเขา แต่ตอนที่คนหนึ่งจากไปได้เตือนพวกเรา บอกว่าถ้าพวกเรายังกล้ายุ่งกับเรื่องของแก๊งเอ๋อเสิน ก็จะจับพวกเราไปเลี้ยงปีศาจ"
โจวชี่ฝืนลุกขึ้นนั่ง "ข้าได้สอบถามร้านค้าที่ถูกทำลายแล้ว เจ้าของร้านบอกว่าพวกนั้นมาเรียกเก็บเงินให้แก๊งเอ๋อเสินทุกเดือน เจ้าของร้านไม่ยอม จึงถูกทำร้ายและทำลายข้าวของ"
***********************************************************************************
(จบตอนที่ 21 เวทีแห่งเมืองซูเฉิง!!)
“ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาอ่านและสนับสนุน”
~หากชอบเนื้อหานี้อย่าลืมกด Like โปรดติดตามและแนะนำด้วยขอบคุณมากครับ~