MDB ตอนที่ 489 การฝึกงานและของรางวัล
ทั้งห้าคนล้วนเป็นลูกหลานของชนชั้นสูงของอาณาจักรเกลียวสวรรค์ ผู้ประเมินอ้วนกลมที่สวมเสื้อผ้าหรูหราที่เพิ่งพูดคุยกับหลินจิน เขามีชื่อว่าหลี่หยวนฉิง ลูกชายคนเล็กของเจ้าเมืองแห่งเมืองเกลียวสวรรค์ เนื่องจากเขาถูกครอบครัวบังคับให้เรียนวิชาการประเมินสัตว์วิเศษ เขาจึงกลายเป็นผู้ประเมินระดับหนึ่งในปัจจุบัน
ตามความเป็นจริง นักเรียนอีกสี่คนก็เป็นผู้ประเมินระดับหนึ่งเช่นกัน
พวกเขาแต่ละคนมีภูมิหลังครอบครัวที่ยอดเยี่ยม บางคนเป็นลูกชายของขุนนาง ในขณะที่บางคนเป็นลูกสาวของเศรษฐี ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งหมดเกิดมาด้วยช้อนทอง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทั่วไปต่างก็อิจฉา
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ไม่มีใครในพวกเขาได้รับการชื่นชมจากคนในครอบครัวเลย
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือเศรษฐี ก็มีแนวโน้มว่าพวกเขามีลูกหลานมากกว่าหนึ่งคน ลูก ๆ ของพวกเขาจึงถูกแบ่งชนชั้นในหลาย ๆ ด้าน
ประการหนึ่ง ลูกของภรรยาหลวงย่อมมีค่ามากกว่าลูกของภรรยาน้อย ในทำนองเดียวกัน เด็กที่โตกว่ามีความสำคัญมากกว่าเด็กที่อายุน้อยกว่า บางคนถูกกำหนดให้ไม่มีวันสืบทอดตำแหน่งและความมั่งคั่งของครอบครัว
ดังนั้นพวกเขาจึงถูกส่งมาที่นี่เพื่อศึกษาการประเมินสัตว์วิเศษ ด้วยวิชาความ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ส่วนไหนของโลก ผู้ประเมินทางการก็ยังคงเป็นอาชีพที่ได้รับการเคารพนับถือ
นอกจากคือหลี่หยวนฉิงแล้ว ในสี่คนที่เหลือ ยังมีเยว่หยุน ซึ่งเป็นลูกชายคนที่สามของแม่ทัพแห่งอาณาจักรเกลียวสวรรค์
หวังผิง ลูกชายของเจ้าเมืองเมืองทานตะวัน
เซินเยว่ชี ลูกสาวคนโตของหัวหน้าสมาคมพ่อค้าเมืองเกลียวสวรรค์
และคนสุดท้าย หยู่ต้ายเว่ย ลูกสาวคนเล็กของหัวหน้าสมาพันธ์นักบวช
พวกเขาทั้งหมดถือเป็นลูกหลานของขุนนางที่โดดเด่นที่สุดของเมืองเกลียวสวรรค์ และยังเป็น 'เพื่อนที่ดีที่สุด' ของเฟิงจือเฉียน องค์ชายสามอีกด้วย
นับตั้งแต่เฟิงจือเฉียนเอ่ยปากขอ พวกเขาก็มาที่นี่เพื่อให้การสนับสนุนหลินจินโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ
“อาจารย์หลิน พวกเราได้หารือกันเองแล้ว และพวกเราหวังว่าท่านจะรับเราเป็นนักเรียนส่วนตัว เราไม่ได้คาดหวังคำตอบในขณะนี้ แต่โปรดพิจารณาคำขอของเราด้วยขอรับ”
เนื่องจากหลี่หยวนซิงเป็นพี่คนโตในกลุ่ม เขาจึงเป็นผู้นำโดยพฤตินัย ดังนั้นเขาจึงรับหน้าที่เป็นผู้ร้องขออย่างจริงใจ
อาจารย์ของสถาบันฯได้รับอนุญาตให้รับนักเรียนส่วนตัว และจำนวนศิษย์ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของอาจารย์ พวกเขาสามารถเลือกที่จะไม่รับใครเลยหรือรับมากที่สุดเท่าที่ทำได้
อย่างไรก็ตาม อาจารย์มีสิทธิ์อันชอบธรรมในการเลือกนักเรียนของตนเอง ไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับการยอมรับให้เป็นลูกศิษย์ ในกรณีส่วนใหญ่ อาจารย์จะเลือกเฉพาะผู้ที่มีศักยภาพหรือผู้ที่พวกเขาชอบเท่านั้น
และตอนนี้ หลินจินพบว่าหลี่หยวนฉิงและเพื่อน ๆ ของเขาค่อนข้างน่าพอใจ
สำหรับพรสวรรค์และศักยภาพ หลินจินไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นเลยจริง ๆ
เขาเชื่อว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่านักเรียนโง่ ด้วยการศึกษาที่เหมาะสม แม้แต่ไส้เดือนก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นมังกรได้ในสักวันหนึ่ง
“ในหมู่พวกเจ้ามีใครเคยได้รับการเป็นศิษย์จากอาจารย์คนอื่น ๆ มาบ้างหรือไม่?” หลินจินถาม
หากพวกเขาเป็นนักเรียนส่วนตัวของอาจารย์คนอื่นอยู่แล้ว หลินจินก็คงรับพวกเขาเข้ามาไม่ได้แน่ ๆ เพราะท้ายที่สุดแล้ว กฎของสถาบันฯเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ต้องปฏิบัติตาม
คราวนี้ เยว่หยุนเป็นฝ่ายพูดขึ้น
“อาจารย์หลิน ไม่มีใครต้องการพวกเราเลย เอาข้าเป็นตัวอย่างก็ได้ หลังจากที่ได้คุณสมบัติระดับหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ข้าก็ไม่เคยมีการพัฒนาใด ๆ เลย ข้าพบว่ามันยากจริงๆ ที่จะเข้าใจทฤษฎีจากตำราประเมินสัตว์วิเศษ
ในชั้นเรียน ข้าได้ลองถามคำถามมากมาย แต่เมื่อได้รับคำตอบ ข้าก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี พวกอาจารย์มักจะเบื่อหน่าย และปฏิเสธที่จะอธิบายเพิ่มเติม พวกเขาจะเรียกข้าว่าเป็นคนที่สิ้นหวังเสมอ ฮึ่ม! มันช่างน่าหงุดหงิดจริง ๆ!”
เห็นได้ชัดว่าเยว่หยุนมีบุคลิกตรงไปตรงมา คนส่วนใหญ่มองว่าเขาเป็นคนง่าย ๆ
หลินจินกวาดตามองเขา และพบว่าเยว่หยุนมีรูปร่างที่แข็งแรง เขามีกล้ามเนื้อแน่นไปทุกส่วน เขาดูไม่เหมือนคนประเภทที่ชอบวางแผนเลย
บางทีเขาอาจถูกมองว่าเป็นนักเรียนที่เรียนไม่เก่ง เพราะความสามารถในการทำความเข้าใจของเขาที่ขาดความเฉียบแหลม มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อาจารย์คนอื่น ๆ เลือกที่จะปฏิเสธเขา
อย่างไรก็ตาม หลินจินค่อนข้างชอบลักษณะการพูด และบุคลิกภาพของชายหนุ่มผู้นี้
“ถ้าไม่มีใครต้องการเจ้า งั้นข้าจะรับเจ้าไว้เอง เนื่องจากเจ้าเต็มใจที่จะเป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าจะไม่ผลักไสใครออกไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าจะต้องแจ้งให้พวกเจ้าทราบก่อน”
หลินจินหยุดคิดสักครู่
“สาเหตุที่พวกเจ้าต้องการเป็นลูกศิษย์ของข้า เป็นเพราะเฟิงจือเฉียนบอกให้พวกเจ้าทำใช่หรือไม่?”
หลี่หยวนฉิงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีทันที
“อย่างที่คาดไว้สำหรับอาจารย์หลิน ท่านเป็นคนเฉียบแหลมอย่างแท้จริง อย่างที่ท่านได้กล่าวมา องค์ชายสามได้ไหว้พวกเราให้มาที่นี่จริง ๆ
เมื่อท่านทราบเรื่องนั้นแล้ว ข้าจึงขอพูดอย่างตรงไปตรงมากับท่าน ในตอนแรก พวกเราไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราแค่ต้องการช่วยองค์ชายเท่านั้น พวกเราจึงไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับการเป็นลูกศิษย์เลย เพราะพวกเราไม่เคยเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ไม่ว่าอาจารย์ของพวกเราจะเป็นใครก็ตาม
แต่หลังจากเข้าเรียนในชั้นเรียนของท่านแล้ว พวกเราทั้งห้าคนก็ตกลงกันได้ว่าท่านมีความสามารถในการสอนอย่างแท้จริง ไม่น่าแปลกใจเลยที่องค์ชายจะยกย่องท่านมากขนาดนี้ ดังนั้นแล้วเราจึงอยากเป็นลูกศิษย์ของท่าน!”
หลี่หยวนฉิงเข้าประเด็นทันที
คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วยกับหลี่หยวนฉิง
เนื่องจากพวกเขาเป็นกันเองมาก หลินจินจึงไม่ชักช้าและยอมรับพวกเขาทั้งห้าคนทันที
เมื่อพวกเขาตรงไปตรงมากับหลินจิน เขาก็จะตรงไปตรงมากับพวกเขาเช่นกัน เขาเปิดเผยกับพวกเขาว่าเขาดำรงตำแหน่งเพียงสามเดือนเท่านั้น แต่เขาก็ให้สัญญาว่า ตลอดทั้งสามเดือนนี้ เขาจะตั้งใจสอนพวกเขาอย่างเต็มที่
นักเรียนทั้งห้าคนไม่มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้ ดังนั้นทุกอย่างจึงลงตัว
และอย่างที่หลินจินคาดไว้ ทั้งตันหลินและหลี่ซินฉีก็เข้ามาหาเขา
“อาจารย์หลิน ซินฉีเองก็สนใจที่จะเรียนเป็นลูกศิษย์ของท่านด้วยเช่นกัน” ตันหลินกล่าวอย่างเรียบง่าย
เธอสนิทกับหลินจิน ดังนั้นเธอจึงมักจะละทิ้งพิธีการที่ยุ่งยาก หลินจินพยักหน้า และหลี่ซินฉีก็โค้งคำนับหลินจินอย่างรวดเร็วด้วยความยินดี
หลี่หยวนฉิงและกลุ่มของเขาเห็นว่าหลินจินมีธุระต่อ พวกเขาจึงกล่าวลาและเดินจากไป
หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว ตันลินก็ดึงลินจินไปข้าง ๆ แล้วกระซิบกับเขาว่า
“ผู้ประเมินลิน นักเรียนทั้งห้าคนนี้เป็นนักเรียนที่เรียนยากที่สุดของสถาบันฯนี้ แม้ว่าพวกเขาจะเรียนในสถาบันฯมาสองหรือสามปีแล้วก็ตาม แต่ไม่มีใครเลยที่สามารถเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ระดับสองได้เลย ดังนั้นแล้ว อาจารย์ทุกคนต่างยอมแพ้กับพวกเขา”
ตันหลินเป็นห่วงลินจินอย่างเห็นได้ชัด
ท้ายที่สุดแล้ว การรับนักเรียนที่ฉาวโฉ่เช่นนี้ในวันแรกของการทำงาน ย่อมพิสูจน์ได้ว่าเป็นหายนะก่อนเวลาอันควร ทางสถาบันฯจะจัดให้มีการประเมินอาจารย์ รวมถึงอาจารย์ผู้ช่วยด้วย เกณฑ์หนึ่งคือความสามารถของนักเรียนส่วนตัวของอาจารย์
ที่ไหนมีการสอบ ที่นั่นจะมีการจัดอันดับ
อาจารย์ทุกคนให้ความสำคัญกับระบบการจัดอันดับนี้มาก เพราะการปรากฏตัวอยู่อันดับท้าย ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องน่าภาคภูมิใจ
แม้จะฟังคำเตือนของตันหลินแล้ว หลินจินก็ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว แต่อย่างใด เขาเชื่อว่าตราบใดที่นักเรียนยังมีศักยภาพที่จะพัฒนาได้ เขาก็เชื่อมั่นว่าเขาสามารถนำพวกเขาไปสู่ความเป็นเลิศได้
ในความเป็นจริง เขาอาจจะช่วยให้พวกเขาบรรลุระดับสองได้ภายในสามเดือนข้างหน้าด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นว่าหลินจินมีความมุ่งมั่นมากเพียงใด ตันหลินล้มเลิกความคิดที่จะโน้มน้าวเขา
“ถ้าข้าไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของท่านชายจง ข้ากคงเลือกเรียนกับอาจารย์หลินอย่างแน่นอน...” ทันใดนั้น ตันหลินก็พูดขึ้นมา
หลินจินคาดเดาไว้แล้วว่าเธอจะพูดแบบนี้ เขาจึงขัดขึ้นมาว่า
“ข้าจะอยู่ที่นี่เพียงแค่สามเดือนเท่านั้น และเจ้ายังมีเวลาอีกมากในสถาบันฯ ดังนั้นเจ้าจะต้องบรรลุระดับสามก่อนกลับบ้าน อาจารย์จงเป็นอาจารย์ที่โดดเด่น ดังนั้นการเรียนกับเขาจึงไม่ต่างอะไรกับการเรียนกับข้า”
หลินจินกำลังโม้โอ้อวดตัวเองอีกครั้ง ตันหลินกลอกตาอย่างตั้งใจเพื่อแสดงความดูถูกต่อคำชมเชยตัวเองของหลินจิน
แต่สิ่งที่ทำให้หลินจินประหลาดใจก็คือหนอนหนังสืออย่างฟานหยวนไม่ได้มาขอเป็นลูกศิษย์กับเขา
อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่ว่าเขาสามารถบังคับให้ฟานหยวนทำเช่นนั้นได้ เนื่องจากเขาน่าจะมีอาจารย์ที่สอนเขาอยู่แล้ว แผนปัจจุบันของหลินจินคือการบันทึกตัวอย่างสัตว์วิเศษต่อไปที่ศาลาประเมินอสูร และนั่นคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขา
ตันหลินเองก็ต้องการไปพบกับท่านชายจงด้วย ดังนั้นทั้งสองจึงออกเดินทางไปด้วยกัน พวกเขาคุยกันไปตลอดการเดินทาง แต่การสนทนาส่วนใหญ่ของพวกเขาเป็นการที่ตันหลินขอคำแนะนำจากหลินจิน
เธอเคารพความรู้ที่หลินจินเพิ่งแบ่งปันในการบรรยายก่อนหน้านี้มาก แม้ว่าพวกเขาจะเพิ่งเริ่มต้นด้วยพื้นฐาน แต่หลินจินก็นำเสนอพวกเขาในเชิงลึกมากขึ้น และนั่นพิสูจน์ได้ว่ารากฐานของเขาแข็งแกร่งกว่าของเธอมาก
ศาลาประเมินอสูรมีผู้เยี่ยมชมจำนวนมากในระหว่างวัน แต่โชคดีที่ส่วนใหญ่พบได้เฉพาะที่ชั้นหนึ่งเท่านั้น หลินจินแวะมาเยี่ยมท่านชายจงก่อนออกจากห้องเพื่อบันทึกตัวอย่างต่อที่ชั้นสอง
คราวนี้ เขาละเว้นจากการแสดงกิริยาที่แปลกประหลาดเหมือนเมื่อคืนก่อน ดังนั้นเขาจึงช้าลงอย่างมาก เพื่อไม่ใช่ผิดสังเกต
หลินจินถึงกับละทิ้งเวลาอาหารกลางวันของเขา เพราะเขาคิดว่าเวลานั้นควรใช้ไปกับการบันทึกสัตว์วิเศษจะดีกว่า
ในที่สุด การทำงานหนักของหลินจินได้รับการตอบแทน เมื่อเขากวาดห้องไปครึ่งหนึ่งบนชั้นสองเสร็จแล้ว พิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษก็ส่งเสียงเตือนอีกครั้ง
“มันมาแล้ว! มันมาแล้ว!”
หลินจินพูดด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับฟันซี่ใหญ่หนึ่งซี่ในมือ
จำนวนสัตว์หายากที่บันทึกไว้ในพิพิธภัณฑ์ตอนนี้เกินสามพันตัวแล้ว ดังนั้นรางวัลของเขาจึงมาในรูปแบบของรูปแบบพลังงานอสูร ส่วนที่ห้า
แม้ว่าหลินจินจะไม่สามารถฝึกฝนมันได้ แต่เขาก็ได้ทำการค้นคว้ารูปแบบพลังงานอสูรมาอย่างต่อเนื่อง วิธีการฝึกฝนนี้มีเพียงห้าส่วน ดังนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลินจินเพิ่งจะรวบรวมมันเป็นฉบับสมบูรณ์ได้แล้ว
ด้วยรูปแบบพลังงานอสูร ส่วนที่ห้า ชางเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ก็สามารถฝึกฝนต่อไปได้ นอกจากนี้ การฝึกฝนรูปแบบพลังงานอสูรแบบสมบูรณ์ยังรับประกันถึงการเพิ่มระดับความแข็งแกร่ง และระดับการฝึกฝนอีกด้วย