บบที่ 15 แค่ออกไปซื้อของนอกสำนักเอง?
กฎของสำนักเต๋าอี้เข้มงวดมาก แถมเหล่าคนของหอผู้คุมกฎแต่ละคนก็มีความยุติธรรม ไม่เคยมีการช่วยเหลือหรือละเว้นความผิดให้ใครทั้งสิ้น
ดังนั้น หากเย่ ฉางชิงคิดจะทำอะไรที่ผิดกฏของสำนัก คงไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้
เมื่อเห็นใบหน้ากังวลของเฉียนโหยวไฉ เย่ ฉางชิงได้แต่ถอนหายใจแล้วพูด
“ท่านผู้ดูแลเฉียน ท่านคิดมากเกินไปแล้ว ข้าถึงจะตกอับเพียงใดก็ไม่คิดจะโกงอาหารหรอก มันจะคุ้มแค่ไหนกันเชียว”
“ความจริงที่ช่วงนี้มีคนมาโรงครัวมากขึ้น วัตถุดิบเลยหมดเร็วเป็นธรรมดา”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของเย่ ฉางชิง ใบหน้าของเฉียนโหยวไฉก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
แม้เย่ ฉางชิงถึงแม้ไม่ได้เกิดจากตระกูลชั้นสูง แต่ก็ไม่ถึงกับต้องมาลักขโมยวัตถุดิบอาหาร มันมีค่าเพียงน้อยนิด
อาหารที่ใช้ในโรงครัวล้วนเป็นวัตถุดิบธรรมดา ไม่ได้มีมูลค่ามากนัก
แต่เฉียนโหยวไฉยังสงสัยในสิ่งที่เย่ ฉางชิงบอกว่าช่วงนี้มีคนมาที่โรงครัวมากขึ้น เขาจึงถามขึ้น
“ทำไมอยู่ดีๆ คนถึงมามากขึ้น? ข้าจำได้ว่าไม่ค่อยมีใครไปโรงครัวไม่ใช่หรือ?”
“อาจเพราะฝีมือการทำอาหารของข้าดีขึ้นมั้ง” เย่ ฉางชิงยิ้มพลางตอบ แต่กลับได้เพียงสายตาขาวๆ จากเฉียนโหยวไฉ
“พอเถอะ เจ้าอย่ามาล้อเล่น ข้ารู้ดีว่าฝีมือเจ้าก็แค่พอกินได้”
เฉียนโหยวไฉไม่ติดใจอะไรเพิ่มเติม ตราบใดที่เย่ ฉางชิงไม่ได้คิดไม่ซื่อเขาก็ไม่กังวลมากนัก จากนั้นเขาก็เตรียมใบอนุญาติสั่งซื้อให้เรียบร้อย
“นี่! เอาไป”
“ขอบคุณท่านผู้ดูแลเฉียน”
“ถ้าช่วงบ่ายว่าง ข้าจะไปลองทานอาหารเจ้าดู ว่าฝีมือเจ้าดีเพิ่มขึ้นจริงไหม”
“ยินดีต้อนรับเสมอ”
“ฮ่าๆไปเถอะ เดินทางปลอดภัยล่ะ”
หลังจากทักทายกันเล็กน้อย เย่ ฉางชิงก็รับใบอนุญาติสั่งซื้อและออกจากหอผู้ดูแลภายนอก
เขารู้สึกชอบบรรยากาศของสำนักเต๋าอี้มาก ที่นี่ไม่มีเรื่องดราม่าไร้สาระเหมือนในนิยายโลกก่อนของเขา
ในสำนักเต๋าอี้ ไม่มีใครจะมาหาเรื่องเขาโดยไม่มีเหตุผล แถมเวลาที่มีปัญหา พี่น้องร่วมสำนักก็มักจะช่วยเหลือกัน
เหล่าลูกศิษย์แต่ละระดับและผู้อาวุโสต่างทำหน้าที่ของตนอย่างเป็นระเบียบ เพื่อให้สำนักเต๋าอี้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
เย่ ฉางชิงเดินลงจากภูเขาดาบศักดิ์สิทธิ์และออกจากพื้นที่สำนัก
สำนักเต๋าอี้ประกอบด้วยภูเขาสามสิบหกลูก นอกจากภูเขาหลักแล้ว อีก 35 ลูกที่เหลือก็กระจายตัวกันอย่างกับเป็นค่ายกล ก่อให้เกิดเทือกเขาเรียงเป็นรูปแบบ
และนอกเทือกเขาออกไปไม่ไกล มีหมู่บ้านอยู่กว่าร้อยหมู่บ้าน
หมู่บ้านเหล่านี้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของสำนักเต๋าอี้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีหน้าที่ทำไร่ในนาและเลี้ยงสัตว์อสูรชั้นต่ำ เช่น หมูแดงลาย เป็นต้น
ตามความเข้าใจของโลกภายนอก หมู่บ้านเหล่านี้สามารถนับได้ว่าเป็นผู้เช่าที่ดินของสำนักเต๋าอี้
แต่การได้อยู่ในพื้นที่นี้ ถือว่าเป็นโชคดีของชาวบ้านเหล่านี้แล้ว
ประการแรก พวกเขาไม่ต้องกังวลว่าจะถูกสัตว์อสูรหรือปีศาจร้ายโจมตี อีกทั้งยังมีอาหารการกินอย่างเพียงพอ ไม่มีใครอดอยาก
ยิ่งไปกว่านั้น สำนักเต๋าอี้ยังสอนวิธีฝึกกำลังกายง่ายๆ ให้ชาวบ้านเหล่านี้ได้ฝึกฝน แม้จะไม่ได้เทียบชั้นกับวิชายุทธ์ แต่ก็ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นและลดการเจ็บป่วยได้
นอกจากนี้ลูกหลานจากหมู่บ้านเหล่านี้ยังมีโอกาสเข้าสำนักเต๋าอี้ง่ายกว่าผู้คนภายนอก หากมีพรสวรรค์และรากฐานที่ดี พวกเขาก็สามารถเข้ามาฝึกฝนที่สำนักเต๋าอี้ตั้งแต่ยังเด็ก ถือเป็นการได้เปรียบจากความใกล้ชิด
เย่ ฉางชิงเดินลงบันไดตามทางภูเขามาถึงหมู่บ้านฉี ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับภูเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
เขาคุ้นเคยกับที่นี่ดี และทันทีที่เห็นเขา ชาวบ้านในหมู่บ้านฉีก็ต่างออกมาต้อนรับด้วยความอบอุ
“นักพรตเย่มาแล้ว คราวนี้มาซื้ออะไรอีกหรือ?”
แม้เย่ ฉางชิงจะเป็นเพียงศิษย์งานรับใช้ แต่ในสายตาของชาวบ้านที่มีความเกี่ยวข้องกับสำนักเต๋าอี้นั้น เขาก็ยังถือเป็นผู้มีอำนาจสูงส่งเหมือนเซียนจากสวรรค์
เผชิญกับการต้อนรับของชาวบ้าน เย่ ฉางชิงยิ้มตอบกลับ
“อืม มาซื้อของน่ะ แล้วผู้ใหญ่บ้านอยู่ไหม?”
“อยู่ที่บ้าน ข้าจะพาท่านเย่ไปหาเขาเอง”
เมื่อมาถึงบ้านของผู้ใหญ่บ้านเย่ ฉางชิงก็บอกถึงสิ่งที่เขาต้องการซื้อ
ส่วนใหญ่แล้วเป็นของธรรมดา เช่น ข้าวสาร เนื้อหมูแดงลาย เส้นบะหมี่ ต้นหอม แตงกวา เต้าหู้ และพริกแดง
ของเหล่านี้หมู่บ้านฉีสามารถจัดเตรียมให้ได้หมด คนในหมู่บ้านก็รีบไปจัดเตรียมวัตถุดิบตามคำสั่ง
มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่มี คือพวกเครื่องปรุงรส
เนื่องจากของเหล่านี้ไม่ค่อยมีประโยชน์มากนักและราคาค่อนข้างสูง หมู่บ้านในหุบเขาจึงไม่สั่งของเหล่านี้
ถ้าจะให้ครบทุกอย่างเย่ ฉางชิงจำเป็นต้องเข้าเมืองเพื่อซื้อ
เมืองที่อยู่ใกล้สำนักเต๋าอี้ที่สุดมีอยู่สามเมือง เรียกรวมกันว่าเมืองสามหยวน ซึ่งตั้งอยู่รอบสำนักในรูปทรงสามเหลี่ยม
เมืองเหล่านี้อยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักเต๋าอี้ ทั้งยังเป็นเมืองที่รุ่งเรืองมาก ติดอันดับสิบของเมืองใหญ่ในภาคตะวันออก
เมืองที่อยู่ใกล้เย่ ฉางชิงที่สุดตอนนี้คือเมืองอี้หยวน หากขี่ม้ากิ้งก่าเกล็ดดำไป จะใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามก็ถึง
หลังจากดูเวลาแล้วเย่ ฉางชิงตัดสินใจทำอาหารกลางวันก่อน หลังจากนั้นจึงออกเดินทางไปเมือง โดยใช้เวลาครึ่งวันก็น่าจะพอ
เมื่อจัดเตรียมของทั้งหมดเสร็จแล้ว เขาเก็บไว้ในตะกร้าแบกหามและกล่าวลาชาวบ้านก่อนจะกลับสำนัก
เขากลับถึงโรงครัวทันเวลาพอดีกับมื้อเที่ยง
“วันนี้คงทำเต้าหู้ผัดพริกไม่ได้ ไม่มีพริกไทย เอาอะไรง่ายๆ ไปก่อนละกัน”
เย่ ฉางชิงเริ่มเตรียมอาหารอย่างรวดเร็ว พอถึงเวลาอาหาร เหล่าศิษย์รับใช้ก็ทยอยกันมาถึง รวมถึงหงจุน หลู ยูอู และหลิวซวงด้วย
โดยเฉพาะหงจุน ที่ใช้วิชาตัวเบาเหาะเหินพุ่งมาเป็นคนแรก
“ท่านผู้นำ...”
“อะไรของเจ้า ข้าแค่ใช้ความสามารถเข้าคิวก่อน มีปัญหาอะไร?”
หงจุนพูดอย่างตรงไปตรงมา ข้าก็ใช้ความสามารถแย่งตำแหน่งแรกมาเอง ใครจะทำไม? พวกเจ้ามันแค่ช้าเอง
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น ศิษย์งานรับใช้ทุกคนก็ได้แต่เก็บงับความมโกรธแต่ไม่กล้าแสดงออก แอบตั้งปณิธานในใจว่าต้องฝึกวิชาตัวเบาให้ได้โดยเร็ว
แม้จะไม่สามารถแย่งผู้นำได้ แต่ขอแค่แย่งจากเพื่อนข้างๆ ได้ก็น่าพอใจแล้ว
ชั่วขณะหนึ่ง สายตาของศิษย์รับใช้ต่างมองกันอย่างไม่เป็นมิตร อาหารมื้อนี้ต้องเป็นข้ากินก่อน!
มื้อนี้ก็เหมือนเดิม อาหารหมดอย่างรวดเร็ว และคนที่กินเยอะที่สุดก็ยังคงเป็นหงจุน
เขายังคงแข็งแรงเหมือนเดิม กินได้เยอะจนแม้แต่คนหนุ่มยังต้องส่ายหน้า
“เจ้าจะไปเมืองอี้หยวนหรือ? เจ้าไม่รู้หรือว่าในเมืองมีข่าวเรื่องการเคลื่อนไหวของพวกพรรคมาร สำนักกำลังเร่งตามจับอยู่ ตอนนี้อย่าเพิ่งไปเลยจะดีกว่า”
หลังจากกินเสร็จหงจุนได้ยินว่าเย่ ฉางชิงจะไปเมืองอี้หยวนในช่วงบ่าย เขาก็แสดงความกังวล
พรรคมารไม่ใช่เรื่องเล่นๆโดยเฉพาะเย่ ฉางชิงที่มีพลังแค่ระดับหลอมร่างขั้นสูง หากพลาดไปอาจจะตายโดยไม่รู้ตัว
เย่ ฉางชิงถอนหายใจอย่างหงุดหงิด
“นั่นสิ คงลำบากหน่อย เครื่องปรุงในโรงครัวไม่ครบ ทำเมนูใหม่ไม่ได้เลย”
เขาอยากจะรีบทำเมนูใหม่ให้ได้ แต่หงจุนกลับตาลุกวาวเมื่อได้ยินเรื่องเมนูใหม่
“แต่อย่ากังวลไป พวกพรรคมารก็ยุ่งยากจริง แต่ในดินแดนของสำนักเรา คงไม่ถึงกับให้พวกมันย่ำยีได้หรอก หากเจ้าต้องการไปเมืองอี้หยวน ข้ายังเห็นว่าเจ้าคงไม่มีพาหนะใช่ไหม? ข้าจะให้เจ้ายืมสักตัว”
พูดจบ หงจุนก็สั่งจิต สักพักนกกระเรียนสองตัวบินมาจากท้องฟ้าและลงจอดในลานอย่างมั่นคง
เมื่อเห็นนกกระเรียนเซียนทั้งสองตัว หลู ยูอูและหลิวซวงต่างตะลึง หลิวซวงถึงกับอดถามไม่ได้
“ท่านอาจารย์ ท่านจะ...”
“ฮ่าๆ ฉางชิงต้องจัดการเรื่องโรงครัวของข้า การมีพาหนะดีๆจะช่วยให้ประหยัดเวลาได้มาก”
หงจุนหัวเราะพลางอธิบาย ไม่ใช่เพราะเขาอยากกินเมนูใหม่หรอกนะ!