บทที่ 3 ฮวาเสี่ยวเม่ย
หลังจากใส่ข้าวลงในหม้อแล้ว เขาจึงเดินไปที่ศพของหลิวซานและเริ่มค้นตัว
สิ่งที่ทำให้เขาดีใจก็คือ หลิวซานคนนี้ค่อนข้างมีเงิน เขาค้นเจอเงินเหรียญหลายตำลึง
ในโลกนี้ หนึ่งต้าลึงเงินเท่ากับหนึ่งพันเหรียญทองแดง และหนึ่งพันเหรียญทองแดงมีประมาณ 700-800 อีแปะ สำหรับซื่อเฟยเจ๋อในตอนนี้ถือว่าเป็นทรัพย์สมบัติมหาศาลทีเดียว
แต่ไม่นานนัก เขาก็พบรอยสักสี่เหลี่ยมที่มีลวดลายด้านในบนแขนของหลิวซาน
ซื่อเฟยเจ๋อรู้จักลายนี้ มันเป็นของแก๊งท้องถิ่นในเมืองอี้หยาง นั่นคือแก๊งสี่ทิศ
ในเมืองอี้หยางมีแก๊งใหญ่สามแก๊ง คือแก๊งสี่ทิศ แก๊งฮั่วซา และแก๊งเซวียหลาง
หลังจากฮวงเทียนเข้าครอบครองเมืองอี้หยาง สามแก๊งนี้ก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือดในช่วงที่ผ่านมา และพื้นที่ที่ซื่อเฟยเจ๋ออาศัยอยู่ก็เป็นของแก๊งสี่ทิศ
เขาฆ่าคนของแก๊งสี่ทิศ จึงไปร้านยาไม่ได้แล้ว แม้ว่าคนในแก๊งจะเคารพเจ้าของร้านยามาก แต่พวกเขาก็ชอบตะโกนสั่งคนอื่นๆ ในร้านยา ทำตัวเหมือนเจ้าของ! งั้นไปที่อื่นในเมืองอี้หยางดีไหม?
เมืองอี้หยางมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยม ยาวจากตะวันออกไปตะวันตก 15 กิโลเมตร ยาวจากเหนือไปใต้ 10 กิโลเมตร เป็นเมืองใหญ่ที่เชื่อมต่อเหนือใต้ของมณฑลยี่! แค่เขาหลบไปอยู่ที่อื่นในเมือง แก๊งสี่ทิศก็คงหาเขาไม่เจอ
ไม่อย่างนั้นต้องคอยระแวดระวังตลอดเวลา จะฝึกวิชาให้แกร่งกล้าได้อย่างไร!
เขาต้องหนีออกจากเมืองอี้หยาง แล้วฝึก "คัมภีร์นิ้วเดียวพิชิตสรรพสิ่ง" จนถึงขั้นเริ่มชำนาญ ตอนนั้นค่อยกลับมาฆ่า ชี้นิ้วทีเดียวฆ่าหนึ่งคน สังหารทั้งตระกูลแก๊งสี่ทิศ ถึงจะสาแก่ใจ! “ฮ่า ฮ่า” คิดได้ดังนั้น เขาก็ม้วนเสื้อผ้าสองชุดที่มีอยู่เป็นห่อ กินข้าวเสร็จแล้วก็มุ่งหน้าไปยังประตูใต้
จริงๆ แล้วบ้านของเขาอยู่ใกล้ประตูเหนือที่สุด แต่การไปประตูเหนือต้องผ่านร้านยา เขากลัวว่าจะถูกคนในร้านยาเห็น เกิดเรื่องขึ้นมา จึงไปทางประตูใต้แทน
ตอนนี้ผ่านยามเช้าไปแล้ว ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงเต็มที่ ฮวงเทียนเหนือจวนเจ้าเมืองหายไปแล้ว ท้องฟ้ากลับมาเป็นสีฟ้าอ่อนอีกครั้ง
ร้านค้ารอบๆ ประตูใต้เริ่มทยอยเปิด เสียงร้องขายของ เสียงตะโกนเรียกลูกค้าดังขึ้นทั่วทุกหนแห่ง ทั้งเมืองอี้หยางเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
ซื่อเฟยเจ๋อมองภาพความเป็นอยู่ของผู้คนเหล่านี้ แล้วนึกถึงการต่อสู้เอาชีวิตรอดเมื่อคืน รู้สึกราวกับเป็นคนละภพคนละชาติ
คิดดูแล้ว เมื่อจะเดินทางไกล ก็ควรเตรียมตัวให้พร้อม
ดังนั้นเขาจึงไปที่โรงรับจำนำ ซื้อร่มเก่าๆ มาหนึ่งคัน แล้วไปที่ร้านขายเสบียงแห้ง ซื้อเสบียงแห้งติดตัวไว้บ้าง ซื้อน้ำเต้าปากเบี้ยวมาใส่น้ำด้วย
เมื่อเตรียมของเสร็จ เขาก็เดินตามฝูงชนออกจากประตูใหญ่ของเมืองอี้หยาง มุ่งหน้าไปทางเมืองชิวหยางทางใต้
เขาเดินทางในตอนกลางวัน พักแรมในตอนกลางคืน พอถึงวันที่สาม ซื่อเฟยเจ๋อรู้สึกว่าร่างกายฟื้นตัวไปไม่น้อย รีบเร่งเดินทางจนพลาดที่พัก จำต้องนอนกลางทุ่งกลางป่า
นี่ก็เพราะซื่อเฟยเจ๋อขาดประสบการณ์ เขาไม่รู้ว่าคนยุคนี้เดินทางแต่ละวันไปได้ไกลแค่ไหน โดยเฉพาะพ่อค้าเร่ส่วนใหญ่ใช้วัวม้าลากสินค้า เดินไม่เร็วนัก
ดังนั้นบนถนนหลวงทุกๆ สิบลี้จึงมีโรงเตี๊ยมหรือที่พักสำหรับคนเดินทางแวะพัก
พลาดที่พักนี้ไป ต้องเดินอีกหลายสิบลี้กว่าจะถึงที่พักถัดไป
เมืองชิวหยางอยู่ทางใต้ของเมืองอี้หยาง ห่างออกไป 400 กิโลเมตร เดินวันละ 40 ลี้ ต้องใช้เวลาเกือบ 20 วัน
แม้แต่ม้าเร็วที่วิ่งได้ 400 กิโลเมตรใน 1 วัน 1 คืน ก็ต้องเปลี่ยนม้าที่สถานีม้าไปเรื่อยๆ ไม่คำนึงถึงกำลังม้า ถึงจะทำความเร็วขนาดนั้นได้
เว้นแต่จะเป็นยอดฝีมือทางวิทยายุทธ์ ที่สามารถเดินทางได้พันลี้ในหนึ่งวัน จากเมืองอี้หยางถึงเมืองชิวหยางได้ภายในวันเดียว
"ฮ่า การเดินทางช่างไม่สะดวกเสียจริง! ถ้ามีรถไฟความเร็วสูง..." ซื่อเฟยเจ๋อเก็บฟืนมากองหนึ่ง หาที่กำบังลมในป่าใกล้ถนนหลวง จุดไฟขึ้นพลางบ่นอุบอิบ
รถไฟความเร็วสูงบ้าอะไร แค่ชั่วโมงสองชั่วโมงก็ถึงแล้ว!
กลางคืนในป่า อุณหภูมิลดลงค่อนข้างมาก ตอนกลางวันเดินจนเหงื่อท่วมตัว พอตกกลางคืนก็หนาวจนต้องผิงไฟ
การนอนคนเดียวในป่าเป็นเรื่องอันตรายมาก ไม่ต้องพูดถึงโจรผู้ร้ายที่อาจผ่านมา แค่กองไฟดับ อากาศหนาวเย็นฉับพลัน แมลงพิษงูพิษก็น่าปวดหัวมากแล้ว
ถ้ามีสองคนยังสามารถผลัดกันเฝ้ายาม แต่คนเดียวนอนไม่หลับ ซื่อเฟยเจ๋อจึงทำได้แค่ยืนฝึกวรยุทธ์
หลังจากพักผ่อนมาหลายวัน แม้บาดแผลภายนอกยังไม่หายสนิท แต่เส้นลมปราณในร่างกายไม่เจ็บปวดแล้ว สามารถลองยืนฝึกพลังได้
เหมือนกับท่านิ้วกระบี่ที่ยืนครั้งที่แล้ว เท้าทั้งสองยืนนิ่ง มือทั้งสองแนบลำตัว ยืนตัวตรงทั้งร่าง หายใจเข้าออก พลังแท้ก็เกิดขึ้นในตันเถียนเอง
"ร่างกายที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะฝึกพลังแท้ได้" "หลายสิบปีมานี้ไม่เคยมีใครฝึก 'คัมภีร์นิ้วเดียวพิชิตสรรพสิ่ง' สำเร็จ"! ซื่อเฟยเจ๋อไม่คิดถึงคำพูดของหลิวซานอีกต่อไป
แค่เรื่องไร้สาระเรื่องเดียว เขาก็เกือบถูกฆ่าแล้ว โลกนี้อันตรายเกินไปสำหรับคนไร้ญาติขาดมิตร ไร้อำนาจวาสนาอย่างเขา
เขาได้ชีวิตใหม่ ไม่อยากตายอย่างไร้ค่าราวหญ้าปลายนาอีก! เขาต้องยึดเกาะพลังเดียวที่จะทำให้เขามีชีวิตรอดได้
เมื่อพระจันทร์ขึ้นสูงถึงยามสาม หลังจากซื่อเฟยเจ๋อหมุนเวียนพลังในเส้นเหรินเม่ยไปหลายรอบ และเส้นพลังแท้เล็กๆ ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงคนพูด
"ไม่คิดว่าที่นี่จะมีคนด้วย!"
ซื่อเฟยเจ๋อเงยหน้าขึ้น เห็นชายแปลกหน้าคนหนึ่งค่อยๆ เดินออกมาจากความมืด
เขาสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีขาว ด้านนอกสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ บนเสื้อคลุมมีลายเมฆมงคล สวมผ้าโพกศีรษะสีดำลายอักษรหมื่น ที่เอวคาดเข็มขัดหยกขาวประดับทอง ในมือถือพัดพับ
ใบหน้างดงามราวหยก ดวงตาสุกใสดั่งดวงดาว หล่อเหลาราวกับมังกร
ไม่เหมือนคนที่อยู่กลางทุ่งกลางป่า แต่เหมือนคนที่กำลังไปร่วมงานเลี้ยงมากกว่า! "ท่านคือ?" ซื่อเฟยเจ๋อเพิ่มความระแวดระวัง การที่จู่ๆ มีหนุ่มหล่อปรากฏตัวกลางดึกแบบนี้ ช่างน่าสงสัยเหลือเกิน
"ข้าคือฮวาเสี่ยวเม่ย ขอคารวะน้องชาย!" ชายผู้นั้นประสานมือคำนับอย่างมีมารยาท
แปลกจริง ผู้ชายคนหนึ่งชื่อฮวาเสี่ยวเม่ยนี่นะ (มันแปลว่าน้องสาวฮวา…)
"ข้าชื่อซื่อเฟยเจ๋อ!" ซื่อเฟยเจ๋อตอบอย่างสุภาพ
"ข้าเพิ่งกลับจากงานเลี้ยง ผ่านมาทางนี้ เห็นแสงไฟจึงแวะมาดู" ฮวาเสี่ยวเม่ยกล่าว
งานเลี้ยง? จะมีงานเลี้ยงอะไรกลางทุ่งกลางป่าแบบนี้?
"แล้วยังไงต่อ?"
"อะไรนะ ยังไงต่อ?"
"หลังจากแวะมาดูแล้ว ท่านจะทำอะไรต่อ?" ซื่อเฟยเจ๋อถามอย่างระแวดระวัง
"ฮ่า~" ฮวาเสี่ยวเม่ยหัวเราะพลางกล่าว "น้องชายอย่าตื่นตระหนกไปเลย! ข้าไม่มีเจตนาร้าย เพียงแต่เห็นท่าทางยืนของน้องชายเมื่อครู่น่าสนใจ จึงอยากจะพูดคุยสักหน่อย"
"อ้อ? น่าสนใจตรงไหนหรือ?"
"ท่านั้นข้าเคยฝึกตอนเด็กๆ" ฮวาเสี่ยวเม่ยกำลังจะพูดต่อ แต่จู่ๆ ก็หุบปากและมองไปอีกทิศทางหนึ่ง
ซื่อเฟยเจ๋อมองตามสายตาของเขา เห็นหญิงสาวชุดขาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นไม่ไกลจากกองไฟ
"อากาศหนาวเย็น ข้าน้อยขอเชิญท่านชายทั้งสองไปหลบลมที่เรือนของข้าน้อย!" เสียงของหญิงสาวผู้นั้นเย็นชาแต่ไพเราะ นางสวมชุดขาวพลิ้วไหว ปักปิ่นเงินบนศีรษะ สวมผ้าคลุมหน้าบางๆ จึงมองไม่เห็นใบหน้า
แต่ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายมาก แม้แต่สายตาที่มองพวกเขาทั้งสองคนก็ยังมีประกายจนเกินไป!
สีหน้าของฮวาเสี่ยวเม่ยเปลี่ยนไป กล่าวว่า "ไม่ไป!"