บทที่ 31 แมวป่าทะยานเมฆ
###
ที่ร้านไป่เฉ่าถัง
ลู่เซวียนเดินสำรวจตลาดอยู่สักพักแต่ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือ เขาไม่ได้รู้สึกผิดหวังและถือโอกาสนี้ไปเยี่ยมผู้จัดการเหอ
“เจ้าลู่ มาแล้วหรือ?!”
ชายชรารูปร่างผอมบางกำลังจดจ่ออยู่กับสมุดบัญชี เขามองลู่เซวียนผ่านๆ แล้วกลับไปสนใจงานของเขาต่อ
ลู่เซวียนหาที่นั่งว่างๆ เองและมองดูเหล่าเด็กหนุ่มวัย 13-14 ปีที่กำลังวิ่งวุ่นอยู่ในร้าน พวกเขาเป็นเด็กเก็บยา ทำงานพื้นฐานในการจัดการกับพืชวิญญาณที่ถูกเก็บเกี่ยวมา
งานที่เด็กพวกนี้ทำนั้นไม่ได้ซับซ้อนมาก ดังนั้นร้านไป่เฉ่าถังจึงไม่ลังเลที่จะทำงานตรงนี้ในโถงใหญ่แบบเปิดเผย เพราะไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะลอกเลียนแบบ
“มา ดื่มชาร้อนสักแก้ว”
ไม่นานนัก เมื่อผู้จัดการเหอทำงานเสร็จชั่วคราว เขาก็เดินมาหาลู่เซวียนและยื่นชาให้หนึ่งแก้ว ซึ่งเป็นชาวิญญาณสีเขียวอ่อนที่ลอยอยู่ในน้ำชา
เมื่อจิบชาวิญญาณลงคอ ความหอมสดชื่นก็อบอวลอยู่ในจมูก ทำให้ลู่เซวียนรู้สึกประทับใจในรสชาติเป็นอย่างมาก
“เป็นอย่างไรบ้าง? พืชวิญญาณที่ปลูกเติบโตดีหรือไม่? ถ้ามันไม่ผ่านเกณฑ์ เจ้าจะสูญเสียผลประโยชน์ไม่น้อยเลยนะ!”
ชายชราผู้ผอมบางถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เลวเลย พืชวิญญาณในรอบนี้คุณภาพดีกว่ารอบที่แล้ว”
ลู่เซวียนตอบพร้อมยิ้ม เขารู้ว่าพืชวิญญาณในทุ่งวิญญาณของเขาไม่เพียงแต่ส่งผลต่อผลประโยชน์ของตัวเขาเอง แต่ยังเกี่ยวข้องกับหน้าตาของผู้จัดการเหอด้วย เพราะเฒ่าเหอเป็นคนที่แนะนำให้เขาเข้ามาทำงานร่วมกับไป่เฉ่าถัง
เมื่อได้ยินคำตอบ ผู้จัดการเหอก็คลายความกังวล ทั้งสองพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย
ทันใดนั้น หญิงคนหนึ่งพาลูกน้อยของเธอเดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทีรีบร้อน
หญิงผู้นั้นร้องไห้ตาบวมมาก จนเห็นได้ชัดว่าเธอร้องไห้มานานแล้ว เด็กน้อยในอ้อมแขนของเธอมีใบหน้าที่งุนงง อ้าปากค้างปล่อยให้ผู้เป็นแม่กอดแน่น
หญิงผู้นั้นสอบถามสักสองสามคำแล้วเดินเข้าไปในร้าน ผู้จัดการเหอกลัวว่าจะเกิดเรื่อง จึงเดินตามเข้าไป
สักครู่ต่อมา ผู้จัดการเหอกลับออกมาที่โถงพร้อมใบหน้าที่เคร่งขรึม
“นักปลูกพืชวิญญาณคนหนึ่งที่ร่วมงานกับร้านเกิดอุบัติเหตุ ครอบครัวของเขามาถามถึงการจัดการพืชวิญญาณที่เหลืออยู่”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“ว่ากันว่า เขากับเพื่อนอีกหลายคนชวนกันไปเก็บสมุนไพรในดินแดนลับแห่งหนึ่ง แต่โชคร้ายที่พบกับสัตว์อสูรระดับสองที่บาดเจ็บ เพื่อนสองคนเสียชีวิตในทันที ส่วนอีกสองคนบาดเจ็บสาหัส ใกล้ตายเต็มที”
“แล้วนักปลูกพืชวิญญาณที่ร่วมงานกับร้านชื่ออะไรหรือ?”
ลู่เซวียนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเล่ยเฟย ที่เคยเชิญชวนเขาให้เข้าไปในดินแดนลับเมื่อไม่นานมานี้
“ชื่อเล่ยเฟย เป็นหนึ่งในสองคนที่เสียชีวิต ทำไม เจ้ารู้จักเขาหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลู่เซวียนก็ได้รับการยืนยันจากปากของผู้จัดการเหอว่าเป็นเล่ยเฟยจริงๆ
“ตอนนั้นพวกเขาชวนข้าไปสำรวจดินแดนลับด้วย แต่ข้าห่วงพืชวิญญาณในทุ่ง และกลัวอันตราย จึงไม่ได้ไป”
ลู่เซวียนถอนหายใจ
“โชคดีที่เจ้าไม่ได้ไป ไม่อย่างนั้นคงต้องเพิ่มชื่อเจ้าในลิสต์คนที่ประสบเคราะห์ร้ายด้วย”
ผู้จัดการเหออดที่จะพูดขึ้นไม่ได้
“นับว่าพวกเขาโชคร้ายจริงๆ เข้าไปในดินแดนลับที่ผู้ฝึกปราณสำรวจมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ยังเจอสัตว์อสูรระดับสองอีก”
“แล้วพืชวิญญาณของเล่ยเฟยจะจัดการอย่างไร?”
“เมื่อผู้ปลูกพืชวิญญาณเสียชีวิต และครอบครัวของเขาไม่มีความรู้เพียงพอในการดูแลพืชระดับหนึ่ง ตามกฎแล้ว ร้านจะต้องเข้ามาดูแล โดยจะย้ายพืชเหล่านั้นมาและมอบค่าชดเชยให้กับครอบครัว”
“แต่แน่นอนว่าค่าชดเชยนั้นจะต่ำกว่ามูลค่าของพืชที่เติบโตเต็มที่มาก ครอบครัวของเล่ยเฟยมาวันนี้เพื่อขอร้องให้ทางร้านส่งพืชที่เหลืออยู่คืนให้กับพวกเขาดูแลเอง”
ผู้จัดการเหอไม่ได้พูดตรงๆ ว่าจะจัดการอย่างไร แต่ลู่เซวียนพอจะเดาได้ว่าร้านไป่เฉ่าถังคงจะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์มากกว่าความเห็นใจ
เหตุการณ์นี้ทำให้ลู่เซวียนยิ่งมั่นใจว่าจะไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับดินแดนลับ เพราะหากเขาออกไปแล้วไม่กลับมา พืชวิญญาณในทุ่งของเขาคงตกเป็นของคนอื่นแน่ๆ
หลังจากเหตุการณ์นี้ ลู่เซวียนก็หมดอารมณ์จะดื่มชาต่อ เขากลืนชาลงไปแล้วก็ลุกขึ้นออกจากร้าน
...
“แมวป่าทะยานเมฆตัวเล็กแค่นี้แต่เจ้าจะขายถึง 40 หินวิญญาณ เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ?”
“สหาย นี่ไม่ใช่แมวป่าธรรมดา เจ้ามองดูตาของมัน นี่คือสัตว์อสูรสายพันธุ์พิเศษ ราคาย่อมไม่ธรรมดา”
ขณะที่ลู่เซวียนเดินเตร่ในตลาด เสียงโต้เถียงจากแผงหนึ่งดึงความสนใจของเขา
ลู่เซวียนเดินไปที่แผงนั้นและพบว่าความสนใจของเขาถูกดึงดูดไปยังกรงเหล็กมุมหนึ่ง
กรงนั้นทำจากวัสดุที่ไม่รู้จัก แผ่นเหล็กยาวที่มีลวดลายละเอียดเย็นเยียบ สี่มุมของกรงมีคาถาแปะไว้เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งที่อยู่ข้างในหนีออกมาได้
ผ่านช่องว่างของกรง ลู่เซวียนเห็นลูกแมวป่าตัวเล็กอยู่ข้างใน
มันมีขนสีดำสนิท ยกเว้นฝ่าเท้าทั้งสี่ที่ขาวเหมือนหิมะ ขณะยืนจึงดูเหมือนว่ามันเหยียบอยู่บนเมฆขาวทั้งสี่ จึงเป็นที่มาของชื่อแมวป่าทะยานเมฆ
หูของมันยาวและตั้งตรง ที่ปลายหูมีขนสีขาวสองพุ่มยาวเหมือนเสาอากาศ
ดวงตาของมันเป็นสีเขียวสดเหมือนหยก ส่องประกายเย็นเยียบขณะมองไปรอบๆ
เมื่อแมวป่าทะยานเมฆตัวน้อยเห็นลู่เซวียนมองมา มันก็แยกเขี้ยวเล็กๆ ของมันและทำท่าพร้อมที่จะต่อสู้
“แค่เพราะตามันดูสวยจะเรียกว่าสัตว์อสูรสายพันธุ์พิเศษได้แล้วหรือ? ถ้างั้นข้าเอาเข็มขัดไปคาดที่เอว จะนับว่าข้าเป็นผู้ฝึกปราณพิเศษด้วยหรือไม่?”
ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งกล่าวประชดใส่เจ้าของแผง
เขาโกรธไม่น้อยเพราะแมวป่าทะยานเมฆตามปกติขายกันในราคาแค่ 20 หินวิญญาณเท่านั้น แต่เจ้าของแผงกลับขอตั้ง 40 หินวิญญาณเพราะดวงตาของมันต่างจากปกติ
“40 หินวิญญาณ ลดไม่ได้แล้ว!”
เจ้าของแผงยืนยันราคาของเขาไม่ยอมลด
“เก็บแมวป่าทะยานเมฆสายพันธุ์พิเศษของเจ้ากลับไปดูเล่นเองเถอะ! จะได้มองมันให้เต็มตาทุกวัน”
ผู้ฝึกปราณคนนั้นกล่าวประชดและเดินจากไป
“ไม่รู้จักของดี”
เจ้าของแผงกล่าวเยาะ
“สหาย ข้าขอถามหน่อยว่า แมวป่าทะยานเมฆตัวนี้ท่านได้มาจากไหน และดวงตาของมันเกิดอะไรขึ้น?”
เสียงอ่อนโยนดังขึ้นข้างๆ เจ้าของแผง เมื่อเขาหันไปก็พบกับลู่เซวียนที่ยืนอยู่หน้ากรง ดวงตาของเขาเป็นประกายใสบริสุทธิ์มองตรงมาที่เขา
“ข้าและสหายต้องผ่านอุปสรรคมากมายกว่าจะได้มันมาจากดินแดนลับ”
“แมวป่าทะยานเมฆเป็นสัตว์อสูรระดับหนึ่งที่เคลื่อนไหวรวดเร็วเงียบเชียบ และมีพลังโจมตีดีเยี่ยม ตัวนี้แตกต่างจากตัวทั่วไป ดวงตาของมันอาจมีพลังพิเศษเมื่อเติบโต”
“เจ้าสนใจหรือไม่?”
“30 หินวิญญาณเป็นอย่างไร?”
ลู่เซวียนต่อรองราคาทันที
“ฮึ”
เจ้าของแผงกอดอกทำท่าไม่สนใจ
“ท่านว่ามันเป็นสัตว์อสูรสายพันธุ์พิเศษหรือ? มีหลักฐานอะไรรองรับหรือไม่ แค่ดวงตาสีเขียวหยกนี้เท่านั้นหรือ?”
“ต้องรู้ไว้ว่าสัตว์อสูรสายพันธุ์พิเศษนั้นหายากมาก สัตว์อสูรระดับหนึ่งที่เป็นสายพันธุ์พิเศษนั้นยิ่งหายากเข้าไปอีก”
“ดวงตาสีเขียวของมันอาจจะเกิดจากการถูกกระทบกระเทือนในช่วงที่มันเป็นตัวอ่อน หรืออาจได้รับอิทธิพลจากพลังวิญญาณพิเศษในสิ่งแวดล้อมตอนที่มันเติบโต ท่านจะบอกว่ามันเป็นสัตว์อสูรพิเศษเพียงเพราะสิ่งนี้ มันก็เกินไปหน่อย”
“ยิ่งไปกว่านั้น สภาพของลูกแมวป่าทะยานเมฆตัวนี้ก็ไม่ค่อยดีนัก ดูเหมือนว่ามันจะได้รับบาดเจ็บระหว่างที่ท่านจับตัวมันมา อีกทั้งมันยังถูกขังในกรงไม่ได้รับการรักษาและพักฟื้น”
“ข้าสงสัยว่ามันจะมีชีวิตรอดหรือเปล่าด้วยซ้ำ”
“36 หินวิญญาณ ลดไม่ได้แล้ว พวกข้าต้องเสียสละมากกว่าจะจับมันมาได้”
“32 หินวิญญาณ ข้าจะซื้อทันที”
ลู่เซวียนรู้ว่าเจ้าของแผงเริ่มถูกเขาโน้มน้าวแล้ว และเขาเองก็ชอบแมวป่าทะยานเมฆตัวนี้มากจึงยอมยืดหยุ่นเรื่องราคา
“ก็ได้ ข้าจะขายให้เจ้าถูกๆ”
เจ้าของแผงกัดฟันตกลง
เขารู้ดีว่าความเป็นไปได้ที่มันจะเป็นสายพันธุ์พิเศษมีน้อย และการที่มันอยู่ในมือของเขานานเกินไปอาจทำให้มันตายก่อนที่จะขายได้ การที่สามารถขายได้ราคาสูงกว่าปกติแบบนี้นับว่าเป็นผลดีแล้ว