ตอนที่ 29 : ตัวนาง
.
“เฮ้อ...นี่มันขาดทุนมากไปแล้ว”
.
เฉินหลิงกำลังเดินถนนบนภูเขาเพื่อกลับบ้าน เขามองลงดูเสื้อคลุมผ้าฝ้ายของตนเองที่ถูกเจาะเป็นรูสองรู ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความทุกข์
ในช่วงสอบไม่มีเงินเดือนให้สำหรับที่นั่งสำรอง ไม่มีเงินอุดหนุนสำหรับเสื้อผ้าที่ขาดชำรุด ท้ายที่สุดเขาทำเสื้อผ้าเสียหายโดยไม่มีเหตุผลระหว่างการงาน...สิ่งนี้ทำให้ครอบครัวเขาลำบาก เพราะไม่มีเงินซ่อมเสื้อผ้าหรือซื้อใหม่ เพราะไม่มีรายได้ นี่มันซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ
แน่นอนว่าวันนี้เขายังได้รับบางสิ่งบางอย่าง
[ค่าความคาดหวังปัจจุบัน: 40%]
นับตั้งแต่ได้รับคำสั่งจากเฉียนฝาน ให้รับช่วงต่อจากอู๋โหยวตงเรื่องการสืบสวน ความคาดหวังของผู้ชมก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันเพิ่มขึ้น 5% ช่วงที่ไปร้านน้ำชาเพื่อหาผู้คุมกฎ และหลังจากการลงมือจัดการคนในร้านเหล้า ค่าความคาดหวังก็เพิ่มขึ้น 10% จากเดิม
เดิมทีเฉินหลิงคิดว่าเขาจะได้รับความคาดหวัง เมื่อผู้คุมกฎกลับไปที่ร้านเหล้า แต่ในความเป็นจริง ดูเหมือนว่าความคาดหวังของผู้ชมจะเพิ่มขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเขาอยู่ที่นั่นด้วย
เฉินหลิงกำลังคิด เขาจะหาวิธีที่จะได้รับค่าความคาดหวังได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ได้ยังไง
เขาเดินไปตามถนนบนภูเขานานกว่าสองชั่วโมง ในที่สุดก็กลับมาที่ถนนหานซวง ยังไม่ทันเดินถึงประตูเขาก็ได้ยินน้ำเสียงไพเราะและชัดเจนดังมาจากบ้าน
.
“แม่ชีตัวน้อย อายุ 28 ปี
.
กำลังเยาว์วัย ถูกอาจารย์โกนผม
.
ทุกๆ วันจุดธูปหอม เปลี่ยนน้ำในวัด
.
พบเห็นเด็กน้อยหลายคน เล่นเกมใต้ประตูภูเขา
.
เขามองดู เรา
.
เราก็เฝ้าดูเขา
.
เขากับเรา เราอยู่ร่วมกันกับเขา
.
ทั้งสองต่างห่วงใย... "
.
เฉินหลิงเลิกคิ้วเล็กน้อยหลังจากได้ยินเพลงนี้
ท่อนนี้ของซีฟานเป็นท่อนคลาสสิกในละครงิ้ว ชาติที่แล้วเป็นที่รู้จักทั่วโลกจากภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง "Farewell My Concubine" เฉินหลิงเคยได้ยินเรื่องนี้บ่อยครั้ง แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ เพลงละครของโลกนี้กลับเหมือนชาติก่อน
สิ่งที่ทำให้เฉินหลิงประหลาดใจยิ่งกว่านั้น คือเสียงของเฉินเยี่ยนไพเราะมากและทักษะการร้องเพลงของเขาก็ดีมากเช่นกัน แม้แต่นักแสดงชื่อดังที่เคยแสดงละครในชีวิตก่อนก็ยังด้อยกว่าเขา
ถ้าพูดตามเหตุผล หากไม่ได้รับคำชี้แนะจากอาจารย์ที่มีชื่อเสียง คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมาถึงจุดนี้...
เฉินหลิงคิดขณะเดินเข้าไปในบ้าน เขาเห็นฉู่มู่อวิ๋นยังคงนั่งท่าเดิมอยู่ในห้องนั่งเล่น มือถือหนังสือและกำลังอ่านมันอย่างจริงจัง
“นี่คุณอยู่ในท่านี้ทั้งวัน โดยไม่ขยับตัวเลยเหรอ?” เฉินหลิงอดไม่ได้ที่จะถาม
“ขยับแล้ว เมื่อเช้าผมออกไปเดินเล่น สูดอากาศข้างนอก”
เฉินหลิงพยักหน้า “อาเยี่ยนไม่ได้รบกวนคุณใช่มั้ยครับ?”
“ไม่เป็นไรครับ”
"งั้นก็ดีครับ" เฉินหลิงนั่งลงที่โต๊ะถัดไป เมื่อมองเข้าไปในห้องนอน เห็นเฉินเยี่ยนฝึกเลิกคิ้วหน้ากระจกพร้อมฝึกออกเสียง เฉินหลิงก็พูดด้วยสีหน้าซับซ้อน
“อาเยี่ยนสนใจละครมาตั้งแต่เด็ก น่าเสียดายเขตสามเล็กเกินไปไม่มีใครสามารถสอนเขาได้...ส่วนครอบครัวของเราก็ไม่สามารถจ้างครูได้”
"ละคร...ทุกวันนี้มีคนไม่มากที่เข้าใจ" ฉู่มู่อวิ๋นมองดูห้องนอน "เท่าที่ผมทราบ ในเมืองออโรร่ามีไม่กี่คนที่เข้าใจ”
เสียงร้องของเฉินเยี่ยนค่อยๆ เงียบลง ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินเฉินหลิงกลับมาจึงวิ่งมาที่ห้องนั่งเล่นทันที และถามอย่างตื่นเต้น
"พี่ พี่คิดว่าการแต่งหน้าของผมดูดีมั้ย?”
เฉินเยี่ยนกะพริบตา อายแชโดว์สีแดงคล้ายแอปริคอตทาไปทั้งสองด้าน ดูหรูหราและนุ่มนวล ดวงตาถูกยกขึ้นภายใต้โครงร่างของเส้นสีดำหนา ทำให้พวกเขาดูมีพลังเป็นพิเศษ
เฉินหลิงตระหนักดีว่านี่คือการแต่งหน้าของ "บทตัวนาง" แต่อาจเป็นเพราะเฉินเยี่ยนเรียนรู้ด้วยตนเองล้วนๆ จึงยังคงมีความแตกต่างมาก เมื่อเทียบกับชาติก่อนของเขา
แต่ถึงกระนั้น นี่ก็ยังเป็นใบหน้าที่สมบูรณ์แบบของเด็กผู้ชายที่สวยงามไม่มีข้อบกพร่องอย่างแน่นอน
“มันดูดี” เฉินหลิงตอบอย่างจริงใจ “แต่รายละเอียดบางอย่างดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง...หากพี่มีเวลา น่าจะช่วยนายแก้ไขได้”
“พี่รู้วิธีแต่งหน้าละครด้วยเหรอ?”
"ก็นิดหน่อย"
เฉินเยี่ยนมองดู สายตาของเขาที่มีต่อพี่ชายเต็มไปด้วยความชื่นชม
“พี่ พี่คิดว่าผมสามารถแสดงในงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่า หลังจากผมกลับไปโรงเรียนได้มั้ย”
"แน่นอนว่าได้ ทั้งสามเขตมีเพียงครอบครัวเราที่ร้องเพลงละครได้ เมื่อถึงเวลานายก็สวมชุดของนาย แต่งหน้า แล้วใช้เสียงของนาย พวกนักเรียนจะต้องตกใจแน่นอน" เฉินหลิงหัวเราะเบาๆ
“เขายังอยากไปโรงเรียน?” ฉู่มู่อวิ๋นถามด้วยความประหลาดใจ
“ถูกต้อง” เฉินหลิงพยักหน้า “เขาเพิ่งเข้าชั้นมัธยมศึกษาปีแรก…แต่เขาดันล้มป่วยหลังจากเข้าโรงเรียนได้ไม่กี่วัน ตอนนี้เขาหายดีแล้ว เขาน่าจะลงทะเบียนกับนักเรียนปีถัดไปได้”
"พี่ครับ แล้วผมควรจะร้องเพลงอะไรดีล่ะ?”
“ถ้าร้องคนเดียว”ซีฟาน“คงจะดี...”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะฝึกอีกรอบ!”
ดวงตาของเฉินเยี่ยนเป็นประกาย เขาลุกขึ้นสวมชุดคลุมงิ้วสีแดง จากนั้นวิ่งเสียงตึงตังกลับไปที่ห้องนอน เพื่อเริ่มฝึกซ้อมอีกครั้ง
ท้ายที่สุดแล้วเฉินเยี่ยน ยังเป็นเพียงเด็กอายุ 15 ปีเท่านั้น นี่คือวัยที่เขาโหยหาเพื่อนฝูงและความสนใจ... ตอนสมัยที่เฉินหลิงอยู่ในโรงเรียน เขาเองก็เคยจินตนาการนับครั้งไม่ถ้วนว่าเขาหยิบกีตาร์เดินขึ้นเวที และแสดงต่อหน้าคนมากมายเพื่อแสดงทักษะให้เห็น
น่าเสียดาย...เขาไม่เคยทำเลย
แต่สำหรับเฉินเยี่ยน ความสามารถของซึ่งผสมผสานความเข้าใจตนเองเข้ากับการแสดงได้ มันเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมาก
“ไม่ต้องรีบ” เฉินหลิงพูดด้วยรอยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “มาช่วยพี่เตรียมอาหารเย็นก่อน ค่อยซ้อมทีหลังนะ”
เมื่อเห็นแบบนี้ เฉินเยี่ยนก็มาช่วยเฉินหลิงอย่างเชื่อฟัง หางตาเขาเหลือบไปเห็นรูขาดสองรูบนเสื้อคลุมผ้าฝ้ายของเฉินหลิง ม่านตาพลันหดตัวลง
“พี่เกิดอะไรขึ้นกับเสื้อผ้าพี่?” จู่ๆ น้ำเสียงของเขาก็จริงจังขึ้น
“ไม่เป็นไร มันเป็นแค่รอยขีดข่วนน่ะ”
ฉู่มู่อวิ๋นที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ได้ยินบทสนทนา ดวงตาหลังเลนส์หรี่ลงทันที...
"คุณถูกยิงเหรอ?"
เฉินเยี่ยนเงยหน้าขึ้นทันที
“ไม่ พวกเขายิงไม่โดน” เฉินหลิงรู้สึกถึงการจ้องมองของเฉินเยี่ยน จึงอธิบายทันทีว่า
"พวกเขาช้าเกินไป ผมหลบได้...เลยไม่ได้รับบาดเจ็บ"
ฉู่มู่อวิ๋นมองเขาแล้วพยักหน้าเล็กน้อย "เป็นเรื่องจริงที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ"
"พี่ ใครเป็นคนยิงพี่" เฉินเยี่ยนถามอย่างเย็นชา
“คือ...”
เฉินหลิงกำลังคิดจะพูดถึงถนนปิงฉวน แต่เมื่อเขาเห็นดวงตาของเฉินเยี่ยนฉายแววเย็นชาเสียดกระดูก เขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า
“ก็แค่พวกอันธพาลสองสามคน...ตอนนี้ถูกผู้คุมกฎจับกุมแล้ว”
เขารู้ว่าเฉินเยี่ยนได้หลอมรวม และรู้ด้วยว่าคืนนั้น ที่ถนนปิงฉวนเฉินเยี่ยนฆ่าคนไปอย่างสนุกสนาน...ถ้าเขาพูดคำว่าถนนปิงฉวนอีกครั้ง เขาก็กังวลว่าเฉินเยี่ยน...คืนนี้จะไปสังหารหมู่ที่ถนนนั่นอีกครั้ง
ต้องรู้ว่า ตอนนี้ถนนเส้นนั้นถูกครอบครองโดยผู้คุมกฎ เมื่อเฉินเยี่ยนไปที่นั่นอีกครั้ง เป็นไปได้มากว่าเขาจะได้พบกับเจ้าหน้าที่สอบสวน
หลังจากได้ยินดังนั้น สีหน้าของเฉินเยี่ยนก็สงบลง เขาหยิบเสื้อคลุมผ้าฝ้ายที่ฉีกขาดขึ้นมาอย่างเงียบๆ แล้วพูดว่า
"...ผมจะเย็บมันให้พี่นะ"
เสื้อคลุมงิ้วของเฉินเยี่ยนก็เป็นเขาลงมือทำด้วยตนเองทั้งหมด สำหรับเขา การซ่อมเสื้อผ้าจึงไม่ใช่เรื่องยาก
“พวกเขามีปืน...แล้วคุณชนะได้ยังไง?” ฉู่มู่อวิ๋นมองเข้าไปในดวงตาเฉินหลิงพยายามมองผ่านหัวใจของเขา
“พวกเขามีปืนแต่ใช้ไม่เป็น ยิงไปหลายนัดก็แค่ถากๆ เสื้อผ้าผม...คุณถามทำไม?”
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่เฉินหลิงจะบอกว่าเขาใช้ 'ระบำสังหาร' แถมเรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องโรงละครและการมีอยู่ของ "ผู้ชม"
“...ไม่มีอะไร”
ฉู่มู่อวิ๋นถอนสายตาแล้วกลับไปจ้องมองหน้าปกหนังสือ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากทั้งสามทานอาหารเย็นเสร็จ ต่างกลับห้องตนเอง รัตติกาลปกคลุมท้องฟ้า มีเพียงแสงออโรร่าสีฟ้าที่ลอยอยู่อย่างเงียบๆ
เฉินหลิงหลับไป จิตสำนึกของเขาล่องลอยเข้าไปในโรงละคร
ในห้องอันเงียบสงัดและมืดมิด
มีร่างหนึ่งเดินมาหาเขาอย่างเงียบเชียบ
ฉู่มู่อวิ๋น
เลนส์สะท้อนแสงระยิบระยับสีซีดภายใต้แสงออโรร่า ดวงตาเย็นชาจ้องมองไปที่เฉินหลิงซึ่งกำลังหลับใหลด้วยเจตนาฆ่า
เขาถือกริชเหมือนพระจันทร์เย็นเฉียบไว้มือขวา ค่อยๆ ยกมันขึ้น...
.
.