ตอนที่ 191 หวังเย่ (ฟรี)
ตอนที่ 191 หวังเย่
“เร็วเข้า รีบเรียกหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!” จักรพรรดิต้าเฉียนกังวลเป็นมาก เขารีบตะโกนเสียงดัง เพราะกลัวว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับกั๋วซือ
ในไม่ช้า หมอหลวงหลายคนก็รีบวิ่งมาจากด้านนอกท้องพระโรง
“เร็วเข้า เร็วเข้า รีบเข้ามาตรวจรักษาอาจารย์ข้า!” จักรพรรดิต้าเฉียนเร่งเร้าเหล่าหมอหลวง เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก และตาขวาของเขาก็กระตุก ราวกับว่าจะมีบางสิ่งที่ร้ายแรงกำลังจะเกิดขึ้น
“รับบัญชา!” เหล่าหมอหลวงต่างตกใจกับท่าทีของจักรพรรดิต้าเฉียน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นอีกฝ่ายวิตกกังวลถึงขนาดนี้
หลังจากนั้นไม่นาน หมอหลวงทุกคนก็หยุดสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ พวกเขาหันไปมองจักรพรรดิต้าเฉียน แล้วก้มลงคุกเข่ากับพื้น
“ฝ่าบาท สถานการณ์ของกั๋วซือย่ำแย่เป็นอย่างมาก เกรงว่าเขาจะเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว” ใบหน้าของหมอหลวงเริ่มซีดเซียว ดังนั้นเขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“ผายลม! เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่? อาจารย์ข้ายังอยู่ได้อีกนาน เจ้าหมอเถื่อนหุบปากเดี๋ยวนี้!” หลังจากได้ยินคำพูดของหมอหลวง สีหน้าของจักรพรรดิต้าเฉียนก็เปลี่ยนไป แล้วเขาก็คำรามด้วยความโกรธ
“องครักษ์ ลากไอ้เลวนี่ออกไปแล้วตัดหัวเขาซะ! หมอเถื่อนคนนี้คงได้ฆ่าผู้คนไปมากมายแล้ว มันจะเป็นหายนะหากเก็บเขาเอาไว้!” จักรพรรดิต้าเฉียนพูดด้วยความโกรธ
องครักษ์หลายคนที่เฝ้าอยู่นอกท้องพระโรงเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว จากนั้นคว้าร่างของหมอหลวงคนนั้น และเริ่มลากเขาออกไป
“ฝ่าบาท โปรดอภัยให้ข้าด้วย ข้าไม่ได้โกหก!” ใบหน้าของหมอหลวงเต็มไปด้วยความคับข้องใจ เขาเอาแต่คร่ำครวญดังๆ แต่ไม่มีใครสนใจเขาเลย
“เจ้าล่ะ บอกมาสิว่าตอนนี้อาจารย์ข้าเป็นยังไงบ้าง?” จักรพรรดิต้าเฉียนหันไปมองหมอหลวงอีกคน แล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ทูลฝ่าบาท กั๋วซือไม่อยู่ในสถานการณ์ที่ดีนัก อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสมาก...” หลังจากหมอหลวงคนที่สองลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยังคงพูดอย่างกล้าหาญ
เขาไม่กล้าโกหกต่อหน้าจักรพรรดิต้าเฉียน ท้ายที่สุด มันเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง และอาจต้องได้รับโทษตายทั้งตระกูล
“ฆ่าเขาซะ” จักรพรรดิต้าเฉียนมองด้วยสายตาเฉยเมย เขาพูดโดยไม่ลังเล จากนั้นเขาก็มองไปที่หมอหลวงคนสุดท้าย
“ฝ่าบาท โปรดวางใจเถิดว่ากั๋วซือไม่ได้ป่วยหนัก เขาแค่เหนื่อยนิดหน่อย และจะตื่นขึ้นในอีกไม่นาน” หมอหลวงคนสุดท้ายกล่าวอย่างจริงจังโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยในสายตาของเขา
“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะดูแลเขาให้ดี ไม่ว่าจะจ่ายสิ่งใดข้าก็ไม่เกี่ยง เขาก็ต้องตื่นให้เร็วที่สุด!”
จักรพรรดิต้าเฉียนเดินไปที่ด้านข้างของหมอหลวง และเหยียดมือออก และตบเบาๆ ที่ไหล่ของอีกฝ่าย พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ฝ่าบาท โปรดวางใจเถิดว่าข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยให้กั๋วซือฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด!” หมอหลวงตบหน้าอกของตนเบาๆ แล้วพูดอย่างมั่นใจ
“ดี ดีมาก” จักรพรรดิต้าเฉียนพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นหันไปมองเหล่าขุนนางที่อยู่ด้านหลังเขา
“พวกเจ้าไม่ต้องกังวลไป กั๋วซือเพิ่งได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับอสูรต่างแดนเมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนี้บาดแผลเก่าของเขากำราบ ดังนั้นเขาจึงสลบไป นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” จักรพรรดิต้าเฉียนมองตรงไปที่เหล่าขุนนางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หลังจากได้ยินสิ่งที่จักรพรรดิต้าเฉียนพูด ขุนนางหลายก็มีสีหน้าประหลาดใจ และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สงสัยในสิ่งที่เขาพูด
นี่คือ คำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุด! ท้ายที่สุดแล้ว กั๋วซือเป็นตัวตนระดับใดกัน? เขาจะลงเอยแบบนี้เพียงเพราะการทำนายล้มเหลวได้อย่างไร?
“ฝ่าบาท กระหม่อมเพิ่งจำอะไรบางอย่างได้ อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะถึงวันครบรอบวันตายของมารดา ข้าจึงต้องกลับไปไว้ทุกข์สักสองสามวันเพื่อแสดงความกตัญญู หน้าที่จับกุมฆาตกรคนนั้นดูเหมือนจะต้องให้คนอื่นทำแทนแล้ว” ในขณะนี้ แม่ทัพเฉินดูเหมือนจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็รีบพูดออกมา
“เพื่อแสดงความกตัญญูงั้นรึ? ข้าจำได้ว่าเจ้าเป็นเด็กกำพร้ามิใช่หรือ แล้วแม่ของเจ้าอยู่ๆ โผล่มาจากที่ไหนกัน?” หลังจากได้ยินคำพูดของแม่ทัพเฉิน จักรพรรดิต้าเฉียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว
"..." แม่ทัพเฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง สติของเขาหลุดลอย เห็นได้ชัดว่าเขาคาดไม่ถึงมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะรู้เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของเขามากถึงขนาดนี้!
“แคะ แคะ ฝ่าบาท ท่านกำลังเข้าใจกระหม่อมผิดไป ข้ากำลังพูดถึงอนุคนที่ 18 ของข้าต่างหาก นางมีนามว่ามู่ชิน” แม่ทัพเฉินเป็นคนหยาบคาย และไม่ค่อยมีสมอง เมื่อเจอกับการคาดคั้นของจักรพรรดิต้าเฉียน เขาก็พูดข้อแก้ตัวงี่เง่าที่เพิ่งคิดได้ออกมา
"???" หลังจากได้ยินคำพูดของแม่ทัพเฉิน ใบหน้าของจักรพรรดิต้าเฉียนก็มืดมน เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับอย่างไรดี
ชายคนนี้คิดว่าข้าโง่งั้นรึ? ใครจะเรียกอนุด้วยชื่อเช่นนั้นกัน?
“แม่ทัพเฉิน ข้ากังวลมากที่จะมอบหมายภารกิจสำคัญเช่นนี้ให้กับคนอื่น ข้าคิดว่าเรื่องนี้ควรให้เจ้าเป็นคนจัดการ!” หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็ยิ้มแล้วพูดกับอีกฝ่ายตรงๆ
“ฝ่าบาท เนื่องจากแม่ทัพเฉินไม่เต็มใจที่จะไป โปรดสั่งให้ข้าทำแทนเถิด ข้าคิดว่าตัวเองก็แข็งแกร่งพอๆ กับเขา!” ทันใดนั้นก็มีเสียงที่ทรงพลังดังเข้ามา
คนที่พูดคือ ชายอ้วนที่มีน้ำหนักหลายร้อยจิน เขาสูง 9 ฟุต ดวงตากลมโตสดใสราวกับระฆังทองแดง
“แม่ทัพจ้าวหวู่ หายากนักที่จะได้เห็นคนที่มีจิตใจกล้าหาญเช่นนี้!” หลังจากได้ยินสิ่งที่ชายอ้วนพูด จักรพรรดิต้าเฉียนก็ตอบตกลงโดยไม่ลังเล
เนื่องจากแม่ทัพเฉินไม่เต็มใจที่จะไป แต่ยังมีคนที่เต็มใจที่จะเข้ามาแทนที่เขา จักรพรรดิต้าเฉียนจึงยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น
ถ้าเขายืนกรานที่จะส่งแม่ทัพเฉินไปที่นั่น อีกฝ่ายจะรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งนี้ และจะไม่มีประโยชน์อะไรถ้าอีกฝ่ายไม่ได้พยายามอย่างหนักในการทำภารกิจให้สำเร็จ?
แล้วชายอ้วนตรงหน้าเขาก็ไม่ธรรมดา!
นั่นคือแม่ทัพจ้าวหวู่แห่งจักรวรรดิต้าเฉียนซึ่งเป็นขุนนางขั้นสาม และเขาอาจแข็งแกร่งกว่าแม่ทัพเฉินด้วยซ้ำ เขาเกิดมาพร้อมกับความสามารถพิเศษตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และเขามีพลังมหาศาลถึงขนาดสามารถยกภูเขาทั้งลูกได้
เพียงเพราะผู้ชายคนนี้อ้วน และน่าเกลียด มันจึงอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของจักรวรรดิ ต้าเฉียน ดังนั้นตำแหน่งขุนนางของเขาจึงต่ำกว่าแม่ทัพเฉินขั้นหนึ่ง
นามของชายอ้วนคนนี้คือ หวังเย่ ครั้งหนึ่งเขาเคยฉีกร่างของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตมหายานเป็นชิ้นๆ ในขณะที่เขาอยู่ในขอบเขตหลุดพ้น
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” หลังจากที่หวังเย่ได้ยินสิ่งที่จักรพรรดิต้าเฉียนพูด เขาก็คุกเข่าลงแล้วรีบตอบด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เพราะเขาน่าเกลียดมาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งเป็นพิเศษ แต่เขาก็ไม่มีโอกาสได้แสดงตัวมากนัก
มิฉะนั้น เขาคงไม่อยู่ในตำแหน่งขุนนางขั้นสามจนถึงทุกวันนี้ ด้วยความแข็งแกร่ง และผลงานที่สั่งสมมาหลายปี เขาควรจะได้เลื่อนตำแหน่ง!
ในที่สุดเขาก็ได้มีโอกาสสร้างผลงานแล้ว
“รีบออกเดินทางซะ ทางที่ดีควรจับกุมฆาตกรเหล่านั้นมาให้ข้าโดยเร็วที่สุด!” จักรพรรดิต้าเฉียนมองดูหวังเย่ด้วยความพอใจ แล้วพูดเร่งเร้า