ตอนที่ 165 ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ใช่ตระกูลเจียงของข้าทำ!
เรือบินโบราณของตระกูลเจียงลอยนิ่งอยู่ในอากาศ หลังจากผ่านไปสักพัก เจ้าของเสียงที่พูดก่อนหน้านี้ก็เริ่มรู้สึกว่าเรื่องราวดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง ไม่นานนัก เขาก็เข้าใจว่าความผิดพลาดนั้นคืออะไร! ตระกูลเจียงดูเหมือนจะถูกโยนความผิดมาแบบไม่รู้ตัว!
"อย่าเดามั่วๆ นะ! ตระกูลเจียงของข้าไม่เคยเล่นงานลอบกัด!"
"พวกเราไม่ใช่คนแบบนั้น!"
"รีบหุบปากเดี๋ยวนี้!" เจ้าของเสียงรีบอธิบาย พยายามปัดความเกี่ยวข้อง และต้องการให้คนที่กระจายข่าวลือเหล่านั้นเงียบลง
แต่ในขณะนี้ มีกี่พลังอยู่ในเมืองเจิ้งเซียนกัน? ตระกูลโบราณ สำนักลับใหญ่ๆ ล้วนแต่เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ทั้งนั้น แม้แต่ตระกูลเจียงก็ยังไม่สามารถทำให้ทุกคนเงียบลงได้อย่างง่ายดาย
"ข้าแทบไม่อยากเชื่อเลย!"
"ตระกูลเจียงของข้าเพิ่งจะมาถึง แล้วไหงถึงต้องมาเจอเรื่องนี้กันเล่า?"
"น่ารำคาญจริงๆ เผ่าจั่นนี่นะ ตายก็ไม่ตายให้เร็วหรือตายให้ช้า ดันมาตายตอนที่ตระกูลเจียงมาถึง พูดแล้วมันช่างอัปมงคลเหลือเกิน!" เจ้าของเสียงในใจได้แต่รู้สึกหมดคำจะพูด เขานึกว่ามันเป็นงานต้อนรับด้วยดอกไม้ไฟเสียอีก ที่แท้คิดมากไปเองทั้งนั้น
"ท่านหัวหน้าตระกูล หากเผ่าจั่นต้องการเรียกร้องความรับผิดชอบ พวกเราควรตอบกลับอย่างไร?" ผู้อาวุโสคนหนึ่งในตระกูลเจียงถามหัวหน้าตระกูลเจียง
"ตอบกลับ? ตอบกลับอะไร? พวกเราไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย จะตอบอะไรล่ะ!" หัวหน้าตระกูลเจียงสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่พอใจ คนอื่นอาจจะกลัวเผ่าจั่น แต่ตระกูลเจียงไม่กลัว หากไม่ได้ทำ ก็ไม่ได้ทำ จะให้เผ่าจั่นมาบังคับอะไรตระกูลเจียงได้อย่างนั้นหรือ?
ผู้อาวุโสรู้สึกกังวลอยู่บ้าง จึงกล่าวว่า "นั่นเป็นพวกบ้า หากพวกเขาหาคนร้ายไม่ได้ พวกเขาจะไม่ปล่อยใครที่น่าสงสัยไปแน่"
"พวกมันชอบฆ่าคนผิดมากกว่าปล่อยไปสักคน เผ่าจั่นมักจะทำแบบนั้นตลอด หากว่า... ข้าหมายถึงหาก..."
"พอแล้ว" หัวหน้าตระกูลเจียงมองไปที่เขาและกล่าวว่า "ติดต่อไปยังตระกูล เรียกคนมาเสริมทัพ!"
"หากเผ่าจั่นมากล่าวหาเราผิดๆ งั้นก็สู้กันไปเลย!"
...
หวงเซวียนมองไปยังกลุ่มของสำนักเทพกระบี่ พร้อมกับฟังเสียงพูดคุยเกี่ยวกับสำนักเทพกระบี่รอบๆ ตัวเขา ความทรงจำก็แวบเข้ามาในหัว
"ข้าไม่รู้เลยว่าเพื่อนเก่าคนนั้นยังสบายดีอยู่หรือไม่"
"เวลาผ่านมา 30,000 ปีแล้ว เขาน่าจะไม่อยู่แล้วกระมัง?"
ในความทรงจำของจักรพรรดิ์เสวียนหวง สำนักเทพกระบี่มีความสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่งในองค์รักษณ์ของเขาก็มาจากสำนักเทพกระบี่ องครักษ์คนนั้นเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวสูงสุด! องครักษ์คนนี้อายุมากกว่าจักรพรรดิ์เสวียนหวงเสียอีก ก่อนที่เขาจะเข้าสู่การเผชิญหน้ากับมหาจักรพรรดิ์องค์รักษณ์คนนี้ท้าทายทั่วทั้งดาราจักร เอาชนะผู้แข็งแกร่งมานับไม่ถ้วน ตัวเขาและกระบี่เพียงเล่มเดียว ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้
ภายหลัง เมื่อจักรพรรดิ์เสวียนหวงปรากฏตัวขึ้นและเอาชนะองครักษ์คนนั้นได้ ทำให้ "จิตใจไร้เทียมทาน" ของเขาเกิดรอยร้าว จักรพรรดิ์เสวียนหวงได้เตือนให้เขาล้มเลิกความตั้งใจ แต่เขาก็ยืนกรานที่จะเผชิญกับมหาจักรพรรดิ์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่เขาล้มเหลว
แม้จะรอดชีวิตและกลายเป็นจ้าวสูงสุด แต่องครักษ์คนนั้นก็ไม่พอใจ และซ่อนตัวจากโลก ไม่เคยชักกระบี่ออกมาอีกเลย จนกระทั่งจักรพรรดิ์เสวียนหวงพิชิตจักรวาลและกลายเป็นผู้ไร้เทียมทาน องครักษ์คนนั้นจึงออกมาและทำใจได้ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงพ่ายแพ้ เพราะเขาพ่ายแพ้ให้กับจักรพรรดิ์คนหนึ่ง ซึ่งเป็นความพ่ายแพ้ที่ยุติธรรม
"ไปกันเถอะ การแสดงจบแล้ว คงต้องกลับไปพักผ่อน"เจ้าสำนักจางหยุนเทียน กล่าวเรียกทุกคนให้กลับไปยังที่พักของสำนักเกาซานในเมืองเจิ้งเซียน
ความคิดของหวงเซวียนถูกดึงกลับมา ฮั่วหยุนเฟย มองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองไปทางสำนักเทพกระบี่และกล่าวว่า "หากเจ้าสงสัย ก็สามารถลองติดต่อพวกเขาได้"
"แต่ต้องแน่ใจว่าพวกเขาเชื่อถือได้จริงๆ หากไม่เช่นนั้น การติดต่อพวกเขาอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตของเจ้า"
เขาชอบอ่านประวัติศาสตร์โบราณ และบันทึกเกี่ยวกับจักรพรรดิ์เสวียนหวงเขาก็รู้อย่างดี เขารู้ด้วยว่าผู้อาวุโสผู้เป็นสุดยอดของสำนักเทพกระบี่เมื่อ 30,000 ปีก่อนคือองครักษ์ของจักรพรรดิ์เสวียนหวง ทั้งสองมีความสัมพันธ์แบบครูและศิษย์ เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
อย่างไรก็ตาม หากองครักษ์คนนั้นยังไม่ถึงคราวสิ้นอายุขัย ฮั่วหยุนเฟย ก็ไม่แนะนำให้หวงเซวียนติดต่อ เพราะอาจเกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายเกินไป ซึ่งไม่จำเป็นต้องเสี่ยง
"ศิษย์เข้าใจแล้ว ข้าจะรอให้ข้ามีพลังมากพอแล้วค่อยว่ากัน" หวงเซวียนตอบ
ฮั่วหยนุเฟยพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม เขามองไปที่เรือบินของตระกูลเจียงที่ลอยอยู่บนฟ้า เขารู้สึกเห็นใจเล็กน้อยกับการที่ตระกูลเจียงต้องมาแบกรับความผิดครั้งนี้
การที่เขาฆ่าคนของเผ่าจั่นจนหมด มันก็เป็นคดีปริศนา ไม่มีทางที่ใครจะรู้ว่าเขาคือคนทำ เผ่าจั่นไม่สามารถสืบได้ และไม่มีทางที่จะระบายความโกรธออกไปที่ไหน แต่ตระกูลเจียงกลับโผล่มาในจังหวะที่พอดี ทำให้พวกเขาต้องแบกรับความผิดครั้งนี้ไป หากพวกเขาไม่สามารถปัดความผิดได้ สงครามระหว่างสองฝ่ายคงหลีกเลี่ยงไม่ได้!
เผ่าเหยี่ยวปีกเงินได้จัดหาคฤหาสน์ให้กับสำนักเกาซานในเมืองเจิ้งเซียน ทิวทัศน์สวยงาม มีภูเขาจำลองและสายน้ำใส ราวกับเป็นแดนลับขนาดย่อม เมื่อเดินเข้าไปในคฤหาสน์ อาวุโสหยางผู้ชอบกินสะโพกไก่ก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“พวกเราที่เป็นอาวุโส ออกมาข้างนอกไม่ต้องให้เตือนใช่ไหม?”
“เข้าใจดีอยู่แล้ว” อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็ยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ พวกเขาหยิบแผ่นยันต์มากมายจากอกเสื้อและฝังลงในใต้ดินรอบคฤหาสน์ ทันใดนั้นพื้นที่รอบคฤหาสน์ก็สั่นไหว เกิดการเปลี่ยนแปลง มีม่านป้องกันสีเขียวหยกคลุมคฤหาสน์ไว้ จากนั้นม่านป้องกันค่อยๆ หายไปและกลืนเข้ากับอากาศ
“ไม่เสียชื่ออาวุโสจริงๆ เรื่องความปลอดภัยไม่เคยปล่อยผ่าน” ศิษย์คนหนึ่งชื่นชม ดวงตาเต็มไปด้วยความเคารพ ศิษย์รู้สึกอุ่นใจและวางใจเมื่อมีอาวุโสเหล่านี้คอยดูแล
“พวกเจ้าไปพักผ่อนกันเถอะ” จางหยุนเทียน กล่าว “เมืองเจิ้งเซียนเป็นเมืองโบราณที่มีทำเลพิเศษและเจริญรุ่งเรืองมาก ศิษย์คนไหนอยากออกไปสำรวจก็จับกลุ่มกันไปได้”
เมื่อคำพูดของเขาสิ้นสุดลง ศิษย์หลายคนก็รู้สึกสนใจ หลินหยางมู่ชิงชิงมู่ชิวเสวี่ยและโอวหยางลั่วชิงเหล่าศิษย์เอกต่างก็อยากออกไปเที่ยว พวกเขาฝึกฝนอยู่ในสำนักมาเป็นเวลานาน ไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกเลย โอกาสนี้ถือเป็นการเที่ยวไปในตัว เพราะคงไม่มีอะไรต้องทำมาก นอกจากมาทำหน้าที่ให้เสร็จแล้วกลับสำนัก พวกเขาจึงเห็นว่านี่เป็นโอกาสที่ดี ถ้าไม่เที่ยวตอนนี้จะไปเที่ยวตอนไหน?
“พี่หลินไปกัน ข้าจะเลี้ยงพี่กับพี่หญิงมู่” หยางกานถัง ศิษย์เอกจากเขาเกาซานเกี่ยวแขนหลินหยางแล้วพูดอย่างร่าเริง
“ได้สิ ไปกัน” หลินหยางตอบตกลงด้วยความยินดี พวกเขาสามคนจึงออกไปเดินเล่นในเมืองเป็นกลุ่มแรก
“ข้าเองก็อยากไปเที่ยวเหมือนกัน” อาวุโสคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกว่าอยากตามไปเที่ยวด้วย จากนั้นเขาก็ตามหลังกลุ่มของหลินหยางไปทันที ต่อมา ศิษย์หลายคนก็เริ่มจับกลุ่มออกไปเที่ยวเช่นกัน น่าสังเกตว่าศิษย์แต่ละกลุ่มที่ออกไปจะมีอาวุโสคนหนึ่งตามไปด้วยเสมอ
“อาจารย์...”เย่ปู้ฝานมองไปที่ฮั่วหยุนเฟยราวกับมีอะไรอยากจะพูด เขาเองก็อยากออกไปเที่ยวเหมือนกัน
ฮั่วหยุนเฟยมองเขาแล้วกล่าวว่า “ขามีอยู่กับเจ้า ถ้าอยากไปก็ไปสิ แต่อย่าลืมระวังตัวให้ดี”
“ครับ” เย่ปู้ฝานพยักหน้า จากนั้นเขาก็เตรียมจะพาหวงเซวียนและคนอื่นๆ ออกไป แต่หวงเซวียนก็ลังเลก่อนจะพูดว่า “อาจารย์...เรื่องฐานะของข้า...”
เขาเคยเป็นว่าที่ศิษย์เอกของแดนศักดิ์สิทธิ์เหย่ากวงหลังจากที่ลาออกมา เขาก็ถูกตัดขาดและไม่มีสำนักไหนรับเขา หวงเซวียนกลัวว่าถ้าเขาถูกจำได้ จะทำให้สำนักเกาซานเดือดร้อน
“ไม่ต้องกังวล ทุกวันนี้สำนักเกาซานในสายตาคนอื่นเป็นแค่พลังธรรมดา”
“ถึงเจ้าจะเจอคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์เหย่ากวง พวกเขาก็คงแค่ล้อเลียนเจ้า แต่จะไม่ทำให้สำนักเกาซานเดือดร้อน” ฮั่วหยุนเฟยอธิบายอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นมองไปที่อ้ายหยา แล้วกล่าวว่า “ไปเถอะ ดูแลอ้ายหยาดีๆ อย่าให้ถูกจินจินพาไปซนล่ะ” เขาพูดพลางมองไปที่จินจินด้วยสายตาเตือน
“ข้าเป็นไก่ที่ดีนะ เฟยเกอ เจ้าต้องเชื่อใจข้า” จินจินแก้ตัว
“เจ้าพูดอย่างนี้ เจ้าคิดว่าเจ้าจะเชื่อคำพูดตัวเองหรือไม่?”เจียตเาเป่าพูดเยาะเย้ย จินจินเป็นไก่ที่มีความคิดลึกซึ้ง หากอ้ายหยาอยู่กับเขานานๆ ต้องถูกพาไปในทางที่ผิดแน่
“ไก่พี่ใหญ่คนนี้ฝึกวิชาฝีเท้าในแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งกาลเวลามาสองปีครึ่งแล้วนะ อย่าบังคับให้ข้าต้องเตะเจ้า” จินจินมองเจียต้าเป่าด้วยสายตาท้าทาย
“พอๆ ไปกันเถอะ อย่าเล่นซนจนดึกนะ” ฮั่วหยุนเฟยเริ่มปวดหัวกับเสียงเถียงกัน เขาจึงไล่พวกเขาออกไป
หลังจากที่เย่ปู้ฝานและพวกออกไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางทิศเหนือของเมืองเจิ้งเซียน
“ข้าบอกแล้วว่าไม่ใช่ตระกูลเจียงของข้า พวกเจ้านี่เป็นอะไร? หยุดตามข้าสักทีได้ไหม?”
“อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือนะ!”