ตอนที่ 160 การติดตั้งค่ายกลรวบรวมพลังระดับจักรพรรดิ์!
“อาจารย์อาเทียนจีท่านไม่เป็นไรนะ?”
“ไหวไหม?” ฮั่วหยุนเฟยประคองเทียนจีเจินเหรินขึ้นมา เห็นว่าศีรษะของเขาเกือบจะกลายเป็นสมองหมูแล้ว ใบหน้าฟกช้ำดำเขียว กระดูกทั่วร่างก็หักไปหลายซี่ ตอนนี้เขาหมดสติไปแล้ว ไม่รู้สึกตัวอีกต่อไป อาจจะเป็นเพราะถูกตีจนหมดสติ หรืออาจจะอับอายเกินกว่าจะเผชิญหน้าผู้อื่น
ฮั่วหยุนเฟยมองไปที่โกวหยวนเจินเหรินแล้วหัวเราะอย่างขมขื่น “อาจารย์อาโกวหยวน ท่านเล่นแรงไปหน่อยหรือเปล่า ดูสิว่าท่านตีจนเป็นแบบนี้ วันข้างหน้าอาวุโสเทียนจีคงจะมีปมในใจแน่ๆ”
“ไม่มีทางหรอก ข้ารู้จักเจ้านั่นดี แค่เมื่อไหร่ที่เขาบำเพ็ญเพียรจนแข็งแกร่งขึ้นสักนิด เขาก็จะกลับมาหยิ่งผยองอีกครั้ง เจ้านั่นเป็นพวกหายดีแล้วก็ลืมความเจ็บไป” อาวุโสโกวหยวนกล่าวขึ้น เขารู้จักอาวุโสเทียนจีมาหลายร้อยปี รู้จักนิสัยของเขาเป็นอย่างดี
“ถูกต้องแล้ว เจ้านั่นเป็นแบบนั้นจริงๆ”
“พอหยิ่งผยองก็ไม่เห็นหัวใคร พอสู้ไม่ได้ก็แกล้งตาย เป็นนิสัยของพวกคนชั่วชัดๆ”
“เมื่อก่อนหัวหน้ายอดเขาโกวหยวนก็ไม่ใช่ว่าตีเขาน้อย แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาเคยเปลี่ยนนิสัยสักครั้งหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่แค่เขาหรอก แต่บรรดาผู้นำของยอดเขาเทียนจีทุกคนก็เป็นแบบนี้ พวกเขาเลยถูกตีมากที่สุดเช่นกัน”
เหล่าอาวุโสต่างหัวเราะขึ้น คนเฒ่าคนแก่บางคนถึงกับเห็นอาวุโสเทียนจีเติบโตขึ้นมา จึงรู้จักเขาเป็นอย่างดี ส่วนเกี่ยวกับยอดเขาเทียนจีนั้น พวกเขาก็รู้ดีเหมือนจับมือเขาหากัน พวกเรื่องเล่าเหล่านี้ที่ได้ฟังตลอดหลายปีมานั้นไม่เสียเปล่าเลยจริงๆ
“ท่านผู้นำยอดเขา ขอตัวนำอาจารย์ของพวกเราไปด้วย” หลี่ตู๋ซิ่วปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับโอวหยางลั่วชิง และเจิ้งซ่วย เหล่าศิษย์เอก เมื่อพวกเขาเห็นสภาพของอาจารย์ ต่างก็อดที่จะกระตุกริมฝีปากไม่ได้ ทั้งสงสารและรู้สึกอึดอัดไปพร้อมๆ กัน
“พักฟื้นก็หายแล้ว ไม่เป็นอะไรมาก” ฮั่วหยุนเฟยส่งตัวอาวุโสเทียนจีให้กับหลี่ตู๋ซิ่วแล้วกล่าวขึ้น ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเต๋า ต่อให้ร่างกายระเบิดก็สามารถฟื้นฟูได้ ร่างกายที่เสียหายก็เพียงแค่ต้องการพลังเลือดลมในการฟื้นฟูเท่านั้น เรื่องนี้แม้แต่ผู้ที่อยู่ในระดับเทียนเหริน ก็สามารถทำได้เช่นกัน ดังนั้น การจะเอาชีวิตผู้แข็งแกร่งในระดับนี้ได้ ต้องสามารถทำลายร่างกายและจิตวิญญาณของเขาอย่างสิ้นเชิง
“ขอบคุณท่านผู้นำเต๋าหยวนที่ช่วยอาจารย์ของข้าไว้ เมื่อกลับไปแล้ว ข้าจะพยายามเกลี้ยกล่อมอาจารย์ให้สงบเสงี่ยมกว่านี้” หลี่ตู๋ซิ่วกล่าวขณะยกอาจารย์ขึ้นหลัง ในฐานะศิษย์เอกของอาวุโสเทียนจี เขามีภาระหน้าที่มากมาย เรื่องต่างๆ บนยอดเขาเทียนจี ส่วนมากเขาเป็นคนจัดการทั้งหมด
ตอนนี้อาจารย์แพ้การประลอง เสียหน้าอย่างมาก เขาก็ต้องจัดการแก้ไข สร้างความรู้สึกว่าเขาแบกรับภาระอันหนักอึ้งไว้บนบ่า
“ขอบคุณท่านผู้นำยอดเขาเต๋าหยวน” โอวหยางลั่วชิงและเหล่าศิษย์คนอื่นต่างประสานมือคารวะด้วยความเคารพ
“เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องขอบคุณหรอก ไปกันเถอะ” ฮั่วหยุนเฟยกล่าวพลางโบกมือให้
“อืม” หลี่ตู๋ซิ่วพยักหน้า จากนั้นพาเหล่าศิษย์เดินทางกลับไปยังยอดเขาเทียนจี
ในอากาศ อาวุโสเทียนจีที่ถูกแบกอยู่บนหลังของหลี่ตู๋ซิ่ว ลืมตาขึ้นพลางกล่าว “ปล่อยข้าลงเถอะ”
“อาจารย์ท่าน…” หลี่ตู๋ซิ่วหยุดเดินแล้วปล่อยอาวุโสเทียนจีลงยืนบนพื้น พยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็กลืนคำลงไป
“ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง” อาวุโสเทียนจีพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พลางเดินออกไปด้านหน้า สายตาจ้องมองไปยังท้องฟ้ากว้างไกล ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“อาจารย์…” เจิ้งฉ่วยอ้าปาก เหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
“ปล่อยให้อาจารย์อยู่เงียบๆ เถอะ” โอวหยางลั่วชิงส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบลง เมื่ออาจารย์ถึงระดับนี้แล้ว ถ้าใจสงบพอก็ไม่จำเป็นต้องปลอบโยน แต่จากที่นางรู้จักอาจารย์ อาจารย์ไม่ได้หดหู่ใจ แต่กลับคลุ้มคลั่งต่างหาก เพียงแค่ภายนอกดูสงบนิ่งเท่านั้น แต่ในใจกลับพลุ่งพล่านยิ่งนัก
…
ยอดเขาเกาซาน
ฮั่วหยุนเฟยมองไปที่อาวุโสหยุนจวี้แห่งยอดเขาเกาซาน แล้วกล่าวว่า “อาวุโสหยุนจวี้ การประชุมชาดูเหมือนจะจบแล้ว”
“อืม” เมื่อได้ยินเช่นนั้น อาวุโสหยุนจวี้พยักหน้าแล้วมองไปยังผู้คน “การประชุมชาครั้งนี้ก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ คงไม่มีใครอยากต่ออีกใช่ไหม?”
ทุกคน: “…”
“แยกย้ายกันได้แล้ว พรุ่งนี้จะมีการประกาศรายชื่อผู้เข้าร่วมแข่งขันเก้าสำนักเซียนกับทางสำนัก ให้ทุกคนคอยติดตามดู”
“ครึ่งเดือนหลังจากนี้ ผู้เข้าร่วมทุกคนให้มารวมตัวกันที่นี่ เพื่อเดินทางไปยังเมืองเจิ้งเซียนพร้อมกัน”
เมืองเจิ้งเซียน ตั้งอยู่ในบริเวณสามทวีป เป็นเขตที่ไม่มีการปกครองจากอำนาจใด ๆ ทุกการแข่งขันเก้าสำนักเซียนที่ผ่านมาจะจัดขึ้นที่นี่เสมอ เมื่อเสียงของผู้อาวุโสใหญ่ของเขาเกาซานจบลง บรรดาผู้อาวุโสต่างลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและรีบร้อนขี่เมฆออกไป บางคนถึงกับเรียกกระบี่บินออกมา ก้าวเหยียบแล้วพุ่งผ่านท้องฟ้าไปในพริบตา กลายเป็นแสงดาวระยิบระยับหายลับไป
“ข้าขอเตือนทุกคนในช่วงเวลาพิเศษเช่นนี้ ใครก็ตามที่ออกจากสำนักโดยไม่ได้รับอนุญาต จะต้องถูกลงโทษตามกฎสำนัก”
เสียงของผู้อาวุโสใหญ่ดังลอยไปไกล ตรงไปยังหูของผู้อาวุโสทุกคนอย่างแม่นยำ
ถังจู่ของศาลาลงโทษ เจินสิง ลุกขึ้นอย่างไร้อารมณ์และกล่าวว่า
“ถ้าอยากถูกตี ก็ไปต่อแถวที่ศาลาลงโทษ รอคิวทีละคน”
พูดจบ เขาก็พาลูกศิษย์ศาลาลงโทษออกไป ทิ้งภาพลักษณ์ที่เยือกเย็นและน่าเกรงขามไว้เบื้องหลัง บรรดาผู้อาวุโสที่ได้ยินคำพูดของเขาต่างหดคอและรีบเปลี่ยนทิศทาง บ้างหันกลับไปที่พักด้วยความระมัดระวัง
"ตายแน่ ๆ แล้วเรา คงไม่รอดแล้วล่ะ!"
ผู้อาวุโสที่มีอายุเยอะรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ราวกับมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองอยู่ พร้อมเผยรอยยิ้มแปลก ๆ ออกมา
ฮั่วหยุนเฟยกลับมาที่ที่นั่งของยอดเขาเต๋าหยวนเย่ปู้ฝานและคนอื่น ๆ ก็กำลังเก็บกวาดที่นั่งเตรียมตัวกลับเช่นกัน พวกเขายิ้มแฉ่งเพราะถึงแม้การประชุมครั้งนี้จะไม่นาน แต่ก็ทำเงินได้ไม่น้อยเลย ถุงใส่ของพวกเขาพองโตเต็มไปหมด
“ยังมีต้มเนื้อหมาใส่เส้นหมี่เหลืออีกไหม?”
ชิงอี้กลับมาอีกครั้ง ด้านหลังของนางมีศิษย์ของสวนสมุนไพรตามมา ส่วนใหญ่เป็นศิษย์หญิงที่งดงาม มีรูปร่างงดงาม นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นด้านที่ตะกละของนาง เพราะในวันปกติ ชิงอี้เป็นคนไม่ค่อยพูดเหมือนเซียนสาวที่มักจะคลุกคลีอยู่กับสมุนไพร
“เจียต้าเป่า ยังมีเหลือไหม? เอาไปให้ท่านอาจารย์ยายเลย ของพวกนี้ก็ไม่ได้มีค่าอะไร ถือเป็นของขวัญละกัน”ฮั่วหยุนเฟยกล่าวด้วยความใจกว้าง
"อาจารย์ชิงอี้ เชิญรับไว้ครับ" เจียต้าเป่ายิ้มพลางยกหม้อที่เหลือครึ่งหนึ่งส่งให้นางไป พร้อมมอบหม้อทั้งใบให้กับชิงอี้
“ได้ยินที่เจ้าพูดเมื่อครู่ เจ้าคงยังมีเนื้อพวกนี้อีกมากใช่ไหม?”
ชิงอี้ยิ้มรับหม้ออย่างดีใจ และมองฮั่วหยนุเฟยพร้อมกล่าวถาม ทั้งที่ไม่คิดว่าจะมีคนเรียกเนื้อระดับนักบุญว่าเป็นของที่ไร้ค่าได้ง่าย ๆ แบบนี้
"ท่านอาจารย์ อย่าถามเลย ข้าไม่บอกท่านหรอก"ฮั่วหยุนเฟยยิ้มและโบกมืออย่างอารมณ์ดี
“ไม่บอกก็ช่างเถอะ”ชิงอี้ไม่ได้ติดใจอะไร ยิ้มและกล่าวขอบคุณก่อนพาลูกศิษย์สวนสมุนไพรกลับไป
“พวกเจ้าจัดการให้เรียบร้อยแล้วกลับไปได้”
ฮั่วหยุนเฟยบอกกับเย่ปู้ฝานและคนอื่น ๆ ก่อนจะหายตัวไปทันที เขามุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของเขาเกาซาน
ที่นั่น เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของค่ายกลใหญ่ ไม่เพียงแค่ค่ายกลเดียว แต่เป็นหมื่นค่ายกลรวมกัน มีทั้งค่ายกลโจมตี ป้องกัน ห้ามบิน อาคม พิษ และอีกหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนหรือระดับต่าง ๆ ค่ายกลเหล่านี้ต่างมีความเหนือกว่ายอดเขาเต๋าหยวน
“มีค่ายกลรวมพลังอยู่ที่นี่ แถมยังเป็นค่ายกลรวมพลังระดับกึ่งจักรพรรดิ!”
ยิ่งฮั่วหยุนเฟยรู้จักความลึกซึ้งของสำนักเกาซานมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น ทำให้เขาอยากรู้มากขึ้นว่าผู้ก่อตั้งสำนักเกาซานเป็นใครกันแน่ เขาทิ้งมรดกไว้มากมายและทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ
“เอาล่ะ ใช้ค่ายกลรวมพลังระดับจักรพรรดิไปเลย ของข้านี้มีประสิทธิภาพยิ่งกว่า”
ฮั่วหยุนเฟยนำค่ายกลรวมพลังระดับจักรพรรดิที่ได้มาจากการทำภารกิจรับศิษย์ออกมา เขาไม่ค่อยมีเวลาในการตั้งค่ายกลนี้ จนแทบจะลืมไปแล้วว่ามีอยู่