บทที่ 50 พี่น้อง
หลังจากนั้น ทั้งสามคนมาเยี่ยมอาจารย์จวงทุกเช้า คำนับจากไกลๆ หน้าประตู รออยู่ครึ่งถ้วยชา หากประตูยังคงปิดสนิท ก็จะลงเขาไป
โม่ฮว่าอยากจะบอกพวกเขาว่า อาจารย์จวงชอบนอนตื่นสาย นอนจนถึงบ่าย พวกเจ้ามาไม่ถูกเวลา
แต่คิดอีกที อย่างน้อยในระยะสั้นนี้ อาจารย์จวงคงไม่อยากพบพวกเขา
พวกเขามาเช้า ก็ไม่ได้พบอาจารย์จวง มาสาย ก็ยังไม่ได้พบ เมื่อไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้พบ ว่าจะมาเยี่ยมเมื่อไหร่ก็ไม่สำคัญ
พวกเขาขึ้นเขาตอนเช้า ยังได้เห็นทิวทัศน์ภูเขาที่อาบไล้ด้วยแสงอรุณ ก็ไม่นับว่าเสียเปล่า
บางครั้งโม่ฮว่าขึ้นเขาก็ได้พบพวกเขา บางทีก็ทักทายกัน ถ้ามีเวลาก็จะพูดคุยกันบ้าง
แม้ทั้งสองคนจะเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ ดูภูมิฐาน แต่ก็พูดคุยด้วยได้ง่าย
โม่ฮว่าได้รู้จากการพูดคุยกับพวกเขาว่า ทั้งสองคนนามสกุลไป๋ อายุมากกว่าโม่ฮว่าเล็กน้อย เด็กชายหน้าตาหล่อเหลาชื่อไป๋จื่อเซิ่ง เด็กหญิงที่งดงามราวกับตุ๊กตาเซรามิกชื่อไป๋จื่อซี
ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน เดินทางมาจากที่ไกลตามคำสั่งของผู้อาวุโสในตระกูล เพื่อมาขอเป็นศิษย์อาจารย์จวงเรียนค่ายกล
ไป๋จื่อเซิ่งพูดมาก ไป๋จื่อซีพูดน้อย
ทั้งสองคนมีหน้าตาคล้ายกันอยู่บ้าง แต่ไป๋จื่อซีดูสวยกว่าอย่างชัดเจน
และสวยจนเกินปกติ...
ตอนโม่ฮว่ามองจากระยะไกล แค่รู้สึกว่าน่ารักสดใส แต่พอมองใกล้ๆ ก็พบว่าแม้ไป๋จื่อซีจะอายุน้อย แต่ใบหน้าที่ดูบอบบางนั้นกลับงดงามเหลือเกิน ขาวผ่องไร้ที่ติ
นี่มนุษย์จะมีใบหน้าแบบนี้ได้จริงหรือ... โม่ฮว่าตกตะลึง
มีคำกล่าวว่าหนี่วาเอาดินมาปั้นมนุษย์ ในโลกนี้บางคนชัดเจนว่าทำจากดิน แต่บางคนก็ชัดเจนว่าไม่ใช่ อย่างน้อยไป๋จื่อซีตรงหน้านี้ก็ไม่ใช่แน่
ตอนที่หนี่วาสร้างนาง คงจะปั้นจากความงามของหิมะ พระจันทร์ และสายลม สร้างขึ้นจากเนื้อน้ำแข็งและกระดูกหยก
โม่ฮว่าแอบมองไป๋จื่อซีอีกครั้ง แล้วคิดในใจ:
"มีคำกล่าวว่าโฉมงามนำภัย หนี่วานี่มิใช่กำลังสร้างคน แต่กำลังก่อกรรมชัดๆ..."
หญิงสาวที่คอยติดตามพี่น้องตระกูลไป๋ ที่สวมผ้าคลุมหน้า เรียกว่าป้าสวี่ น่าจะเป็นคนที่ตระกูลส่งมาคุ้มครอง
โม่ฮว่าไม่รู้ว่าป้าสวี่อยู่ในระดับขั้นไหน แต่วรยุทธ์แน่นอนว่าไม่ต่ำ บนตัวนางมีความกดดันที่แฝงเร้นซึ่งโม่ฮว่าไม่เคยรู้สึกจากผู้ฝึกตนคนอื่นมาก่อน
ผู้ฝึกตนที่มีระดับขั้นสูงที่สุดที่โม่ฮว่าเคยเห็นมาก่อนคือเจ้าสำนักเฒ่าของสำนักตงเซียนเหมิน มีวรยุทธ์ระดับสร้างฐานขั้นกลาง แต่เจ้าสำนักเฒ่านิสัยอ่อนโยน อีกทั้งแก่ชราพลังวิญญาณเสื่อมถอย ความกดดันจึงไม่แรงเท่าป้าสวี่ตรงหน้า
"อย่างน้อยก็ต้องมีวรยุทธ์ระดับสร้างฐาน..."
โม่ฮว่าเดาในใจ
และการที่มีผู้ฝึกตนระดับสร้างฐานเป็นองครักษ์ ฐานะของพี่น้องคู่นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ตระกูลไป๋น่าจะเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังนอกมณฑลหลี่ ว่าเป็นตระกูลใหญ่ระดับไหน โม่ฮว่าก็ฉลาดพอที่จะไม่ถาม
เรื่องตระกูลใหญ่และสำนักเหล่านี้ ห่างไกลจากโม่ฮว่ามาก
ผู้ฝึกตนที่มาจากนักพรตอิสระ การจะก้าวข้ามไปเป็นผู้ฝึกตนระดับสร้างฐานนั้นยากมาก และผู้ฝึกตนระดับสร้างฐาน ในเมืองตงเซียนเล็กๆ นี้ ถือว่ามีฐานะสูงส่งมากแล้ว
ชาตินี้วรยุทธ์ของเขา อาจจะยังไม่สูงเท่าองครักษ์ของคนอื่นด้วยซ้ำ
โม่ฮว่าจดจำความตั้งใจแรกของตนเอง ตั้งใจเรียนค่ายกล เพื่อจะได้เป็นอาจารย์ค่ายกลระดับหนึ่ง อนาคตจึงจะมีโอกาสยืนหยัดในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรได้
พี่น้องตระกูลไป๋มาเยี่ยมทุกเช้า อาจารย์จวงไม่ได้พูดอะไร ดูเหมือนจะยอมรับเรื่องนี้โดยปริยาย แต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะพบพวกเขา
แต่อาจารย์จวงดูเหมือนจะวางใจลง กิจวัตรประจำวันก็กลับมาเป็นปกติ
ทุกวันยังคงนอนจนถึงบ่ายจึงตื่น แล้วนั่งในลาน กินเนื้อวัวดื่มสุรา หรือกินขนมจิบชา มองทิวทัศน์บนภูเขาครุ่นคิด
โม่ฮว่ายังคงเรียนค่ายกล วาดค่ายกล ทำสมาธิ แล้ววาดค่ายกลต่อ จากนั้นถ้ามีข้อสงสัยก็จะไปขอคำแนะนำจากอาจารย์จวง
วันนี้อาจารย์จวงจู่ๆ ก็ให้โม่ฮว่าวาดค่ายกลที่มีชื่อว่า 《ค่ายกลไตรภพ》
ค่ายกลนี้ประกอบด้วยลายค่ายกลหกลาย ด้วยจิตสำนึกของโม่ฮว่าในตอนนี้ ไม่สามารถวาดให้เสร็จได้ อีกทั้งโครงสร้างดูแปลกพิเศษ ลายค่ายกลก็แตกต่างจากค่ายกลเบญจธาตุที่โม่ฮว่าเคยรู้จักมาก่อน
อาจารย์จวงให้เวลาโม่ฮว่าเพียงหนึ่งวัน วันรุ่งขึ้นก็ให้โม่ฮว่านำค่ายกลมาให้ดู วาดได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น
กลางวันโม่ฮว่าจึงทุ่มเทศึกษาแผนผังค่ายกลของ《ค่ายกลไตรภพ》 และลองวาดหลายครั้ง ตกกลางคืนกลับบ้านก็ฝึกบนจารึกที่แตกหักในห้วงจิตสำนึกทั้งคืน
วันรุ่งขึ้นต่อหน้าอาจารย์จวง เขาพยายามวาดค่ายกลออกมาอย่างติดขัดและฝืดเคือง แต่เนื่องจากจิตสำนึกไม่เพียงพอ ลายค่ายกลบางเส้นที่วาดออกมาจึงไม่มีผล
อาจารย์จวงไม่ได้พูดอะไร เห็นสีหน้าโม่ฮว่าเหนื่อยล้า หน้าซีดเล็กน้อย รู้ว่านี่เป็นผลจากการใช้จิตสำนึกมากเกินไป จึงจุดธูปหนึ่งแท่ง ควันสีขาวอ่อนลอยขึ้นมา มีกลิ่นหอมสดชื่น สูดดมแล้วรู้สึกชุ่มชื่นใจ
อาจารย์จวงพูด "นี่คือธูปใจสงบ สามารถบำรุงจิตสำนึก เจ้าจงนั่งสมาธิที่นี่ รอจนธูปไหม้หมดแล้วค่อยกลับไปพักผ่อน วันนี้ไม่ต้องวาดค่ายกลอีก"
"ขอบคุณท่านอาจารย์ขอรับ"
โม่ฮว่ากล่าวขอบคุณ แล้วนั่งสมาธิ พบว่าจิตสำนึกฟื้นฟูได้เร็วขึ้นจริงๆ ประมาณสองถ้วยชา ธูปใจสงบก็ไหม้หมด โม่ฮว่าจึงคำนับลา
หลังจากโม่ฮว่าจากไป อาจารย์จวงมองดู《ค่ายกลไตรภพ》ที่โม่ฮว่าวาด ขมวดคิ้วครุ่นคิด นิ่งเงียบไปนาน
ปู่ขุยเข้ามา เห็นสภาพนั้นจึงถาม "วาดได้ไม่ดีหรือ?"
อาจารย์จวงส่ายหน้า "ไม่ใช่เรื่องดีหรือไม่ดี... จิตสำนึกไม่พอ เวลาเร่งรีบ ค่ายกลนี้ไม่มีทางวาดได้ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีข้อผิดพลาด เพียงแต่..."
อาจารย์จวงขมวดคิ้ว "เด็กคนนี้ เรียนเร็วเกินไปแล้ว"
"เรียนเร็วมีอะไรไม่ดี?"
"ไม่ใช่แค่เร็ว แต่เร็วเกินไป..."
อาจารย์จวงคลี่《ค่ายกลไตรภพ》ออก พูดว่า:
"《ค่ายกลไตรภพ》นี้ใช้แกนค่ายกลที่แตกต่างจากค่ายกลเบญจธาตุโดยสิ้นเชิง ลายค่ายกลก็แตกต่างกัน เมื่อวานข้าเพิ่งให้แผนผังค่ายกลกับเขา เขาใช้เวลาเพียงวันเดียว ก็เรียนรู้ได้เกือบหมด หากไม่ใช่เพราะจิตสำนึกไม่พอ เขาอาจจะวาดค่ายกลนี้ออกมาได้จริงๆ แม้จะติดขัดบ้าง..."
สายตาของอาจารย์จวงเคร่งขรึมขึ้น "ที่แปลกที่สุดคือ ในเวลาหนึ่งวัน ด้วยจิตสำนึกของโม่ฮว่า ค่ายกลนี้อย่างมากก็ฝึกได้สามสี่ครั้ง แต่ดูลายมือของ《ค่ายกลไตรภพ》นี้ ดูคล่องแคล่วมาก คงฝึกมาแล้วราวสิบกว่าครั้ง"
สีหน้าของปู่ขุยไม่เปลี่ยนแปลง แต่น้ำเสียงกลับทุ้มต่ำลง "เจ้าหมายความว่า... เด็กคนนี้มีเรื่องปิดบังเจ้าอยู่?"
อาจารย์จวงส่ายหน้า "ข้าไม่เคยถาม จึงไม่มีเรื่องปิดบังหรือไม่ปิดบัง เพียงแต่ดูแล้ว เด็กคนนี้คงมีโชควาสนาบางอย่าง"
ปู่ขุยกระพริบตา "ผู้ฝึกตน ใครบ้างไม่มีโชควาสนา? ตัวเจ้าเองก็มีโชควาสนามากมายไม่ใช่หรือ? ในบรรดาสรรพชีวิตนับหมื่นในฟ้าดิน เพียงแค่ได้เกิดมาในโลก ก็นับว่ามีโชควาสนาอันยิ่งใหญ่แล้ว"
อาจารย์จวงได้ยินดังนั้นก็ครุ่นคิด
ปู่ขุยพูด "ถ้าเจ้าสนใจจริง ก็ถามเขาสิ"
อาจารย์จวงชะงัก "ถามเขา?"
ปู่ขุยพูดอย่างรำคาญ "คนอย่างเจ้า บอกว่าเข้าใจความคิดคนลึกซึ้ง จริงๆ แล้วก็แค่คิดมาก มักคิดว่าคนอื่นเหมือนเจ้า อะไรๆ ก็ซ่อนเร้นไม่กล้าบอกใคร โม่ฮว่าเด็กคนนี้ข้าเห็นว่าดี ไม่เหมือนเจ้า ในใจมีความคิดซับซ้อนสิบแปดอย่าง ทำอะไรก็ลังเลไปหมด"
อาจารย์จวงนอนบนเก้าอี้ พูดเสียงราบเรียบ "ถ้าข้าคิดมากจริง ก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพนี้หรอก"
"คบคนพาล พาลพาไปหาผิด เจ้าคิดว่าตัวเองฉลาด ชอบคบหากับคนที่คิดมาก แต่ใจเจ้าไม่ได้สกปรกเท่าคนอื่น ก็เลยถูกคนเอาเปรียบ นี่เป็นกรรมที่เจ้าก่อเอง ไม่ควรโทษคนอื่น"
อาจารย์จวงยิ้มขื่น "ใช่ ดังนั้นตอนนี้ข้าถึงได้อยู่กับคนไร้หัวใจอย่างเจ้า จึงจะได้สงบสุขหน่อย"
สีหน้าปู่ขุยเรียบเฉย ไม่พูดอะไรอีก