บทที่ 22 ทุกคนต่างตกตะลึง
บทที่ 22 ทุกคนต่างตกตะลึง
“กร็อกๆ ฟู่...”
หลังจากที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหายไปจนไม่เหลือแม้แต่เศษซาก บนพื้นดินก็เหลือเพียงหลุมโคลนลึกที่กำลังเดือดปุดๆ
เย่เหรินเก็บดาบโลหิตกลับเข้าฝัก แล้วเผลอยกชายเสื้อขึ้นมาดูกล้ามท้องของตัวเอง
‘โอ้โห! กล้ามแน่นขึ้นเยอะเลย!’
“โอ๊ะ~” ยวี้หลิงหลงหรี่ตาจิ้งจอกที่สวยงามของเธอลงเล็กน้อย
“ไม่คิดเลยนะว่าหนุ่มน้อยจะมีรูปร่างดีขนาดนี้ พี่สาวขอตรวจดูหน่อยซิว่าพัฒนาการเป็นปกติดีไหม~”
เจียงซุ่ยกดมือเย่เหรินไว้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วดึงเสื้อของเขาลงมา
ในขณะเดียวกันก็ส่งยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์ไร้พิษภัยไปให้ยวี้หลิงหลงแล้วพูดว่า
“รุ่นพี่ โปรดสำรวมหน่อยค่ะ”
ยวี้หลิงหลงยกมือปิดปากหัวเราะคิกคักราวกับกระดิ่งเงิน
“เอาล่ะ พวกเราควรกลับกันได้แล้วใช่ไหม?” เย่เหรินล้วงมือไปที่เอว โคมไฟโบราณห้วงลึกขนาดเท่าของเล่นก็ขยายใหญ่ขึ้นทันที พร้อมกับเปล่งแสงสลัวออกมา
ภาพของสองโลกสะท้อนอยู่ในแสงไฟ และรอยแยกที่ไม่สม่ำเสมอก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเย่เหริน
เย่เหรินและเจียงซุ่ยกลับมายังโลกภายนอก
แต่ผู้ถือโคมไฟจากกองกำลังเสริมกลับหันไปทางโรงพยาบาลจิตเวชที่พังทลายลงแล้ว
จางเฉียงเป็นเพียงคนธรรมดาในกองกำลังเสริม
เขามักจะทำตัวซื่อๆ พูดจาบ้านๆ แต่เขาเป็นเพื่อนร่วมทีมที่ไว้ใจได้เสมอในภารกิจที่ผ่านมา
เขาเดินตามทีมเข้าไปในโรงพยาบาลจิตเวชที่พังทลาย
“เมื่อกี้ฉันรู้สึกว่าน้องคนนั้นดูไม่คุ้นหน้าเลย พวกนายว่างั้นไหม?” จางเฉียงคุยกับเพื่อนร่วมทีมขณะสำรวจ
“ไม่คุ้นก็ไม่แปลกหรอก เพราะน้องคนนั้นเพิ่งเข้าร่วมหน่วยงานเราเมื่อสองวันก่อน” เพื่อนร่วมทีม หลี่กังยักไหล่ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
“หา? เด็กใหม่สมัยนี้เก่งขนาดนี้เลยเหรอ?”
"โอ้แม่เจ้า ผู้ถือโคมคนนั้นน่ะ...เท่จนฉันขนลุกซู่เลย" เพื่อนร่วมทีม หวังลี่ พูดแทรกขึ้นมา ดวงตาของเธอเป็นประกาย ใบหน้าแดงระเรื่อ
"ถ้าหัวหน้าเจียงไม่อยู่ตรงนี้ล่ะก็ ฉันอยากจะขอวีแชทเขาเดี๋ยวนั้นเลย อ๊าย~ น้องชายคนนี้ดูอบอุ่นปลอดภัยสุดๆไปเลย"
"เก็บอาการหน่อย" สมาชิกอีกคนเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ "ด้วยความสามารถระดับนั้น เขาไม่ใช่คนธรรมดาที่พวกเราจะเทียบได้หรอก คาดว่าอีกไม่กี่วัน เขาคงจะได้เลื่อนขั้นแล้ว"
"จริงเหรอ? นี่มันผิดกฎไม่ใช่เหรอ?" จางเฉียงฟังแล้วตาโต ผู้ถือโคมจะเลื่อนขั้นได้ไม่ง่ายขนาดนั้น
"คนมีความสามารถก็ต้องได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างอยู่แล้ว" หลี่กังส่ายหัว "พวกนายก็เห็นเมื่อกี้แล้วว่าสัตว์ประหลาดนั้นมันอมตะยัยไง แต่เขากลับจัดการมันได้ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว..."
"เฮ้อ อยากเป็นแฟนเขามากเลย แค่ได้กอดขาเขาไว้ ชีวิตนี้ฉันก็คุ้มแล้ว~" หวังลี่ถอนหายใจ เสียงของเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและความสิ้นหวัง
"เขามีหัวหน้าเจียงแล้ว เขาคงไม่มองเธอหรอก" จางเฉียงปลอบใจ "เธอไปลองมองหลี่กังหรืออาเหล่ยดีกว่า พวกเขาชอบเธอนะ"
หวังลี่เบ้ปากอย่างไม่พอใจ แต่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เธอจึงใช้มือสะกิดแขนจางเฉียง "นายนี่มันบื้อจริงๆ!"
จางเฉียง: "O - o?"
พวกเขาพูดคุยกันไปพลาง ค้นหาเอกสารที่มีค่าในซากปรักหักพังไปพลาง
ในขณะเดียวกัน ที่สำนักงานใหญ่ของผู้ถือโคมในเมืองเถิงเหยียน
ลู่เหยียนขมวดคิ้วแน่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและกระวนกระวาย
เขาเดินไปเดินมาในห้องทำงาน เหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังเป็นระยะๆ เวลาในวันนี้ดูเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า
นับตั้งแต่เย่เหรินและเจียงซุ่ยเข้าไปในห้วงลึกเพื่อปฏิบัติภารกิจ และยังขอการสนับสนุนเพิ่มเติม หัวใจของเขาก็ไม่เคยสงบลงเลย
"ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก"
เสียงเข็มวินาทีของนาฬิกาดังชัดเจนเป็นพิเศษในห้องทำงานที่เงียบสงัด
ลู่เหยียนหยุดเดิน หายใจเข้าลึกๆพยายามสงบสติอารมณ์
‘เด็กคนนั้นมีผู้ยิ่งใหญ่จากเมืองหลวงคอยคุ้มกัน ไม่น่าจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นได้ ฉันจะกังวลไปทำไม?’
ถึงแม้จะปลอบใจตัวเองแบบนั้น แต่ลู่เหยียนก็ยังไม่สามารถสงบลงได้
พูดตามตรง เขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่ให้เจียงซุ่ยพาเย่เหรินออกไปทำภารกิจด้วย เพราะเย่เหรินยังไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นระบบเลย!
เขายังเป็นมือใหม่หัดขับอยู่เลย!
ในตอนนั้นเอง ประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออก ร่างของเจียงซุ่ยปรากฏขึ้นที่หน้าประตู
ลู่เหยียนรีบเดินเข้าไปหา "กลับมาแล้วเหรอ! เป็นยังไงบ้าง?"
เจียงซุ่ยเบ้ปาก "ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ มีแค่ยัยจิ้งจอกนั่น..."
ลู่เหยียนเลิกคิ้ว
จากนั้นเจียงซุ่ยก็รายงานรายละเอียดภารกิจให้พ่อของเธอฟัง
ลู่เหยียนยิ่งฟัง ตาก็เบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะขัดเจียงซุ่ย "เดี๋ยวก่อน ลูกหมายความว่า แม้แต่พวกผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากเมืองหลวงก็ยังทำอะไรไม่ได้ แต่เย่เหรินกลับจัดการได้..."
เจียงซุ่ยพยักหน้า สีหน้าจริงจัง "ใช่ค่ะ เหมือนตอนที่เขาฆ่าลาโธเทปนั่นแหละ ชักดาบ แล้วก็ฆ่ามันได้ในทันที เหลือเชื่อสุดๆไปเลยค่ะ"
ลู่เหยียนหายใจเข้าลึกๆ ตัวเขาถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้
ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อย เสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น "นี่แหละ ระดับจินตภาพ มันก็ต้องให้ได้แบบนี้แหละ!"
เจียงซุ่ยมองลู่เหยียน ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความอ่อนโยน "แล้วเขาก็ใจดีมาก ตอนที่พวกเรากำลังหนี เขาช่วยเสี่ยวหลิวไว้ด้วยค่ะ"
ลู่เหยียนสูดหายใจเข้าลึกอีกครั้ง พยายามทำให้เสียงของตัวเองฟังดูสงบ "รวบรวมรายงานเป็นเอกสารให้พ่อ พ่อจะอัปโหลดไปที่สำนักงานใหญ่ เดี๋ยวพวกที่ชอบปากมากก็จะได้หุบปากไปซะที"
หลังจากที่เจียงซุ่ยพยักหน้าและหันหลังเดินจากไป สายตาของลู่เหยียนก็มองไปยังทิวทัศน์ที่อยู่ไกลออกไปนอกหน้าต่าง หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็พูดว่า
“แม่งเอ้ย...ไอ้หมอนี่...ถ้ามาเป็นลูกเขยฉันก็ดีสิ...”
ลู่โหยวเตรียมตัวจะออกจากโรงพยาบาลในวันนี้ ร่างกายของเขาฟื้นตัวเกือบหมดแล้ว
ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้า แผลทะลุที่หน้าอกของเขาก็หายดี เหลือเพียงรอยแผลเป็นจางๆ
ทันใดนั้น ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดเบาๆ
หวังผิงอัน หนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ที่คอยปกป้องเย่เหรินอย่างลับๆปรากฏตัวขึ้นที่ประตู
ลู่โหยวนั่งตัวตรงทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเคารพ
"คุณหวัง ทำไมถึงมาที่นี่ได้ครับ?" เสียงของลู่โหยวเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความเคารพ
ถึงแม้ว่าลู่โหยวและหวังผิงอันจะอยู่ในหน่วยผู้ถือโคมแห่งสำนักงานใหญ่ปักกิ่งเหมือนกัน
แต่ทั้งสองคนฐานะต่างกันราวฟ้ากับเหว
ถ้าจะว่ากันตามตรง หวังผิงอันน่าจะเป็นหัวหน้าของหัวหน้าของหัวหน้าเขาอีกที
หวังผิงอันโบกมือ "ฉันมาเยี่ยมนายน่ะ ได้ยินว่านายใกล้จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว"
ลู่โหยวมีรอยยิ้มขอบคุณปรากฏบนใบหน้า "ขอบคุณคุณหวังที่เป็นห่วง ผมฟื้นตัวเกือบหมดแล้ว กะว่าจะพาคุณเย่และคุณเจียงไปฝึกอบรมที่เมืองหลวงในอีกสองวันนี้ครับ"
หวังผิงอันพยักหน้า เขาดึงเก้าอี้มานั่งแล้วเริ่มเล่าถึงวีรกรรมของเย่เหรินในโลกชั้นใน
ลู่โหยวตั้งใจฟัง ขณะที่หวังผิงอันเล่าไปเรื่อยๆ สีหน้าของเขาก็ยิ่งแสดงความตกใจมากขึ้นเรื่อยๆ
"คุณหมายความว่า เย่เหรินเขา...สังหารสัตว์หลาดจากห้วงลึกที่มีคุณสมบัติอมตะเหรอครับ?"
น้ำเสียงของลู่โหยวเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ เขาขมวดคิ้ว
คุณสมบัติอมตะ
คำๆนี้ไม่ค่อยปรากฏในแฟ้มคดี แต่ทุกแฟ้มที่มีคุณสมบัตินี้ล้วนบันทึกภัยพิบัติอันน่าสยดสยอง
หวังผิงอันพยักหน้า ดวงตาของเขาเผยให้เห็นความลำบากใจเล็กน้อย "ใช่ แม้แต่พวกเราก็ยังไม่สามารถจัดการกับคุณสมบัติอมตะได้ แต่เขาฟันครั้งเดียวก็... บางทีนี่อาจเป็นความสามารถผิดปกติระดับจินตภาพก็ได้"
นิ้วของลู่โหยวเคาะที่ขอบเตียงโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นนิสัยของเขาเมื่อรู้สึกประหม่าหรือตื่นเต้น
"คุณหวัง ตอนที่เขาชักดาบจะมีมลทินผิดปกติเกิดขึ้น หรือก็คืออาณาเขตไหม? พวกคุณ..."
"พวกเราก็จะได้รับผลกระทบด้วย และมลทินนี้อาจเป็นระดับจินตภาพ เพราะพวกเราหกคนแทบจะไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ตามปกติภายใต้ความหวาดกลัวนั้นได้เลย"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลู่โหยวก็เงียบไป
ครู่ใหญ่ๆต่อมา ใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มโล่งอก
"นี่มัน... ขออภัยครับ ผมตื่นเต้นไปหน่อย... นี่แหละครับถึงจะสมกับเป็นระดับจินตภาพ..."
"เข้าใจดีเลยล่ะ ฉันตกใจยิ่งกว่านายอีก นี่มันระดับจินตภาพชัดๆ"
ทั้งสองคนสบตากันและยิ้ม ทุกอย่างอยู่ในความเงียบงัน