ตอนที่แล้วตอนที่ 148 เจินสิง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 150 เดิมพันฟรีแถมซุปกระดูกผินเผิง

ตอนที่ 149 อาชีพเฉพาะทาง!


"เจ้านี่มัน..."

"แค่กๆ ชะล่าใจไปหน่อย"

"ลืมไปว่าในเชิงพลังเรายังไม่เทียบเท่าเขา"

เหล่าผู้อาวุโสหลายคนไอแก้เขินทันทีที่รู้ตัวว่าตนเองได้จ้องตาเจินสิงอยู่ จึงรีบหันหลังให้เขา ไม่กล้ามองหน้าอีกต่อไป แม้ว่าพวกเขาจะมีพลังเหนือกว่าเจินสิงแต่ก็ไม่อยากจะสู้กับคนบ้า ใครจะอยากสู้กับคนเสียสติล่ะ?

"หึๆ" เจินสิงหัวเราะเบาๆ แล้วเบนสายตาไปทางอื่น เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จ้องอยู่ข้างหลังหายไป อาวุโสหลายคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หลังจากนั้นไม่นาน เหล่าผู้มีอำนาจอีกหลายคนก็มาถึงสถานที่จัดงาน ประกอบไปด้วยผู้นำสวนสมุนไพร ไป๋เฉ่าเหยียน ผู้นำหอหมื่นสมบัติ และเจ้าหอเก็บคัมภีร์ล้ำค่าแห่งหอฉางจิง ทั้งสามท่านนี้ล้วนเป็นบุคคลสำคัญของสำนักทั้งสิ้น

เจ้าของสวนสมุนไพรไป๋เฉ่าเหยียนเป็นหญิงสาวที่ดูเหมือนอายุประมาณสามสิบปี สวมเสื้อคลุมสีขาวหลวมๆ แม้ว่าเสื้อคลุมจะกว้างขนาดไหน แต่ทรวดทรงที่ปรากฏก็ยังทำให้คนที่มองต้องตะลึงใจ ถึงแม้เธอจะมีอายุพอๆ กับอาวุโสเซี่ยเซวียน แต่เพราะข้อจำกัดทางพรสวรรค์ทำให้เธอยังไม่สามารถทะลวงถึงระดับเทียนเหรินได้ อย่างไรก็ตาม เธอมีความสามารถในการปรุงยาที่โดดเด่นจนหาผู้เทียบไม่ได้ ไม่ว่าจะศิษย์หรืออาวุโสได้รับบาดเจ็บมากเพียงใด เธอมักจะเป็นคนรักษาอาการให้จนหายดี ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอเป็นที่เคารพนับถือของทุกคนในสำนัก เพราะเธอได้เสียสละเพื่อสำนักอยู่เบื้องหลังมากมาย

ผู้นำหอหมื่นสมบัติเป็นผู้รับผิดชอบดูแลสมบัติล้ำค่ามากมายทั้งอาวุธวิเศษและของล้ำค่าต่างๆ ทำให้เขามีสถานะที่ทรงเกียรติยิ่ง เขามีความลึกลับและแทบไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นในที่สาธารณะมาก่อน การที่เขามาในงานประชุมเจ็ดยอดเขาครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ

เจ้าของหอฉางจิงเป็นชายชราที่ดูมีชีวิตชีวา แข็งแรงกระปรี้กระเปร่า แม้ว่าอายุจะเกือบสองพันปีแล้วแต่เขายังคงแข็งแกร่งมาก เขาเป็นผู้ดูแลคัมภีร์ศิลปะการต่อสู้และวิชาอาคมของสำนักเกาซานเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ 《เคล็ดลืมตน》 หรือ 《เคล็ดวิชาซ่อนเร้น》 ที่ศิษย์ทุกคนต้องฝึกฝนในช่วงแรกก็เป็นผลงานของเขา ชายผู้นี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นตำนานของสำนัก แม้กระทั่งเต๋าเสวี่ยเจินเหรินเองก็ต้องเรียกเขาว่าศิษย์พี่

เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นมาพ้นขอบฟ้า ฮั่วหยุนเฟยก็นำลูกศิษย์ของตนเองเข้าร่วมงานประชุมในฐานะตัวแทนของยอดเขาเต๋าหยวน ทุกสายตาต่างจับจ้องมองไปที่พวกเขา ฮั่วหยุนเฟยเดินนำอยู่ด้านหน้า ขนาบข้างด้วยเย่ปู้ฝานและหวงเสวียน ส่วนด้านหลังเป็นเจียต้าเป่าและอ้ายหยาที่กำลังขี่ไก่ทองจินจินอยู่

“ท่านผู้นำยอดเขาเต๋าหยวน!”

“นี่คือเหล่าศิษย์เอกของผู้นำยอดเขาเต๋าหยวน แต่ละคนดูไม่ธรรมดาเลยทีเดียว”

“เด็กสาวคนนั้นนั่งบนไก่ตัวใหญ่ มันตลกชะมัด”

เสียงซุบซิบดังขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย โดยส่วนใหญ่ต่างประหลาดใจในตัวฮั่วหยุนเฟยที่เปี่ยมด้วยความพิเศษและความลึกลับ

“แต่ละคนทำไมมาถึงกันเช้าเหลือเกิน”

“แย่งกันมาแบบนี้นี่เอง”

ฮั่วหยุนเฟยไม่ได้ตั้งใจจะมาเป็นคนสุดท้าย แต่ใครจะคิดว่าพวกที่เหลือจะมาถึงกันเร็วกว่าเวลาที่กำหนดเอาไว้ ดวงอาทิตย์ขึ้นเป็นเวลาที่กำหนดให้มารวมตัว แต่พอเขามาถึง กลับกลายเป็นว่าตนเองมาเป็นคนสุดท้ายไปเสียได้ เขานำลูกศิษย์ของตนมานั่งที่นั่งระหว่างยอดเขาโกวหยวนและเทียนจี ซึ่งตำแหน่งนี้คือที่นั่งของยอดเขาเต๋ษหยวน

“เมื่อทุกคนมาพร้อมแล้ว...” จางหยุนเทียนเจินเหรินลืมตาขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นฮั่วหยุนเฟยมาถึง “วันนี้พวกเรามารวมตัวกันที่นี่ ทุกคนคงรู้ดีถึงสาเหตุที่มารวมตัวกัน ข้าจะไม่กล่าวอะไรให้มากความ”

“การประชุมถกธรรมะครั้งนี้แบ่งเป็นสามส่วน คือ การประลองของเหล่าศิษย์ อาวุโส และผู้นำยอดเขา”

“ศิษย์ที่สามารถต่อสู้ชนะติดต่อกันหลายรอบ และมีผลงานโดดเด่น จะได้รับรางวัลพิเศษจากสำนัก และมีสิทธิ์เป็นตัวแทนสำนักเพื่อไปแข่งในศึกเก้าสำนักเซียน”

“ส่วนอาวุโสและผู้นำยอดเขาก็เช่นกัน”

“เอาล่ะ เริ่มจากเหล่าศิษย์ก่อน ใครจะเป็นคนแรกขึ้นประลองบ้าง?”

เมื่อคำพูดของเจ้าสำนักจางหยุนเทียนสิ้นสุดลง บรรยากาศในสนามก็เงียบลงทันที ศิษย์ทั้งเจ็ดยอดเขาต่างมองหน้ากันและมีท่าทีแตกต่างกันออกไป แต่กระแสแห่งความตื่นเต้นและความทะเยอทะยานก็ได้เริ่มพลุ่งพล่านอยู่ภายในใจของพวกเขา เพราะโอกาสที่จะได้เป็นตัวแทนของสำนักเพื่อไปแข่งขันศึกเก้าสำนักเซียนนั้นเป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวง พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปแน่นอน

ในที่สุด ศิษย์คนหนึ่งจากเทียนจีก็เดินออกมา

“ศิษย์จากเทียนจี นามว่า หลิวหมาง อายุสามสิบปี อยู่ในระดับหยวนตันขั้นเจ็ด”

“ขอเชิญศิษย์พี่ท่านใดก็ได้มาประลองกับข้าด้วย”

หลิวหมางค้อมตัวแสดงความเคารพและมองไปรอบๆ ด้วยท่าทีสุภาพ

“หืมม~”

“หลิวหมางคือหลานชายของอาวุโสหลิว เป็นศิษย์ที่พรสวรรค์แข็งแกร่ง ไม่เคยแพ้ใครในระดับเดียวกัน น่าประหลาดใจที่เขากล้าเป็นคนแรกที่ก้าวขึ้นเวที”

"ใช่แล้ว ได้ยินว่าตอนเขาออกไปฝึกวิชาเมื่อหลายปีก่อน เคยถูกคนร้ายลอบทำร้ายจนบาดเจ็บถึงขั้นรากฐานเสียหาย"

"ไม่อย่างนั้น เขาอายุสามสิบปี ระดับพลังคงไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่ๆ"

การปรากฏตัวของหลิวหมางทำให้เกิดเสียงซุบซิบในกลุ่มศิษย์ที่มาร่วมงาน หลายคนรู้จักเขาดีในฐานะศิษย์ที่มีชื่อเสียงเล็กน้อยในสำนัก

"จากยอดเขาโกวหยวน หลี่หลิว อายุยี่สิบเก้าปี อยู่ในระดับหยวนตันขั้นที่เจ็ด ขอมาท้าสู้"

จากทิศทางของโกวหยวน ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มมั่นใจ ขณะมองไปที่หลิวหมาง

"แน่นอนอยู่แล้ว อาวุโสหลี่ก็ส่งหลานชายสุดที่รักของตนเองมาสู้เหมือนกัน เหล่าผู้อาวุโสที่ชอบตีกันสองคนนี้คงต้องมาเจอกันอีกรอบ"

"แต่ถึงแม้หลี่หลิวกับหลิวหมางจะอายุใกล้เคียงกัน ทว่าในพลังระดับเดียวกัน หลี่หลิวอาจไม่เทียบเท่า ดูแล้วน่าจะเอาชนะได้ยาก"

หลี่หลิวเป็นหลานชายของอาวุโสหลี่แห่งโกวหยวน ซึ่งมีพรสวรรค์แข็งแกร่งไม่แพ้กัน อาวุโสหลี่กับอาวุโสหลิวต่างไม่ลงรอยกัน เจอกันทีไรก็ต้องมีเรื่องทะเลาะกันเสมอ เมื่อเห็นอาวุโสหลิวส่งหลานชายของตนลงสนาม อาวุโสหลี่จึงไม่ยอมแพ้ส่งหลานชายของตนเข้าประลองเช่นกัน

"หึๆ อาวุโสหลี่ วันนี้คนดูเยอะขนาดนี้ ถ้าแพ้ขึ้นมา อย่ามาอ้างนั่นอ้างนี่แล้วกัน" อาวุโสหลิวมองไปที่อาวุโสหลี่ในกลุ่มของโกวหยวนด้วยรอยยิ้ม

อาวุโสหลี่มุมปากยกขึ้น "จะแพ้หรือชนะมันยังไม่รู้แน่หรอก อาวุโสหลิวที่มั่นใจเกินไป ระวังเถอะจะโดนตบหน้าเข้าให้"

หลิวหมางและหลี่หลิวเคยสู้กันมาแล้วหลายครั้ง และทุกครั้งผลการต่อสู้ก็มักจะจบลงที่หลิวหมางชนะเสมอ พรสวรรค์ของหลิวหมางเหนือกว่า แข็งแกร่งกว่า ในระดับเดียวกันหลี่หลิวไม่เคยได้เปรียบเลย แต่ครั้งนี้ต่อหน้าทุกสายตา เขาก็ยังเลือกจะท้าสู้โดยไม่เกรงกลัว

นั่นก็เพราะว่าเขาตั้งใจจะลบล้างความพ่ายแพ้ในอดีต เพื่อวันหนึ่งจะได้เป็นตัวแทนของสำนักไปเข้าร่วมการประลองเซียน

"ระดับที่เก็บงำเอาไว้ จะได้ใช้ซะที" หลี่หลิวคิดในใจ

ทั้งสองคนยืนประจันหน้ากันอย่างมั่นใจ ไม่แสดงท่าทีหวั่นไหว

ทางฝั่งเต๋ษหยวน เหล่าศิษย์จากฝั่งของฮั่วหยุนเฟยกำลังเฝ้ามองการประลองที่กำลังจะเกิดขึ้น หวงเสวียนหัวเราะเบาๆ ก่อนหันไปพูดกับเจียต้าเป่า “ศิษย์น้อง รู้ไหมว่านอกจากปล้นชิงและขุดสุสานที่ทำเงินเร็วแล้ว ยังมีอีกอาชีพหนึ่งที่ทำเงินได้เร็วเหมือนกัน”

เขาพูดพลางยิ้มอย่างมีเลศนัยยิ่งขึ้น

“โอ้? ศิษย์พี่ยังมีช่องทางใหม่อีกเหรอ?”

“บอกข้ามาเร็วๆ เลยสิ” เจียต้าเป่าลืมตาโพลง ดูกระตือรือร้นขึ้นมาทันที

เย่ปู้ฝานมองสองคนนี้แว่บหนึ่ง เมื่อใดที่สองคนนี้อยู่ใกล้กัน เขามักจะรู้สึกว่าทั้งคู่เข้ากันได้อย่างประหลาด เขาจึงตัดสินใจหันไปสนใจการประลองต่อดีกว่า

"ตั้งโต๊ะพนัน" หวงเสวียนส่งเสียงผ่านลมปราณ

“ตั้งโต๊ะพนัน?” เจียต้าเป่าชะงัก มองไปที่หลิวหมางและหลี่หลิว พลางพูดว่า “เจ้าคิดจะใช้การต่อสู้ของพวกเขามาเดิมพัน เจ้าเองเป็นเจ้ามือหรือ?”

เขาเป็นคนฉลาด ถึงจะอยู่มาหลายร้อยปี ก็เคยผ่านเรื่องทำนองนี้มาบ้าง เพียงแต่ไม่เคยคิดจะทำเอง เพราะรู้ดีว่าการพนันนั้นมีความเสี่ยงสูง หากไม่รู้จักฝีมือของทั้งสองคนเป็นอย่างดี อาจจะเสียหมดตัวเลยก็ได้ ยิ่งถ้าเป็นที่สำนักเกาซานแล้ว การพนันนี่นับว่ายิ่งอันตรายยิ่งกว่าเดิม เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าใครแข็งแกร่งกว่ากันหรือซ่อนพลังอะไรไว้หรือเปล่า ถึงจะได้ยินว่าในอดีตหลี่หลิวไม่เคยชนะหลิวหมางเลย แต่นั่นหมายความว่าในวันนี้หลี่หลิวไม่มีโอกาสชนะจริงหรือ?

หากหลี่หลิวซ่อนพลังไว้มากกว่า ฝ่ายนั้นก็จะมีโอกาสชนะมากกว่า โอกาสเสี่ยงขาดทุนย่อมมากตามไปด้วย

หวงเสวียนที่ดูออกว่าเจียต้าเป่ากำลังคิดอะไรอยู่ ก็เหลือบมองไปทางหลังของฮั่วหยุนเฟย แล้วพูดว่า “เมื่อมีท่านอาจารย์อยู่ รับรองว่าไม่มีอะไรผิดพลาด”

“ให้ท่านอาจารย์ช่วยดูฝีมือของทั้งสองคน แล้วเราค่อยวางแผนตั้งวงเชิญคนอื่นมาพนันกัน”

“เอาไง? มันชัวร์แน่นอน!”

“ท่านอาจารย์จะยอมให้ทำเหรอ?” เจียต้าเป่ามองไปที่ฮั่วหยุนเฟย

“นี่มันหาเงินจากสำนักโดยตรงเลยนะ”

หวงเสวียนตอบว่า “ตราบใดที่เงินได้มาอย่างถูกต้องและบริสุทธิ์ ท่านอาจารย์ไม่มีทางว่าอะไรหรอก”

ได้ยินดังนั้น เจียต้าเป่าจึงพยักหน้า “งั้นก็ลุยเลย!”

“ข้าไปคุยกับท่านอาจารย์เอง” หวงเสวียนกล่าวอย่างมั่นใจ

ฮั่วหยุนเฟยที่ไม่ได้หันกลับมา แต่ยังได้ยินทุกคำพูด ตอบเรียบๆ ว่า “ศึกนี้หลี่หลิวชนะ”

แม้ว่าทั้งสองคนจะพูดกันแบบส่งเสียงผ่านลมปราณ แต่ฮั่วหยุนเฟยที่แข็งแกร่งย่อมได้ยินหมด และเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธความคิดของทั้งสองคนนี้ เพราะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องผิด

“ไม่เสียทีที่เป็นท่านอาจารย์ของข้า” หวงเสวียนยิ้ม เขาหยิบเอาเก้าอี้และโต๊ะออกมาจัดตั้ง เตรียมอุปกรณ์ในการจดบันทึกพร้อม ก่อนจะพยักหน้าให้เจียโต้วเป่าเริ่มได้เลย

เจียโต้วเป่าที่เข้าใจความหมายทันทีจึงกระแอมเบาๆ และตะโกนขึ้นว่า “ดูนี่ดูนี่! ใครจะชนะ มาดูกันได้!”