ตอนที่แล้วตอนที่ 144 มาตีข้าสิ ตีข้าไม่ได้หรอก!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 146 หม้อไฟเนื้อสุนัข!

ตอนที่ 145 ศิษย์น้อง เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ!


“อาจารย์ ศิษย์ผิดไปแล้ว”

“ศิษย์เป็นคนยุยงให้ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง และศิษย์น้องเล็กไปด้วยกัน ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา”

เมื่อกลับมาที่ยอดเขาเต๋าหยวน เจียต้าเป่าหยิบยกความผิดของตนเองขึ้นมากล่าวยอมรับ

“พอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก” ฮั่วหยุนเฟยกล่าวขึ้น

“ช่วงที่ข้าไม่อยู่ พวกเจ้าฝึกฝนกันไปถึงไหนแล้ว”

“พวกเจ้ากล้าก้าวออกไปเผชิญโลกภายนอก ข้าว่าเจ้าคงจะพัฒนากันไม่น้อย”

ด้วยการมองแค่ครั้งเดียว ฮั่วหยุนเฟยสามารถมองทะลุถึงระดับพลังของทุกคนได้อย่างชัดเจน การพัฒนาของพวกเขานับว่ายังน่าพอใจ เนื่องจากมีโลกแห่งกาลเวลาที่ถูกตั้งอยู่ในยอดเขาเต๋าหยวน ทำให้ความเร็วในการฝึกฝนของพวกเขาเหนือกว่าคนธรรมดาอย่างมาก

เมื่อได้ยินคำพูดของฮั่วหยุนเฟย เย่ปู้ฟานเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าว

“อาจารย์ ศิษย์มีความเข้าใจเกี่ยวกับ 'หมัดสุริยัน' และได้ค้นพบวิชา 'มวยเซิงถี่' อยากจะขอให้อาจารย์ช่วยดูพลังของมันหน่อย”

“โอ้?” ฮั่วหยุนเฟยมองไปที่เขาแล้วกล่าว

“ถ้าอย่างนั้นก็มาสิ ให้ข้าดูว่ามวยที่เจ้าคิดค้นขึ้นมานั้นแข็งแกร่งแค่ไหน”

หวงเสวียนกล่าวขึ้น

“อาจารย์ ต้องระวังด้วยนะ วิชามวยที่ศิษย์พี่ใหญ่คิดค้นขึ้นนั้นแข็งแกร่งมาก”

เขาเคยลองรับพลังจากวิชามวยที่เย่ปู้ฟานค้นพบ ซึ่งทรงพลังและดุดันเป็นอย่างมาก ถ้าครั้งก่อนที่ฮั่วหยุนเฟยเคยกล่าวว่าในระดับเดียวกันเขาต้องใช้พลังถึงเก้าส่วนเพื่อเอาชนะพวกเขา ครั้งนี้ก็เกรงว่าฮั่วหยุนเฟยจะต้องเจอความยากลำบากอย่างแน่นอน

...

สามเดือนผ่านไป

ยอดเจาเกาซาน ศาลาเกาซาน

จางหยุนเทียน เจ้าแห่งสำนัก และผู้นำยอดเขาทั้งหกกำลังประชุมหารือกันอยู่

“อีกหนึ่งเดือน 'เก้าสำนักเซียน' จะเริ่มต้นขึ้น”

“ตามกฎของพวกเรา แม้ว่าสำนักของเราจะไม่ได้เข้าร่วมการชิงตำแหน่ง แต่ก็ยังต้องไปเพื่อทำการแลกเปลี่ยน”

จางหยุนเทียนกล่าวขณะยกถ้วยชาในมือขึ้นมาดื่ม ดวงตาเขาแฝงไปด้วยความครุ่นคิด

โกวหยวนเจินเหรินหันมองไปที่เขาแล้วกล่าว

“ท่านเจ้าสำนักของเราอาจไม่ได้เข้าร่วมการชิงตำแหน่ง แต่ครั้งนี้ข้าคาดว่าเราคงหนีไม่พ้นปัญหามากมาย”

“บรรดาตระกูลโบราณและสำนักใหญ่ทั้งหลาย ที่มักจะมีท่าทีหยิ่งยโส มองพวกเราที่เคยเป็นหนึ่งในเก้าสำนักเซียนด้วยสายตาเย้ยหยันและพยายามกดดันเรา”

เมื่อได้ยินดังนั้น เทียนจีเจินเหรินที่อยู่ข้างๆ ก็หัวเราะเยาะออกมา เขาลูบหนวดดำหนาของตนแล้วกล่าว

“เยาะเย้ยงั้นหรือ? ข้าไม่คิดว่าพวกนั้นจะมีความสามารถมากพอที่จะเยาะเย้ยพวกเรา”

“ถ้าพวกนั้นกล้ามากดดันพวกเราจริง ข้าก็จะดึงเอาตระกูลโบราณหรือสำนักใหญ่ที่ข้าดูไม่ชอบใจลงจากบัลลังก์ของพวกมันให้ดู”

เขาเคยเข้าสู่สุสานบรรพบุรุษมาแล้ว ทำให้เขามั่นใจในศักยภาพของสำนักของตนเองเป็นอย่างมาก ตระกูลโบราณหรือสำนักใหญ่ใดๆ สำหรับเขาแล้วก็ไม่ต่างจากลูกหลานที่ยังด้อยกว่า

เซี่ยเซวียนเจินเหรินหันมองไปที่เทียนจีเจินเหรินที่มีท่าทางหยิ่งยโสแล้วกล่าวเตือน

“ท่านเทียนจีอย่าประมาทอำนาจของสำนักทั่วโลกเชียว”

“ทุกตระกูลโบราณหรือสำนักใหญ่ที่เคยให้กำเนิดจ้าวสูงสุดมาแล้ว พวกเขามีพื้นฐานที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง”

“แม้ว่าศิษย์ที่พวกเขาฝึกฝนขึ้นมาจะด้อยกว่าพวกเรา แต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่ามากนัก”

“ศิษย์น้องพูดถูกแล้ว” จางหยุนเทียนกล่าวขึ้นพร้อมมองไปยังทุกคน

“แม้ว่าสำนักของเราจะมีพื้นฐานแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่ควรจะหลงตัวเองจนกลายเป็นกบในกะลา”

“หากเราเผชิญหน้ากับสำนักโบราณที่มีอายุยาวนานกว่าเรา เกรงว่าคงจะพ่ายแพ้ได้ง่ายๆ”

“ดังนั้นไม่ว่าเราจะแข็งแกร่งเพียงใด เราก็ต้องระมัดระวังและรอบคอบเสมอ”

“หากถึงเวลาที่จำเป็นต้องต่อสู้ เราต้องไม่ปราณีเด็ดขาด”

อู๋จีเจินเหรินกล่าว

“ท่านเจ้า ท่านเรียกพวกเรามาเพื่อจะพูดถึงเรื่องใดกันแน่?”

“เรื่องไม่เข้าร่วมชิงตำแหน่งเก้าสำนักเซียนเราได้หารือกันไปแล้วมิใช่หรือ?”

เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็หันมามองไปที่จางหยุนเทียน

จางหยุนเทียนกล่าวต่อไป

“ครั้งนี้ที่เราจะไป ข้าตั้งใจจะพาศิษย์และอาวุโสที่มีฝีมือไปด้วย”

“ในเวลาจำเป็น พวกเขาจะต้องลงมือ”

ฮั่วหยุนเฟยมองไปที่จางหยุนเทียนแล้วหัวเราะเบาๆ

“ท่านอาจารย์ลุงกำลังวางแผนจะปรากฏตัวในฐานะผู้ล่าอยู่สินะ?”

“ถ้าพวกนั้นไม่กล้ามารังแกเรา ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคิดจะมีเจตนาร้าย ข้าไม่รังเกียจที่จะสั่งสอนให้สักบทเรียน”

จางหยุนเทียนหัวเราะแล้วกล่าว

“ถูกต้อง แม้ว่าสำนักของเราจะไม่ใส่ใจชื่อเสียงเก้าสำนักเซียนอีกต่อไป แต่เราก็ไม่ควรยอมให้ใครมาดูถูกได้”

“หากใครคิดจะรังแกเราต่อหน้า ก็จงรับบทเรียนกลับไป”

“ดังนั้น ก่อนออกเดินทาง สำนักของเราจะจัดงานชุมนุมธรรมะสั้นๆ ขึ้น ในวันนั้น ยอดเขาทั้งหกต้องส่งคนเข้าร่วมด้วย”

“ฮั่วหยุนเฟย ยอดเขาของเจ้าไม่มีอาวุโส ดังนั้นครั้งนี้เจ้าจะต้องไปกับข้าด้วย”

“ตกลง” ฮั่วหยุนเฟยพยักหน้าอย่างสงบ อย่างไรก็ตามการเดินทางครั้งนี้ก็แค่เป็นพิธี ผ่านพ้นงานเก้าอันดับเซียนไปแล้วก็คงจะได้พักผ่อนสักระยะ ช่วงนี้เขาเดินทางบ่อยจนเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้ว

จางหยุนเทียนกล่าวต่อ

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่พวกเจ้าจะต้องสั่งการลงไป”

“สำนักของเราไม่ใช่หนึ่งในเก้าสำนักเซียนอีกต่อไป ดังนั้นจำนวนศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงที่มาขอฝากตัวก็ลดลง”

“ดังนั้น ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หากพวกเจ้าหรือบรรดาอาวุโสหรือศิษย์คนใดออกไปนอกสำนัก หากพบศิษย์ที่มีพรสวรรค์ดี ก็สามารถแนะนำพวกเขาเข้ามายังสำนักได้”

“สำหรับแต่ละคนที่แนะนำเข้ามา สำนักจะมอบรางวัลให้ ยิ่งพรสวรรค์สูง      รางวัลก็ยิ่งมาก”

เทียนจีเจินเหรินยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว

“เรื่องนี้ ยอดเขาเทียนจีของข้าย่อมต้องทำได้แน่นอน ท่านเจ้าสำนักเตรียมรางวัลไว้ได้เลย”

จางหยุนเทียนพยักหน้าและยิ้ม

“เช่นนั้นก็ดี รางวัลที่ข้าจัดเตรียมไว้คงทำให้พวกเจ้าพอใจแน่นอน

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ไปเตรียมตัวสำหรับงานชุมนุมธรรมะเถอะ ศิษย์ที่คว้ารางวัลชนะเลิศ อาวุโส หรือแม้แต่ตำแหน่งผู้นำ ก็จะได้รับรางวัลเช่นกัน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เทียนจีเจินเหรินตาเป็นประกาย ตำแหน่งผู้นำก็ยังต้องแข่งขันอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นรางวัลก็คงจะตกอยู่ในกำมือของเขาใช่ไหม? ในเมื่อศิษย์พี่ตี้เสินไม่อยู่ แล้วใครกันเล่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา? ฮ่าๆ

ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เทียนจีเจินเหรินเป็นคนแรกที่เดินออกจากศาลาเกาซานไป

“ศิษย์น้อง เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน”

เมื่อเซี่ยเซวียนเจินเหรินเตรียมจะเดินออกไปนั้น จางหยุนเทียนก็เรียกเธอเอาไว้

“ศิษย์พี่ มีเรื่องอะไรหรือ?” เซี่ยเซวียนเจินเหรินมองไปที่จางหยุนเทียนด้วยความสงสัย เธอรู้สึกได้ทันทีว่าการที่จางหยุนเทียนเรียกเธอไว้เพียงลำพังนั้นคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

ไม่ผิดคาด จางหยุนเทียนพูดขึ้นว่า “ศิษย์น้อง เจ้าไม่สนใจดินแดนบรรพชนจริงๆ หรือ?”

เซี่ยเซวียนเจินเหรินแสดงสีหน้าสับสนพลางกล่าวว่า “ศิษย์น้องเพิ่งจะถึงขั้นเทียนเหริน ยังมีอีกไกลกว่าจะได้เข้าสู่ดินแดนบรรพชน”

“ท้ายที่สุด ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีพรสวรรค์สูงเช่นศิษย์พี่ตี้เสินที่อายุยังน้อยก็สามารถทะลวงผ่านไปถึงขั้นมหาเต๋าได้”

“แล้วคราวที่แล้วที่เมืองโบราณเทียนเฉวียนมันเรื่องอะไรกัน? เคล็ดลับอะไรที่ทำให้เจ้ามีพลังเพิ่มขึ้นมากมายขนาดนั้น?” จางหยุนเทียนดื่มชาไปพลาง หรี่ตายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“เคล็ดลับนั้นเป็นของบรรพจารย์แห่งเซี่ยเซวียนศิษย์น้องไม่สะดวกจะพูดมาก”

“ถึงแม้วิชานี้จะเพิ่มพลังได้ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ทำให้รากฐานได้รับความเสียหาย หากมิใช่เพราะฮั่วหยนุเฟยกลับมาพอดี ศิษย์น้องเกรงว่าจะ…”

เซี่ยเซวียนเจินเหรินไม่ได้พูดต่อ

“เฮ้อ กลับมาไม่ถูกเวลาจริงๆ…” จางหยุนเทียนพึมพำเบาๆ

ฮั่วหยุนเฟย เจ้าเด็กคนนี้รู้กฎของสำนักหรือไม่? ช่างไม่รู้ความเอาเสียเลยที่ไป "รักษา" เซี่ยเซวียนเจินเหรินโดยพลการ

เซี่ยเซวียนเจินเหรินขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถามว่า “ศิษย์พี่เมื่อครู่พูดอะไรนะ?”

“ไม่มี อะไร ไม่มีอะไรหรอก”

“ศิษย์พี่คงจะอยากบอกว่าคราวหน้าถ้าไม่จำเป็นก็อย่าใช้เคล็ดลับนี้มากเกินไป หากใช้บ่อยเกินไปก็อาจจะช่วยไม่ทันจริงๆ” จางหยุนเทียนบอกเป็นนัยๆ แต่ก็ไม่คิดจะพูดอะไรมากไปกว่านั้น

ดินแดนบรรพชนพึ่งมีคนเข้ามาเพิ่มมากมาย เขาเองก็ทำหน้าที่ได้ตามเป้าแล้ว ดังนั้นไม่คิดจะจ้องเซี่ยเซวียนเจินเหรินมากเกินไป ปล่อยเธอไปตามทางของเธอ

“อืม ขอบคุณศิษย์พี่ที่เป็นห่วง”

“คราวหน้าศิษย์น้องจะพยายามไม่ใช้เคล็ดลับนี้” เซี่ยเซวียนเจินเหรินกล่าว ก่อนจะขอตัวและเดินจากไป

ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มในชุดสีฟ้าก็เดินเข้ามา เขามีคิ้วดาบและดวงตาสุกใส ดูหล่อเหลาอย่างมาก

เขาคือ หลินหยาง ซึ่งตอนนี้ได้รับการยอมรับเป็นศิษย์ของจางหยุนเทียนแล้ว พลังเทพสายฟ้าในร่างของเขาได้ถูกฟื้นฟูจนสมบูรณ์ และพรสวรรค์ของเขาก็พัฒนาขึ้นถึงระดับเซียน

“หยางเอ๋อร์ เจ้าต้องรีบฝึกฝนให้มากขึ้น อาจารย์เกรงว่าเวลาอาจเหลือไม่มากแล้ว” จางหยุนเทียนจิบชาไปพลาง สีหน้าดูสงบ เหมือนกับว่าเขาไม่สนใจชีวิตหรือความตายของตนเองเลย

หลินหยางมีสีหน้าประหลาดใจ หลังจากอยู่ในสำนักเกาซานมาได้สองปี เนื่องจากสถานะของเขาเพิ่มขึ้น เขาจึงได้รับรู้เรื่องราวมากมาย

สำหรับคำพูดของจางหยุนเทียน เขาไม่เชื่อเลยสักนิด จึงกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ท่านคงรีบเกินไปหน่อย ท่านยังหนุ่มแน่นอยู่เลย”