ตอนที่แล้วบทที่ 649 สามสาวในหนึ่งฉาก
ทั้งหมดรายชื่อตอน

(ฟรี) บทที่ 650 หลี่หรานกลับสู่ดินแดนรกร้างโลหิต


เฟิงหยูหลินไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป

การรับรู้ของเขาคงไม่ผิดพลาด กลิ่นอายของบรรพชนมังกรกับมังกรจักพรรดิในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน มันทำให้เลือดของเขาแทบจะเดือดพล่าน!

“ทิศทางนั้นควรเป็นที่ตั้งของวิหารโหยวหลัว”

สีหน้าของเฟิงหยูหลินเปลี่ยนไป และหลังจากไตร่ตรองอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้

การปรากฏตัวของมังกรจักรพรรดิและการเสด็จลงมาของบรรพชนมังกรเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบหลายพันปี

มันควรจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของผู้รอดชีวิตจากยุคโบราณอย่างพวกเขา โอกาสเช่นนี้มีอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น แม้จะรู้ว่ามีอันตรายรออยู่ แต่เขาก็ยังต้องเผชิญหน้ากับมัน!

“ถึงเวลาผงาดของเผ่ามังกรแล้ว!”

เฟิงหยูหลินลุกขึ้นยืนและเดินออกไปที่ประตูด้วยใบหน้าเชิดขึ้น

“เดี๋ยวก่อน”

ในขณะนั้นเอง พนักงานของโรงเตี๊ยมก็รีบตามเขามา ทำลายบรรยากาศอันฮึกเหิมลงจนหมด “แขกผู้มีเกียรติ ท่านยังไม่ได้ชำระเงิน”

“เงิน?” สีหน้าของเฟิงหยูหลินแข็งค้าง เขาซ่อนตัวอยู่ในหนองน้ำมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปี แล้วเขาจะมีเงินของมนุษย์ธรรมดาติดตัวได้อย่างไร?

“โอ้ เท่าไหร่ล่ะ?”

“สุราชั้นเลิศสิบไห ไก่ย่างห้าตัว หมูหันสาม...” พนักงานหมุนลูกคิดแล้วยื่นมือออกมา “ทั้งหมดห้าตำลึงขอรับ”

เฟิงหยูหลินหยิบหินวิญญาณก้อนหนึ่งออกมาแล้วถาม “เท่านี้พอไหม”

“ขออภัยด้วยขอรับ โรงเตี๊ยมของเรารับเฉพาะเงินตำลึงเท่านั้น” พนักงานกล่าวพร้อมกับส่ายหัว

เฟิงหยูหลินรู้สึกกระดากอาย “แต่ข้ามีเพียงสิ่งนี้”

“แสดงว่าไม่มีเงิน?” ทันใดนั้นสีหน้าของพนักงานก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน “ไม่มีเงินแต่ยังกล้ามากินและดื่มที่นี่? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นจักรพรรดิหรือไง?”

“มาสำราญที่โรงเตี๊ยมนี้แต่ไม่มีเงินจ่าย ใครมันอาจหาญขนาดนั้น?” ชายร่างกำยำหลายคนที่เฝ้าดูอยู่รวมตัวกันรอบเขาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร

เฟิงหยูหลินขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดและพึมพำ “ช่างเป็นการเริ่มต้นที่เลวร้ายจริงๆ”

“อะแฮ่ม เรามาพักเรื่องนั้นไว้ก่อนดีกว่า ข้าจะชำระมันในครั้งหน้า… แน่นอนว่าหากข้าสามารถกลับมาได้อย่างมีชีวิตล่ะนะ” เฟิงหยูหลินกล่าวต่อ

“เจ้าคิดว่ายังมีครั้งหน้า?” พนักงานกำลังจะคว้าแขนของเขา แต่ทันใดนั้นดวงตาก็กลายเป็นพร่ามัว และเมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งเฟิงหยูหลินก็หายตัวไปแล้ว

***

ดินแดนรกร้างโลหิต

ชางหลานเยว่ยืนอยู่บนชายฝั่ง จ้องมองลำธารโลหิตด้วยสีหน้าว่างเปล่า อารมณ์ในดวงตาของนางไม่อาจแยกแยะได้

“เยว่...”

เสียงเรียกพร้อมกับฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง

ชางหลานเยว่หันกลับไปมอง และเห็นร่างสูงที่เดินมาอย่างช้าๆ

“พี่ชาย”

ชางหลานอู่จี๋เดินเข้ามาหานางแล้วถามด้วยความสงสัย “เจ้ายืนอยู่ที่นี่มาทั้งวันแล้ว มีสิ่งใดให้ดูในลำธารโลหิต?”

ชางหลานเยว่ระงับอารมณ์ของนางและส่ายหัว “ไม่มีอันใด”

จากนั้นนางก็ถามต่อ “ยังไงก็ตาม เรื่องต่างๆในเผ่าของเราสงบลงหรือยัง?”

ในขณะที่เรื่องของเทพมังกรได้รับการแก้ไขแล้ว แต่ดินแดนรกร้างโลหิตยังห่างไกลจากความสงบสุข

นับตั้งแต่การร่วงหล่นของเทพมังกร เผ่ามังกรตั้งแต่สูงยันต่ำต่างตะโกนเรื่องการล้างแค้นและอาบย้อมสวรรค์ทั้งหมดให้กลายเป็นสีเลือด

ชางหลานอู่จี๋ในฐานะผู้นำทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อรักษาเสถียรภาพและแทบจะไม่สามารถระงับความโกรธของเผ่าต่างๆได้

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ที่เจตจำนงของเทพมังกรปรากฏขึ้น ความเกลียดชังทั้งเก่าและใหม่ก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้เผ่ามังกรเริ่มกลับมาส่งเสียงเรียกร้องเรื่องการ “ล้างแค้น” อย่างไม่หยุดหย่อน

ชางหลานอู่จี๋นวดหว่างคิ้วพลางกล่าว “ตอนนี้มีเพียงเผ่ามังกรวายุและเผ่ามังกรวารีเท่านั้นที่ดูค่อนข้างสงบ ส่วนเผ่าอื่นๆ... เฮ้อ”

มังกรขึ้นชื่อเรื่องความภาคภูมิใจและดุร้าย ความเป็นปฏิปักษ์ที่ฝังลึกเช่นนี้ย่อมไม่สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย

แม้แต่ชางหลานอู่จี๋เองก็ยังต้องดิ้นรนกับมันเพื่อระงับอารมณ์ เพื่อความสงบสุขของเผ่ามังกร เขาทำได้เพียงกล้ำกลืนความแค้นนี้ลงไป

“เจตจำนงของพี่ใหญ่ยังคงอยู่ และด้วยการหล่อเลี้ยงของค่ายกลลึกลับนั่น อาจมีโอกาสที่จะก่อร่างขึ้นใหม่ได้ นอกจากนี้ พี่ใหญ่ยังมีทายาทอยู่ในโลกเบื้องล่าง ดังนั้นสถานการณ์อาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด” ชางหลานเยว่ปลอบใจ

“ข้าก็หวังเช่นนั้น” ชางหลานอู่จี๋กล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ตอนนี้ความหวังทั้งหมดของเราถูกผูกไว้กับหลี่หรานเพียงผู้เดียว”

เมื่อนึกถึงเผ่าพันธุ์มนุษย์คนนั้น ชางหลานอู่จี๋ก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง

ในตอนแรกทั้งสองมีความขัดแย้งกัน แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติของเผ่ามังกร และแม้แต่เทพมังกรก็ยังต้องอาศัยอยู่ในตันเถียนของเขา ความอับอายที่ชางหลานอู่จี๋ได้รับในวันนั้นคงไม่มีโอกาสได้ชำระคืนตลอดกาล

เมื่อได้ยินชื่อนั้น สีหน้าของชางหลานเยว่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย นางพึมพำเสียงเบา “ไม่รู้ว่าเมื่อไรเขาจะกลับมาอีกครั้ง”

ชางหลานอู่จี๋คิดว่านางกังวลเกี่ยวกับพี่ใหญ่และกล่าวตามจริง “จากหลายๆครั้งก่อนหน้านี้ มันควรจะเป็นภายในสองวัน... แต่เจ้าเด็กนั่นอวดดีมาก บางทีเขาอาจลืมเรื่องของเราไปแล้ว”

“ไม่” ชางหลานเยว่ส่ายหัวและพูดอย่างจริงจัง “เขาไม่ใช่คนแบบนั้น”

“ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักเขาดีทีเดียว?” ชางหลานอู่จี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย

รอยแดงจางๆปรากฏขึ้นบนแก้มของชางหลานเยว่ นางรีบกระแอมในลำคอและตอบกลับ “หากหลี่หรานไม่น่าเชื่อถือ เหตุใดพี่ใหญ่จึงเชื่อใจเขามากขนาดนั้น? ท่านคงไม่สงสัยสายตาของพี่ใหญ่หรอกใช่ไหม?”

“นั่นก็จริง แต่มนุษย์ขึ้นชื่อในเรื่องความเจ้าเล่ห์มาโดยตลอด การระมัดระวังตัวจึงเป็นเรื่องสำคัญ” ชางหลานอู่จี๋กล่าวขณะลูบคาง

ชางหลานเยว่ค้านเสียงเบา “เห็นได้ชัดว่าเป็นท่านที่อคติตัดสินคนผิด”

“???”

ชางหลานอู่จี๋กำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง เมื่อจู่ๆเขาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง เขาหันศีรษะและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

ความว่างเปล่าเหนือลำธารโลหิตบิดเบี้ยวไปชั่วขณะ ตามมาด้วยแสงสีขาวสว่างวาบ ก่อนเผยให้เห็นร่างสูงตรงปรากฏ

“หลี่หราน?”

ทั้งสองชะงักไปพร้อมกัน

“โอ้ พวกเจ้ามารอต้อนรับข้าหรอ?” หลี่หรานออกมาจากความว่างเปล่าและร่อนกายลงอย่างสง่างาม “ไม่เจอกันเสียนาน พี่โฉ่วจี”

(TL: โฉ่ว=ขี้เหร่, จี=ไก่)

ชางหลานอู่จี๋กลับมามีสติและแก้ไขคำพูดของเขา “ข้าชื่ออู่จี๋”

หลี่หรานพยักหน้า “เข้าใจแล้ว พี่โฉ่วจี”

มุมปากของชางหลานอู่จี๋กระตุก เขาหันหน้าหนีจากหลี่หราน เพราะหากพูดด้วยอีกแม้แต่คำเดียวเขาอาจจะระเบิดออกมาจริงๆ

“เจ้ามาแล้ว” ชางหลานเยว่กะพริบตาด้วยสีหน้ายากจะอธิบาย

หลี่หรานหันมามองนาง “เราตกลงที่จะพบกันในอีกสองวัน แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ผิดสัญญา”

สีแดงจางๆแผ่กระจายไปทั่วใบหน้าของชางหลานเยว่

ครั้งก่อนหลี่หรานบอกว่าจะกลับมาในอีกสองวัน ตอนแรกชางหลานเยว่คิดว่ามันเป็นเพียงคำพูดทั่วๆไป นางไม่ได้คาดคิดเลยว่าเขาจะใส่ใจมันจริงๆ

สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกถึงความหวานและอันอบอุ่นในหัวใจ

ชางหลานอู่จี๋สังเกตเห็นมันและขมวดคิ้วเล็กน้อย น้องสาวของเขามีสีหน้าเย็นชาอยู่เสมอ ราวกับเฉยเมยต่อทุกคนที่พบ นางแสดงสีหน้าเช่นนี้เป็นตั้งแต่เมื่อใด?

“หลี่หราน ตอนนี้พี่ใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง?” ชางหลานอู่จี๋นำบทสนทนากลับมาที่หัวข้อหลัก

ชางหลานเยว่ก็กลับมารู้สึกตัวเช่นกัน

หลี่หรานชี้ไปที่ท้องส่วนล่างของเขาแล้วตอบ “ตอนนี้เขากำลังหลับสบาย”

“ดีแล้ว” ทั้งสองถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ในเวลานี้ ชางหลานเยว่จำบางสิ่งได้และถามออกมา “พี่ใหญ่ได้พบกับทายาทของเขาหรือยัง?”

หลี่หรานพยักหน้า “แน่นอน”

จากนั้นเขาก็ผายมือออก เผยให้เห็นเกล็ดสีทองจางๆวางอยู่บนฝ่ามือ มันสั่นไหวเล็กน้อยและเปล่งประกายราวกับแสงแห่งจิตวิญญาณ

รูม่านตาของทั้งสองหดตัวลง

พวกเขาคุ้นเคยกับกลิ่นอายนี้เกินไป แม้ว่าจะยังอ่อนแออยู่เล็กน้อย แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือสายเลือดของเผ่ามังกรชางหลาน!

ทายาทของเทพมังกรยังมีชีวิตอยู่จริงๆ!

/////