ตอนที่แล้วบรรลุมรรคาด้วยวิชาบำเพ็ญคู่ ตอนที่ 7 [18+]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบรรลุมรรคาด้วยวิชาบำเพ็ญคู่ ตอนที่ 9 [18+]

บรรลุมรรคาด้วยวิชาบำเพ็ญคู่ ตอนที่ 8


บรรลุมรรคาด้วยวิชาบำเพ็ญคู่ ตอนที่ 8

ยามเช้า ขณะที่ศิษย์จำนวนมากกำลังออกไปปฏิบัติภารกิจหรือไปฟังการบรรยาย เสี่ยวฟางเพิ่งตื่นนอน ความเหนื่อยล้าก่อนหน้านี้ของเขาแทบจะหายไปจนหมด สิ่งที่ปรากฏขึ้นอีกครั้งคือความปรารถนาอันเร่าร้อนในการฝึกฝนเคล็ดวิชาของเขา

เสี่ยวฟางเห็นหลี่เหลียนกำลังแต่งตัวอยู่ เขายังคงอารมณ์ค้างและต้องการการปลดปล่อย หากแต่ตอนนี้นางแต่งตัวเตรียมตัวออกจากบ้านแล้ว

“จะออกไปแต่เช้าขนาดนี้เลย?” เขาถาม

“อืม ข้าต้องทำภารกิจเพื่อที่จะเข้าไปเป็นศิษย์สายใน คืนนี้ข้าจะกลับมา” นางตอบ

ในที่สุดเสี่ยวฟางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงเห็นบุรุษบางคนวนเวียนอยู่รอบๆกระดานภารกิจเมื่อวานนี้

“ข้าจะคิดถึงเจ้า เหลียนเอ๋อร์” เขากล่าว

นางที่เดินผ่านไปครึ่งประตูแล้วพลันหยุดชะงัก

"อย่าคิดถึงข้ามากล่ะ" นางกล่าวก่อนที่จะจากไป

เสี่ยวฟางขบคิดหาทางคลายความเบื่อหน่าย เขานึกถึงกระเป๋ามิติที่ได้รับหลังจากผ่านการทดสอบ เขาหยิบมันออกมาแล้วเริ่มตรวจสอบสิ่งของภายใน

> เม็ดยาวิญญาณระดับกลาง 30 เม็ด

> แต้มผลงาน 5,000 คะแนน

เม็ดยาวิญญาณระดับกลางในกระเป๋ามิติของเขามีค่ามาก ทว่าในฐานะผู้บำเพ็ญร่างกาย เขาไม่จำเป็นต้องใช้มันแต่อย่างใด แต่เขาจะเก็บมันไว้เผื่อต้องใช้มันในอนาคต

ในที่สุดเสี่ยวฟางก็ออกจากบ้านไป นอกจากการพยายามพัฒนาทักษะกระบี่เนื้อของเขาแล้ว ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่เขามาที่นิกายสวรรค์ทมิฬ มารดาของเขาบอกเขาว่ามีเคล็ดวิชาบำเพ็ญคู่อยู่ที่นี่ ดังนั้นแน่นอนว่าหอตำราของนิกายจึงกลายเป็นสถานที่แรกที่เขาต้องตรวจสอบ

...................

...................

...................

ระหว่างทางไปยังหอตำราของนิกาย เสี่ยวฟางพบ ร้านหนังสือแนวโรแมนติกเล็กๆร้านหนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่เคยอ่านนิยายแนวโรแมนติกในยามว่าง แต่มารดาของเขามักจะอ่านให้เขาฟังเมื่อเขายังเด็ก เขาไม่ได้ชื่นชอบ แต่เนื่องจากมันอยู่ระหว่างทาง เขาจึงตัดสินใจแวะเข้าไปดูสักหน่อย

ที่หลังโต๊ะต้อนรับเสี่ยวฟางเห็นสาวสวยคนหนึ่งกำลังอ่านหนังสืออย่างสบายใจ นางมีผมยาวสีน้ำตาล นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน และมุกต่างหูเล็กๆขับเน้นให้ใบหน้าของนางเปล่งประกายงดงามภายใต้แสงไฟ

เมื่อพิจารณาจากรูปร่างของนาง เขาสามารถบอกได้ทันทีว่านางเป็นผู้บำเพ็ญร่างกาย เว้นแต่เขาจะได้สัมผัสนางถึงภายใน มิเช่นนั้นเขาก็ไม่แน่ชัดว่านางอยู่ในขอบเขตใด

“ศิษย์น้องคารวะศิษย์พี่” เสี่ยวฟางกล่าว

นางเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วพยักหน้าให้อย่างมีอัธยาศัยก่อนจะถามว่า "มีอะไรให้ช้าช่วยหรือไม่?"

“ข้ากำลังหาทักษะฝึกฝนอย่างหนึ่ง หวังว่าศิษย์พี่จะช่วยหามันให้ข้าได้”

นางลดหนังสือในมือลงแล้วมองเสี่ยวฟางด้วยความอยากรู้อยากเห็น

"ร้านเราไม่มีเคล็ดวิชาใดๆ แต่ถ้าเจ้ากำลังมองหาตำราวิจัยเคล็ดวิชาหรือ ทักษะบ่มเพาะเฉพาะใดๆ ข้าสามารถหาให้เจ้าได้"

“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านมีตำราอะไรที่เกี่ยวข้องกับการฝึกบำเพ็ญคู่บ้างหรือไม่?”

“.....”

เกิดความเงียบอันน่าอึดอัดเข้าปกคลุมระหว่างทั้งสอง ความจริงก็คือ เสี่ยวฟางคาดคิดไม่ถึงเลยว่านางจะทราบว่ามันคืออะไร เพราะนั่นเป็นเคล็ดวิชาที่สูญหายไปซึ่งใช้กันเฉพาะในเขตที่เขาอยู่เท่านั้น หากแต่คำพูดประโยคถัดมาของนางกลับทำให้เขาต้องประหลาดใจ

“ทำไมเจ้าถึงต้องการอะไรแบบนั้น?”

เมื่อดูจากปฏิกิริยาของนาง เขาบอกได้ว่านางทราบว่าเขากำลังพูดถึงอะไร ดังนั้นเขาจึงโน้มตัวเข้าไปและถามว่า "ท่านคิดว่ายังไงล่ะ?"

"ระ...หรือว่า....จ...เจ้า... เป็นผู้บ่มเพาะวิชาบำเพ็ญคู่?"

"ถ้าข้าบอกว่าข้าเป็น ท่านจะมอบสิ่งที่ข้ากำลังตามหาหรือไม่?"

นางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีม่วงอันเปล่งประกายของเขา ราวกับว่านางกำลังถูกสะกดจิตโดยดวงตาคู่นั้นอย่างช้าๆ

'นี่มันดูน่าอึดอัดเกินไปหน่อย' เขาคิด

เนื่องจากนางรู้จักผู้บ่มเพาะวิชาบำเพ็ญคู่ นั่นหมายความว่านางเป็นไปได้ว่าจะมีเคล็ดวิชาบำเพ็ญคู่ หรือไม่ก็บิดาของนางเป็นนักล่าค่าหัว หากอย่างหลังเป็น เช่นนั้นการสนทนาครั้งนี้ก็ถือเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งสำหรับเขา

“พอนึกดูแล้ว ข้าลืมไปเลยว่ามีธุระ” เสี่ยวฟางพูดขณะที่เขากำลังจะออกไป

“อ๋า รอก่อน ข...ข้าตกใจที่ได้พบกับผู้บ่มเพาะวิชาบำเพ็ญคู่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบเจอกับตาตัวเอง ข้าไม่มีตำราเกี่ยวกับการบำเพ็ญคู่ แต่ข้ามีเคล็ดวิชาบำเพ็ญคู่”

เสี่ยวฟางหันกลับมาเผชิญหน้ากับนาง

“ศิษย์พี่ หากท่านมีเคล็ดวิชาบำเพ็ญคู่จริงๆ ขอข้ายืมไปศึกษาสักสองสามวันได้หรือไม่ ข้าพอมีแต้มผลงานอยู่บ้าง ดังนั้นโปรดระบุราคาด้วย”

“เจ้าสามารถยืมได้ แต่ข้ามีเงื่อนไขเล็กน้อย”

"โปรดบอกมาเถิด"

“ข้อแรก-” นางลังเล

“ข้อแรก เจ้าต้องสัญญาว่าจะทำให้ข้าพอใจด้วยเคล็ดวิชานี้เป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังจากที่เจ้าเรียนรู้มัน แน่นอนว่ามันไม่จำเป็นต้องทำในครั้งเดียว เราสามารถทำเป็นเวลาหลายวันก็ได้” นางอธิบายอย่างรวดเร็วขณะที่แก้มของนางเริ่มแดงระเรื่อ

“ไม่มีปัญหา เพียงเท่านี้?” เสี่ยวฟางพลันตกปากรับคำอย่างไม่ใส่ใจ

คำพูดของเขาทำให้นางสะเทือนใจมาก เขาตอบกลับอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนว่าเขากำลังคาดหวังอยู่

“ข้อที่สอง เจ้าต้องพิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าเจ้ารู้วิธีทำให้ข้าพอใจก่อนที่ข้าจะมอบสิ่งนั้นให้กับเจ้า” นางกล่าวอย่างโลภมาก

“มีข้อที่สามหรือไม่?” วาจาเรียบเฉยของเขาทำให้นางแทบจะกระอักเลือด เงื่อนไขแต่ละข้อที่นางระบุนั้นมีค่าประดุจทองคำสำหรับนาง แต่สำหรับเขาแล้ว ราวกับว่ามันเป็นแค่เศษเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญ

"ตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออก เอาเป็นว่าเจ้าติดค้างข้าอยู่หนึ่งครั้งก็แล้วกัน"

เสี่ยวฟางพยักหน้า "ตกลง"

เขายื่นมือออกไปรอให้นางจับ

"เจ้ากำลังทำอะไร?"

“เงื่อนไขข้อที่สองของท่าน ข้าต้องพิสูจน์ ‘ความสามารถ’ ของข้าใช่หรือไม่?”

นางหยุดชะงักขณะมองไปที่มือของเขา

“อะ…อืม” นางพยักหน้า

นางอายุใกล้จะ 30 แล้วและรู้สึกราวกับว่านางค่อยๆ พลาดโอกาสที่จะทำเรื่องเหล่านี้ หากแต่ในสายตาของเสี่ยวฟาง นางดูเหมือนอายุเพียง 20 ต้นๆเท่านั้น เพราะในโลกแห่งการฝึกฝน อายุสามารถหลอกลวงได้ แม้ว่านางจะดูราวกับอายุ 50 แต่นั่นก็ไม่ได้แตกต่างกันสำหรับเขา ในบางกรณี อาจขึ้นอยู่กับขอบเขตการฝึกฝนร่างกายของอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียว

บางทีในนิกายอื่นนางอาจเป็นหญิงงามไร้คู่เปรียบ แต่ในนิกายนี้ นางเพียงดูดีกว่าค่าเฉลี่ยเพียงเล็กน้อย แม้ว่านางจะไม่ได้งดงามจนน่าตกใจเท่าหลี่เหลียน แต่ส่วนเว้าส่วนโค้งของนางนั้นดูอลังการกว่า แน่นอน นอกจากนี้ นางยังมีการแสดงออกถึงความมั่นใจ ความฉลาด และความเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่มีใครเทียบได้สำหรับคนที่อายุน้อยอย่างนาง นางดูราวกับว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สามารถทำลายนางได้ ทำให้เสี่ยวฟางเกิดความคิดอยากลองขี่นางมากขึ้น

นางปัดมือของเสี่ยวฟางออกไป

“อย่าทำตัวไร้ยางอายเช่นนั้นในที่สาธารณะ” นางตำหนิเขาแบบเดียวกับที่พี่สาวคนโตมักจะทำ

จากนั้นนางก็รีบเรียกหาศิษย์น้องของนางซุนเว่ยเพื่อให้มารับหน้าที่แทน ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องด้านหลังพร้อมกับเสี่ยวฟาง เมื่อประตูปิดลง สายตาอันแหลมคมของเสี่ยวฟางก็เฉียบคมขึ้น ราวกับว่าเขาเป็นพยัคฆ์หมอบที่พร้อมจะกระโจนเข้าใส่เหยื่อ

...................

...................

...................

ในเวลาเดียวกันนั้น ภายในโถงหลักของประมุขนิกาย ผู้อาวุโสบางคนได้ยินข่าวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มลึกลับที่เข้ามาในนิกายของพวกเขา บางคนคิดว่ามันเป็นเพียงวาจามดเท็จของผู้อาวุโสที่กำลังร่วงโรย แต่สำหรับผู้ที่รู้จักผู้อาวุโสตู้เป็นอย่างดีนั้นทราบว่าเรื่องนี้หาใช่เรื่องเล็กน้อยไม่

“ใจเย็นก่อน ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่ามีเด็กผู้นี้อยู่จริง ต่อให้เลวร้ายที่สุด ผู้อาวุโสตู้ก็ขอโทษโดยส่งเด็กผู้นี้ไปยังสำนักนอกก็ได้”

“ท่านทราบหรือไม่ว่าเขาต้องวิ่งเร็วขนาดไหน! ยังไม่ต้องเอ่ยถึงการทดสอบ ถึงแม้ว่าศิษย์ในสำนักเร็วที่สุดของเราที่จะฝ่าด่านสุดกำลัง ก็ตาม ในเวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมงพวกเขาจะฝ่าด่านได้สักเท่าไรกันเชียว? ยิ่งไม่ต้องพูดถึง 3 ชั่วโมงเลย ลองนึกดูว่าเบื้องหลังของเขาเขาต้องมีผู้สนับสนุนที่เข้มแข็งปานใด? เพียงคำขอโทษจะพอหรือ?”

ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ในโลกแห่งการฝึกฝน รวมถึงผู้อาวุโสในห้องนี้จะใช้ ความพยายามทั้งหมดของ พวกเขาในการเพิ่มพูนการฝึกฝนทางจิตวิญญาณของพวกเขา เนื่องจากมันง่ายกว่ามากในการฝึกฝนให้ไปถึงขอบเขตเดียวกัน ด้วยความพยายามที่น้อยกว่า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาจะขาดไปคือความเร็วและความแข็งแกร่ง

“ท่านประมุข นี่เป็นสถานการณ์ที่ร้ายแรงยิ่ง”

ประมุขนิกายกำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ในหัวของนาง นางเชื่อว่าไม่ว่าเด็กผู้นี้จะมาจากที่ใดก็ไม่มีทางที่จะมีคนเหนือกว่าผู้อาวุโสหลายคนของนางได้หลังจากฝึกฝนเพียงไม่กี่เดือน นางขจัดความเป็นไปได้ที่เด็กผู้นี้จะเป็นใครสักคนจากรุ่นก่อน นิกายแห่งนี้ต่างจากนิกายอื่นๆ เพราะพวกเขาจะยอมรับเฉพาะศิษย์ที่มีอายุครบ 18 ปีในปีนั้นเท่านั้น และจะตรวจสอบอายุโครงกระดูกของพวกเขาก่อนและหลังเข้าทดสอบ ความเป็นไปได้เดียวที่จะสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ก็คือ เด็กผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญร่างกาย แต่นั่นหมายความว่าอย่างน้อยที่สุด เขาต้องอยู่ขอบเขตกายเสริมแกร่ง ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีอัจฉริยะเช่นนี้อยู่

“เงียบก่อน ถ้าเด็กผู้นี้มีตัวตนจริง ข้าก็ต้องการพบเขาด้วยตัวเอง จับตาดูและพยายามอย่าไปล่วงเกินคนที่พวกเจ้าไม่รู้จัก” นางเอ่ยด้วยเสียงทรงอำนาจราวกับจักรพรรดินี

“พวกเราเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านประมุข”

เหล่าผู้อาวุโสโค้งคำนับแล้วจากไปโดยไม่พูดอะไร

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด