บรรลุมรรคาด้วยวิชาบำเพ็ญคู่ ตอนที่ 6
บรรลุมรรคาด้วยวิชาบำเพ็ญคู่ ตอนที่ 6
หลังจากวิ่งต่อไปอีก 30 นาที ในที่สุดเขาก็ถูกหยุดโดยการปรากฏตัวของบุรุษวัยกลางคนคนเดิม
“นี่คือด่านทดสอบที่สามซึ่งนั่นเป็นด่านสุดท้าย นำแก่นอสูรจากสัตว์อสูรระดับ 2 หรือแก่นอสูร 5 อันจากสัตว์อสูรระดับ 1” กล่าวจบเขาก็หายไปอีกครั้ง
ย้อนกลับไปตอนที่อยู่ในนิกายกระบี่เทวะ เสี่ยวฟางเคยออกสำรวจวงกว้างเพื่อล่าสัตว์อสูรที่อยู่เป็นกลุ่มใหญ่ แม้ว่าสัตว์อสูรระดับ 1 จะพบเห็นได้ทั่วไป แต่สัตว์อสูรระดับ 2 นั้นไม่ใช่ วัตถุดิบจากพวกมันสามารถขายได้ในราคาที่สูง ดังนั้นเมื่อภาพสะท้อนของบุรุษวัยกลางคนหายไป เขาก็เริ่มลงมือโดยไม่ลังเล
[เหล็กตัดหิน]
-
[เหล็กตัดหิน]
-
[เหล็กตัดหิน]
-
ที่สร้างความประหลาดใจแก่เสี่ยวฟางก็คือ เขาสามารถใช้ 'เหล็กตัดหิน' ได้หลายครั้งโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย มันง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ เขาเริ่มรู้สึกถึงผลของน้ำอมฤตที่มีต่อความแข็งแกร่งของเขา
เสี่ยวฟางสังหารสัตว์อสูรระดับ 1 จำนวนมากได้อย่างง่ายดาย และยังพบสัตว์อสูรระดับ 2 ที่ค่อนข้างอ่อนแอไปตลอดทาง เขาใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงในที่แห่งนั้นเพื่อรวบรวมแก่นอสูรจากสัตว์อสูรทุกตัวที่เขาพบเจอ
ในที่สุดเสี่ยวฟางก็พบช่องขนาดใหญ่บนกำแพง ทว่ามันดูค่อนข้างคล้ายกับถ้ำขนาดใหญ่มากกว่า ยิ่งเขาล่วงลึกเข้าไปในถ้ำมากเท่าไร สัญชาตญาณของเขาก็ยิ่งบอกให้เขาหันหลังกลับมากขึ้นเท่านั้น วินาทีที่เขากระพริบตา ความรู้สึกเย็นเฉียบก็เข้าปกคลุมเขา เขาหยุดชะงัก ร่างของเขาแข็งทื่อทันที สายตาของเขามองเห็นกระดูกหลายร้อยชิ้นกระจัดกระจายอยู่ภายในถ้ำ
กระดูกมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะเป็นโครงกระดูกของมนุษย์ นี่ยิ่งทำให้เขาตกใจมากขึ้น สิ่งใดก็ตามที่อยู่ในนั้นคงต้องเป็นนักล่า สัตว์อสูรชนิดเดียวที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ก็คือ... ขณะที่เขาหันหลังเพื่อที่จะออกจากถ้ำ กรงเล็บขนาดใหญ่ก็ตะปบเข้าใส่เขา
“บัดซบ!” เสี่ยวฟางสบถขณะที่เขากระโดดไปด้านข้าง หลีกเลี่ยงกรงเล็บไปอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด
มันไม่ใช่สัตว์อสูรระดับ 3 แต่เป็นสัตว์อสูรระดับ 2 ที่กินเนื้อคน มันเป็นที่ทราบกันดีว่าความแข็งแกร่งของมันยังมากกว่าสัตว์อสูรระดับ 2 ทั่วไปอยู่หนึ่งขั้น ร่างของมันสูงเกือบ 10 เมตร มีแขนขายาว ลำตัวไม่มีขนสีดำ และรอยยิ้มที่น่าสะพรึงกลัว มันดูคล้ายกับมัมมี่ค้างคาวที่ไม่มีปีกและไม่มีหูแหลม
ย้อนกลับไปตอนอยู่ที่นิกายกระบี่เทวะ บิดาของเขาเคยเล่าให้เขาฟังว่า ตนเคยฆ่าสัตว์อสูรเช่นนี้เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก โดยใช้เคล็ดวิชากระบี่เทวะระดับที่ 2 'เหล็กตัดเหล็ก' เท่านั้น เสี่ยวฟางฝึกฝนเคล็ดวิชานี้บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยลองใช้มันในการต่อสู้จริง เขากลัวผลสะท้อนกลับของมันจะรุนแรงเกินไป
กรงเล็บของสัตว์อสูรพุ่งเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วที่น่ากลัว แต่เสี่ยวฟางได้รับการฝึกฝนให้มีความรวดเร็วและเด็ดขาดถึงขีดสุด กระบี่ของเขาพุ่งออกจากฝัก
[ เหล็กตัดเหล็ก ]
กระบี่ของเสี่ยวฟางตัดมือของมันออก และในขณะเดียวกันเขาก็กระโดดเข้าหาส่วนหัวของมัน
[ เหล็กตัดเหล็ก ]
หัวของสัตว์อสูรร่วงหล่นและการต่อสู้ก็จบลงเช่นนั้น มือที่ถือกระบี่ ของเสี่ยวฟางสั่นเบาๆ เขาประสบกับการสะท้อนกลับเพียงเล็กน้อย ซึ่งนั่นทำให้เขามีความสุขมาก มันหมายความว่าขอเพียงฝึกฝนอีกสักหน่อย เขาก็จะสามารถใช้เหล็กตัดเหล็กได้โดยไม่ต้องถูกสะท้อนกลับ
เสี่ยวฟางรีบดึงแก่นอสูรออกจากช่องท้องของมันอย่างรวดเร็ว และเตรียมพร้อมที่จะออกไป หากแต่เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ามันซ่อนแก่นอสูรทั้งหมดที่รวบรวมมาไว้ที่นี่ด้วย เขารื้อค้นทั่วพื้นที่ และในที่สุดก็เดินไปที่ประตูอันเป็นจุดสิ้นสุดของการทดสอบ
เมื่อออกจากโถงทดสอบ เขาก็ได้รับการต้อนรับจากผู้อาวุโสที่ดูแลการสอบทันที เสี่ยวฟางนำสิ่งที่เขาได้รับจากด่านทดสอบแรกและด่านทดสอบที่สอง ทว่าเขาให้ไปแต่แก่นอสูรระดับ 1 จำนวนห้าอันเท่านั้น เขาทราบว่ามูลค่าของแก่นอสูรดี แค่แก่นระดับ 2 อันเดียวก็เท่ากับแก่นอสูรระดับ 1 หนึ่งร้อยอันแล้ว
ผู้อาวุโสเงยหน้าขึ้นมองเขาราวกับว่าเขากำลังประเมินเขา ทั่วร่างของเสี่ยวฟางเต็มไปด้วยเลือดจนแทบจะจำไม่ได้ เขาดูราวกับว่าเขาเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากการต่อสู้นองเลือด แต่สิ่งที่แปลกก็คือเขานำแก่นอสูรระดับ 1 มามอบให้เพียงห้าอันเท่านั้น เขาไม่สามารถค้นตัวอีกฝ่ายได้ ดังนั้นเขาจึงยอมแพ้ในที่สุด
"เจ้าผ่าน"
จากนั้นผู้อาวุโสก็ทำการจารึกผ่านอากาศโดยใช้พลังปราณของเขา จากนั้นจึงทำให้มันหายเข้าไปในไหล่ของเสี่ยวฟาง ภาพดอกไม้ปรากฏขึ้นบนแขนของเขา จากนั้นมันก็เริ่มจางหายไปราวกับว่ามันซึมเข้าสู่ผิวหนังของเขาและประทับลงบนจิตวิญญาณของเขา
“จากนี้ไป เจ้าสามารถผ่านเข้าออกม่านพลังของนิกายได้ตามต้องการ”
“ขอบคุณผู้อาวุโส” เสี่ยวฟางโค้งคำนับ
เสี่ยวฟางทราบว่าการเข้าสู่นิกายมีมาตรการป้องกันหลายชั้น ไม่เพียงแค่ม่านพลังเท่านั้น แต่ยังมีกำแพงสูงตระหง่านที่ล้อมรอบลานด้านนอกทั้งหมด ซึ่งมีผู้อาวุโสคอยเฝ้าอยู่สองฟากข้าง
ผู้อาวุโสโยนกระเป๋ามิติขนาดเล็กไปให้เสี่ยวฟาง เมื่อสำรวจดูข้างใน เสี่ยวฟางก็เห็นเสื้อคลุมตัวนอกชุดใหม่เอี่ยมอ่องรวมถึงทรัพยากรในการฝึกฝนเล็กน้อย
“เจ้าเป็นคนแรกที่ผ่านการทดสอบ รับรางวัลนี้ และไปตามที่อยู่ในเขต 33” เสี่ยวฟางมองดูตัวอักษรสวรรค์ทมิฬบนเสื้อคลุมอันดูคุ้นตาแล้วก็คลี่ยิ้ม
ตัวเสื้อคลุมเป็นสีฟ้าซึ่งมีสีขาวแซมบางส่วน เมื่อเขามองเข้าไปในนิกาย เขาก็พบว่าศิษย์สตรีล้วนสวมชุดคลุมสีชมพูแซมด้วยสีขาวเล็กน้อย
เสี่ยวฟางขอบคุณผู้อาวุโสอีกครั้งแล้วจึงจากไป
.............
.............
.............
หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวฟางก็สำรวจลานด้านนอกเกือบทั้งหมด โดยเว้นพื้นที่อยู่อาศัย ซึ่งนั่นกินพื้นที่ถึงสามในสี่ส่วนของนิกาย เขาทำความคุ้นเคยกับห้องเรียน หอคัมภีร์ ร้านค้า ลานฝึกฝนของนิกาย และแม้กระทั่งลอบจดจำสาวงามบางคนที่เขาอยากจะตามจีบในอนาคต
ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เขาพบกระดานภารกิจที่เหล่าศิษย์จะไปปฏิบัติภารกิจนอกนิกาย น่าประหลาดใจที่เขายังเห็นบุรุษสองสามคนอยู่ในฝูงชนด้วย สิ่งนี้ทำให้เสี่ยวฟางสับสนอย่างหนัก
มีสาวงามมากมายปานนี้ในนิกาย ทว่าก็ยังมีบุรุษบางคนอยากจะออกไปทำภารกิจงั้นเหรอ?
แม้เสี่ยวฟางจะนั่งขบคิดเรื่องนี้เป็นเวลานับพันปี เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาจึงเลือกเช่นนั้น
เหตุผลเดียวที่เขาอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่ก็เพื่อตามหาคนพิเศษที่เขาคาดว่าน่าจะอยู่ที่นี่ เสี่ยวฟางมองไปรอบๆแต่ไม่พบนาง หลังจากค้นหามาระยะหนึ่งในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ และวางแผนจะกลับมาใหม่ในวันพรุ่งนี้ ทว่าขณะที่เขากำลังจะจากไป เขาก็ได้พบกับใบหน้าที่คุ้นเคย หลี่เหลียน
“จ...เจ้า” นางแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง ด้วยกลัวว่าภาพหลอนนี้จะหายไป นางรีบคว้ามือเขาไว้ทันที
“เจ้ามาที่นี่จริงๆ เจ้าไปเอาเสื้อคลุมของศิษย์สายนอกมาได้อย่างไร? ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
“โชคชะตานำพายังไงล่ะ” เสี่ยวฟางตอบคำถามของนางอย่างคลุมเครือและหัวเราะ ทำให้นางนึกถึงคำพูดที่เขาเอ่ยกับนางครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะหายตัวไป
“อืม จริงด้วย” นางตอบเบาๆ
“ข้าต้องการคนนำทาง เจ้าช่วยข้าได้ไหม...”
“เยี่ยม! ข้าหมายถึงได้ ข้าอยากจะพาเจ้าไปดูรอบๆ” นางตอบ
............
............
............
พวกเขาเดินไปรอบๆนิกายในยามค่ำคืน แตกต่างจากนิกายส่วนใหญ่ นิกายสวรรค์ทมิฬมีสถานที่ท่องเที่ยวอันยอดเยี่ยมมากมาย อย่างไรเสีย นิกายแห่งนี้ก็มีพื้นที่โดยรวมหลายสิบตารางกิโลเมตร ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเดินจนทั่วนิกายภายในคืนเดียว นางพาเขาไปยังเฉพาะพื้นที่ที่สำคัญที่สุดของนิกายในการท่องชมครั้งนี้
เขาจ้องมองนางราวกับว่านางเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดในนิกาย นางรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาของเขาได้ตลอดเวลา มันทำให้นางรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ในท้อง
"อืม เราไปมาทุกที่แล้วและ..."
เสี่ยวฟางขัดจังหวะนาง “อ่า ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ ข้ายังหาที่พักไม่เจอเลย เจ้าช่วยข้าหาที่พักได้หรือไม่?” เสี่ยวฟางถามด้วยเสียงเสน่หา
“นี่ก็ดึกแล้ว พรุ่งนี้เราค่อยไปหาเถอะ จนกว่าจะถึงตอนนั้นเจ้าไปค้างแรมที่บ้านข้าก็แล้วกัน มีแค่เราสองคน”
เสี่ยวฟางเผยยิ้มสดใส “เมื่อเป็นเช่นนี้ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”