ตอนที่แล้วบรรลุมรรคาด้วยวิชาบำเพ็ญคู่ ตอนที่ 4 [18+]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบรรลุมรรคาด้วยวิชาบำเพ็ญคู่ ตอนที่ 6

บรรลุมรรคาด้วยวิชาบำเพ็ญคู่ ตอนที่ 5


บรรลุมรรคาด้วยวิชาบำเพ็ญคู่ ตอนที่ 5

ในยามเช้า สามารถมองเห็นชายหนุ่มหญิงสาวจำนวนมากวิ่งไปที่ทางเข้าหลักของนิกายสวรรค์ทมิฬจากทุกทิศทาง บางคนก็เหมือนกับเสี่ยวฟางที่มาจากต่างถิ่นโดยสิ้นเชิง

ทางเข้าหลักมีประตูที่ค่อนข้างใหญ่สองบาน แต่ละบานกว้างประมาณสี่คูณสามเมตร บนพื้นผิวของประตูมีสตรีเปลือยกายสลักอยู่ในท่วงท่าที่น่าสนใจ บางรูปนอนอยู่บนเมฆในท่วงท่าที่เร้าอารมณ์ และเหนือประตูมีตัวอักษรที่เขียนไว้อย่างหรูหราสองสามตัวว่า "นิกายสวรรค์ทมิฬ" การได้เห็นประตูใหญ่บานนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ใครต่อใครต้องน้ำลายไหลแล้ว

ฝูงชนเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดก็มีคนปรากฏตัวออกมาต่อหน้าพวกเขา นางนั่งอยู่อย่างสง่างามบนประตูบานใหญ่ราวกับเทพที่มองดูโลกมนุษย์

“เงียบ การทดทดทดทดสอบจะกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว การทดทดทดทดสอบครั้งนี้มีสามด่าน จงระมัดระวังอยู่เสมอเพราะมีหลายสิ่งที่อาจทำให้ชีวิตของพวกเจ้าดับดิ้นได้ การทดทดทดทดสอบจะแยกชายหญิง หากเป็นบุรุษเมื่อเข้าประตูไปให้เลี้ยวขวา หากเป็นสตรีให้เลี้ยวซ้าย ถ้าทำตามคำแนะนำง่ายๆเหล่านี้ไม่ได้ก็ถือว่าเจ้าล้มเหลวทันที จงพยายามให้ดีที่สุด จงจำไว้...”

จู่ๆสตรีนางนั้นก็หายไป บางคนเข้าใจผิดนึกว่าเป็นเพราะความเร็วอันเหลือเชื่อของนาง อย่างไรก็ตาม เสี่ยวฟางทราบว่านางเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะร่างของนางไม่มีแก่นสำคัญยามเมื่อเขาหลับตา

สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงสิ่งที่ปู่ของเขาเคยบอกต่อเขา

"อย่าเชื่อถือดวงตาหรือหู แต่จงเชื่อฟังหัวใจ ประสาทสัมผัสของเจ้าอาจถูกหลอกลวงได้ แต่สัญชาตญาณไม่มีทางหลอกลวงเจ้า นี่คือสัมผัสที่หกของเจ้าซึ่งได้รับการขัดเกลาผ่านการต่อสู้ จำไว้ว่า มีเพียงคนตาบอดเท่านั้นที่มองเห็นเงาในความมืด"

ตอนที่เขาได้ยินสิ่งนี้เป็นครั้งแรก เขาก็รู้สึกขมขื่นเล็กน้อยและคิดว่ามันเป็นเพียงคำพูดที่ไร้สาระของชายชรา อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาทราบว่าบิดาของเขาประมือกับเขาจนเขาตาบอด เขาก็ได้แต่สงสัยว่าคำกล่าวนี้ของปู่มีความจริงอันลึกซึ้งบางอย่างซ่อนไว้หรือไม่

“เงา... ในความมืด”

เสี่ยวฟางขบคิดอย่างลึกซึ้งก่อนที่จะถอนหายใจยอมแพ้

ในที่สุดประตูก็เปิดออก ทุกคนต่างรีบเข้าไปทันที พวกเขาผลักกันโดยไม่คำนึงถึงมารยาท เสี่ยวฟางที่อยู่ด้านหลังกลุ่ม มั่นใจว่าจะไม่มีประโยชน์ใดๆจากการได้อยู่ข้างหน้า ดังนั้นเขาจึงเดินติดตามเข้าไปอย่างสบายๆพลางชื่นชมสถานที่ทดทดทดทดสอบ

ในที่สุดฝูงชนก็หยุดอยู่หน้าที่ประตูถัดไป ทันใดนั้นบุรุษวัยกลางคนก็ปรากฏตัวขึ้น เขายืนอยู่ด้านบนประตู

“จงฟังให้ดี ปีนี้การทดทดทดทดสอบค่อนข้างตรงไปตรงมา ไม่ได้วัดกันที่ศักยภาพเพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีต แต่จะเป็นการแข่งขันเพื่อพิชิตสามด่าน ดังนั้นหากเจ้าไปถึงจุดสิ้นสุดแต่ล้มเหลวในด่านทดทดทดทดสอบ จงรู้ไว้ว่าเจ้าทดทดทดสอบตก มีเพียง 1,500 คนจากทั้งหมด 50,000 คนเท่านั้นที่จะผ่าน และผู้ที่เข้าเส้นชัย 5 อันดับแรกจะได้รับของขวัญพิเศษ พวกเจ้าทุกคนมีเวลา 2 วันในการผ่านด่านให้สำเร็จ เริ่มการทดทดทดทดสอบได้!”

บุรุษผู้นั้นหายตัวไป จากนั้นประตูก็เปิดออก ทุกคนรีบพุ่งเข้าไปทันที มีทั้งการผลัก ดึง หรือแม้แต่โจมตีกันโดยตรง ดูวุ่นวายยิ่ง

เสี่ยวฟางซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ด้านหลัง ในไม่ช้าก็พบว่าตัวเองอยู่ตรงกลางของมวลชน เพียงไม่กี่นาทีต่อมา เสียงกรีดร้องของผู้คนที่อยู่ข้างหน้าก็เริ่มดังขึ้น ดังพอจะทำให้คนที่อยู่ข้างหลังชะลอฝีเท้าให้ช้าลง ปรากฏกับดักขึ้นมากมายทั้งบนพื้น เพดาน และผนัง เสี่ยวฟางเพียงเยาะเย้ยให้กับกับดักของมือสมัครเล่นเหล่านี้ขณะที่เขากำลังเร่งความเร็วผ่านพวกมัน

ไม่นานเขาก็มาถึงด้านหน้าของฝูงชน และหลังจากนั้นไม่กี่นาที เขาก็ไปไกลเกินกว่าที่ผู้ใดจะมองเห็นได้อีก เมื่อเอ่ยถึงเรื่องความเร็วในการฝ่ากับดัก ไม่มีใครเทียบเขาได้โดยสิ้นเชิง

“ถ้าข้าแพ้กลุ่มเด็กที่ด้อยประสบการณ์เหล่านี้ ตาแก่ที่บ้านคงต้องกระอักเลือดเต็มปากแล้ว” เสี่ยวฟางคิด

.................

.................

.................

หลังจากวิ่งไปไม่ถึง 30 นาที เสี่ยวฟางก็มาถึงประตูอีกบานหนึ่ง แต่เขาไม่อาจเปิดประตูได้ ทันใดนั้นบุรุษวัยกลางคนก็ปรากฏตัวขึ้นบนประตูเหมือนกับประตูก่อนหน้า

"นี่จะเป็นด่านทดทดทดทดสอบแรกของเจ้า แต่ละแผ่นหินจะมีแมวเขี้ยวดาบอยู่ จงทำลายแผ่นหินแล้วเอาแก่นอสูรของแมวเขี้ยวดาบมา" จากนั้นชายคนนั้นก็หายตัวไปทันที เสี่ยวฟางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาไม่อาจทำความเข้าใจได้

เสี่ยวฟางเข้าใกล้แผ่นหินที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วเคาะมันหนึ่งครั้ง เสียงที่สะท้อนออกมาจากแผ่นหินเผยให้เห็นว่าภายในนั้นกลวงว่างเปล่า

เสี่ยวฟางชักกระบี่ของเขาออกมา

แม้จะเติบโตในนิกายกระบี่เทวะ แต่เขาก็ได้เรียนรู้ทักษะกระบี่เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น นี่เป็นเพราะเขาใช้เวลาเกือบทั้งหมดในการฝึกฝนเคล็ดวิชาเดียว

.................

.................

.................

-----------------------------------------------

ชื่อเคล็ดวิชา: กระบี่เทวะ

ระดับที่ 1: เหล็กตัดหิน

> ข้อกำหนดขั้นต่ำ: ขั้นที่ 1 ของกายพื้นฐาน

> ตัดหินด้วยกระบี่เหล็ก

-

ระดับที่ 2: เหล็กตัดเหล็ก

> ข้อกำหนดขั้นต่ำ: ขั้นที่ 1 ของกายปรับแต่ง

> ตัดเหล็กด้วยกระบี่เหล็ก

-

ระดับที่ 3: กระบี่เทวะตัดวายุ

> ข้อกำหนดขั้นต่ำ: ขั้นที่ 1 ของกายเสริมแกร่ง

> ฟันกระบี่ฝ่าอากาศ

-

ระดับที่ 4: กระบี่เทวะแยกทะเล

> ข้อกำหนดขั้นต่ำ: ขั้นที่ 1 ของกายลึกล้ำ

> ฟันกระบี่แยกทะเล

-

ระดับที่ 5: กระบี่เทวะแยกภูเขา

> ข้อกำหนดขั้นต่ำ: ขั้นที่ 1 ของกายเทวะ

> ฟันกระบี่แยกภูเขา

--------------------------------------

.................

.................

.................

แม้จะเป็นเคล็ดวิชาอันเป็นเอกลักษณ์ของนิกาย แต่นอกจากผู้อาวุโสที่จำเป็นต้องเรียนรู้เคล็ดวิชานี้แล้ว ผู้คนจำนวนมากในนิกายกระบี่เทวะ จะหลีกเลี่ยงเคล็ดวิชานี้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม การเรียนรู้เหล็กตัดหินนั้นง่ายดายยิ่ง ทว่าเคล็ดวิชานี้ไร้ซึ่งประสิทธิภาพในการต่อสู้จริง

ประมุขนิกายไม่เชื่อว่าเคล็ดวิชานี้อ่อนด้อย ดังนั้นเขาจึงเลือกเคล็ดวิชาที่โหดหินและมีศักยภาพที่สุดนี้ให้เสี่ยวฟาง

เสี่ยวฟางใช้เวลา 1 ปีฝึกฝนวิชากระบี่เทวะบรรลุสิ่งที่ศิษย์หลายคนสามารถทำได้ใน 1 เดือน เคล็ดวิชานี้อาจไม่ได้สร้างความพึงพอใจให้ในทันที แต่เมื่อเชี่ยวชาญแล้ว ตวัดกระบี่เพียงครั้งเดียวก็สามารถผ่าแยกภูเขาได้

เสี่ยวฟางจ้องมองแผ่นหินขณะที่เตรียมออกกระบี่

[ เหล็กตัดหิน ]

ด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว เขาก็ผ่าแผ่นหินออกเป็นสองส่วน และฆ่าแมวเขี้ยวดาบที่อยู่ข้างในไปพร้อมกัน เขามองมันด้วยความตกใจ แม้ว่า 'เหล็กตัดหิน' จะทำให้เขาตัดหินได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะง่ายเหมือนกับการผ่าเนย สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขานี้เทียบได้กับคนตัดฟืนที่โค่นต้นไม้เล็กๆด้วยการเหวี่ยงขวานเพียงครั้งเดียว

เสี่ยวฟาง สังเกตเห็นความแตกต่างอย่างมากในแง่ของความเร็วระหว่างระดับกายเสริมแกร่งและระดับกายปรับแต่ง แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ผลลัพธ์จึงเป็นไปตามที่คาดเอาไว้ แต่เขาก็ยังไม่อาจทำใจเชื่อได้ลงว่ามันจะสามารถสร้างความแตกต่างได้มากถึงเพียงนี้

เขาล้วงมือเข้าไปในแผ่นหินแล้วดึงแก่นอสูรของแมวเขี้ยวดาบออกมา เขาทำความสะอาดเอาเลือดออกแล้วจึงใส่อัญมณีสีดำที่ดูเหมือนจะเป็นแก่นอสูรเข้าไปในกระเป๋ามิติของเขา

................

................

................

30 นาทีต่อมา เสี่ยวฟางก็พบประตูห้องถัดไป ภาพฉายของบุรุษวัยกลางคนคนเดียวกับครั้งก่อนปรากฏขึ้นบนประตู คล้ายกับเขาจะอยู่ระหว่างการทานอาหารก่อนที่จะถูกขัดจังหวะ เขาวางอาหารลงแล้วยืนขึ้นยกมือไพล่หลัง

จากนั้นเขาก็กระแอมในลำคอราวกับผู้ยิ่งใหญ่ที่ทอดตามองดูโลกก่อนจะเอ่ยว่า

“ศิษย์ของนิกายนี้ล้วนมีความกล้าหาญเป็นพิเศษ หากเจ้าไม่สามารถเอาชนะความกลัวและนำลูกเสือออกมาจากถ้ำเสือ เจ้าก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นศิษย์ของนิกายนี้ นี่เป็นการทดสอบครั้งที่สอง การทดสอบด้านความกล้าหาญ เอากระดูกจากสุนัขน้อยสักตัวมาที่นี่แล้วเจ้าจะผ่านการทดสอบ” ชายคนนั้นหายไปอีกครั้ง

เสี่ยวฟางฟรี่ตามองดูชายคนนั้นและสังเกตเห็นว่าเขาหันศีรษะไปทางซ้ายและขวา ทว่าไม่เคยมองตรงมาที่เขาเลย สิ่งนี้บอกเขาว่าภาพเป็นเพียงภาพสะท้อนเท่านั้น

ประตูเปิดออกอีกครั้ง แต่ระหว่างเขากับประตูนั้นมีวิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วนและมีสุนัขล่าเนื้อที่ดูดุร้ายจำนวนมากถูกล่ามโซ่ไว้กับพื้น

“สุนัขน้อย...” เขานึกถึงการเลือกใช้คำพูดอย่างไร้ยางอายของบุรุษวัยกลางคน สุนัขที่นี่ทุกตัวล้วนเป็นสุนัขล่าเนื้อที่ดูหิวโหยมาก

ระหว่างเขากับประตูมีพื้นที่ว่างประมาณ 200 เมตร เสี่ยวฟางบอกได้เลยว่าสุนัขล่าเนื้อเหล่านี้เป็นภาพลวงตา แต่เขากำลังลังเลกับวิญญาณพยาบาท แม้ว่าเขาจะไม่พบเห็นมาก่อน หากแต่เขาก็เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพวกมัน เขาไม่สามารถตรวจจับการปรากฏตัวของพวกมันได้เมื่อหลับตา ดังนั้นเขาจึงสงสัยว่าพวกมันเป็นเพียงภาพลวงตาเช่นกัน

จากนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดของปู่ที่ว่า "อย่าเชื่อถือดวงตาหรือหู แต่จงเชื่อฟังหัวใจ..." นึกได้เช่นนั้นแล้ว จิตใจของเขาก็สงบราบเรียบราวกับผิวของทะเลสาบ จากนั้นเขาก็พุ่งทะลุผ่านพื้นที่อันชั่วร้าย เขาขยับตัว หมุนตัว และหลบหลีก ในที่สุดก็ได้รับกระดูกชิ้นใหญ่จากสุนัขล่าเนื้อตัวหนึ่งขณะที่เขาเดินเข้าไปใกล้ประตู

เมื่อเสี่ยวฟางมาถึงประตู เขาก็มองย้อนกลับไปที่พวกวิญญาณแล้วเยาะเย้ย "เพ้ย วิญญาณพวกนี้ก็เป็นภาพลวงตาเหมือนกัน" ไม่ว่าวิญญาณจะผ่านเขาไปกี่ตัว เขาไม่รู้สึกถึงลมเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเขามองลงไปที่กระดูกในมือ เขาสังเกตเห็นว่าแขนเสื้อของเขาถูกฉีกขาดจนหมด

“เกิดเรื่องนี้แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” เขาคิด

ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินคำพูดของปู่ดังก้องอยู่ในใจเป็นครั้งสุดท้าย “ไม่ใช้ตา ไม่ใช้หู” จากนั้นเขาก็ก้มลงมองสุนัขล่าเนื้อที่ถูกล่ามไว้กับพื้น และหัวใจของเขาก็สงบลง

สิ่งที่เขาเห็นทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามีคนเอาถังน้ำเย็นมาราดใส่หัวเขา พวกสุนัขล่าเนื้อมองเขาด้วยสายตาที่น่ากลัว ตอนนี้โซ่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม

โซ่ที่ล่ามสุนัขล่าเนื้อนั้นดูแปลกเป็นพิเศษ แม้ว่าเขาจะได้ยินเสียงโซ่กระทบกันก็ตาม แต่เมื่อเขาหลับตาลง เขาก็ไม่สามารถตรวจจับมันได้เลย ตระหนักได้ว่าว่าเขาเกือบจะเดินข้ามทะเลโดยคิดว่าเป็นแอ่งน้ำแล้ว นั่นทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งกับคำพูดของปู่มากขึ้น เสี่ยวฟางเปลี่ยนเสื้อคลุมของเขาแล้วเดินผ่านประตูไปสู่ด่านทดสอบต่อไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด