บรรลุมรรคาด้วยวิชาบำเพ็ญคู่ ตอนที่ 3
บรรลุมรรคาด้วยวิชาบำเพ็ญคู่ ตอนที่ 3
[หากไม่อาจรักษาชีวิต เช่นนั้นก็ช่วงชิง
หากไม่อาจช่วงชิง เช่นนั้นก็รักษาชีวิต
หากไม่อาจรักษาชีวิต เช่นนั้นก็ผลาญโลหิตศัตรูและหวังให้การทุ่มเทของเจ้าไม่สูญเปล่า]
-พันกระบี่ตัดชีพ
[วิชาลับของนิกายกระบี่เทวะ: พันกระบี่]
แม้จะเป็นนิกายที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก แต่นิกายกระบี่เทวะก็ถูกจัดเป็นสำนักนิกายชั้นนำ ทั้งยังเป็นนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในสิบสามแคว้น
ชื่อเสียงส่วนใหญ่ของนิกายก็มาจากเคล็ดวิชานี้เอง มือกระบี่ของนิกายแห่งนี้ยินยอมพลีชีพเพื่อสร้างบาดแผลเพียงเล็กน้อยต่อศัตรู เพราะไม่ว่าศัตรูจะเข้มแข็งเพียงใดก็ไม่อาจมีชีวิตรอดหลังจากถูกฟันใส่พันกระบี่ ด้วยนามนี้เองจึงไม่มีผู้ใดคิดจะตอแยกับนิกายที่บ้าคลั่งเสียสติเช่นนี้
"พันกระบี่ตัดชีพ ไม่ว่าคนผู้หนึ่งจะแข็งแกร่งสักเพียงใดก็ไม่อาจรอดจากพันกระบี่"
อย่างไรก็ตาม การซ้อมมือในครั้งนี้ก็เพียงเป็นการลงโทษเพื่อให้มีคำว่ากล่าวกับผู้อื่นเท่านั้น
......
......
......
เมื่อเห็นสภาพของเสี่ยวฟาง ประมุขนิกายก็นำเม็ดยาสองเม็ดออกมาป้อนให้กับเขา เม็ดหนึ่งเพื่อห้ามเลือด อีกเม็ดเพื่อรักษา แม้ว่าเม็ดยาทั้งสองจะล้ำค่าอย่างที่สุด แต่มันก็เป็นสิ่งที่ประมุขนิกายเตรียมไว้เพื่อการฝึกซ้อมครั้งนี้อยู่แล้ว
เมื่อได้สติกลับมา เสี่ยวฟางก็พยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ก็ทำได้เพียงแค่นั่งเท่านั้น
"พักอีกสักหน่อย ข้ามีบางเรื่องต้องบอกกล่าวกับเจ้า" ประมุขนิกายเอ่ยขึ้น
"ที่ผ่านมาหลายต่อหลายคนต่างก็ฟ้องว่าเจ้าเอาแต่สร้างปัญหา ทำให้ข้าปวดหัวเสียจริงๆ หากแต่ตอนนี้ในที่สุดเจ้าก็โตพอจะออกท่องชมโลกด้วยตาตัวเองแล้ว เมื่อเจ้าหายดีแล้ว ข้าอยากให้เจ้าออกเดินทาง ออกไปผจญภัยและสร้างชื่อให้ตัวเจ้าเอง ครั้งหน้าที่ได้พบกัน ข้าหวังว่าเจ้าจะทำให้ข้าประทับใจได้ อย่าทำให้ข้าผิดหวัง"
"หากว่าข้าปฏิเสธเล่า?"
"ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสียตรงนี้ ไม่มีทางเลือกอื่นอีก มารดาเจ้าและข้าต่างก็เห็นพ้องต้องกันในเรื่องนี้แล้ว อีกอย่าง หากว่าเจ้ายอมไป ข้าจะมอบสิ่งนี้แก่เจ้า" กล่าวจบเขาก็นำกล่องไม้เก่าคร่ำครึออกมาจากแหวนมิติ แหวนมิตินั้นถือเป็นสมบัติในหมู่สมบัติ ทั่วทั้งนิกายกระบี่เทวะมีเพียงประมุขนิกายเท่านั้นที่มีครอบครอง
ภายในกล่องบรรจุน้ำอมฤตเอาไว้ ประมุขนิกายส่งน้ำอมฤตให้เสี่ยวฟางและบอกให้เขาดื่มเข้าไป
"นี่เป็นสมบัติโบราณที่มิอาจประเมินค่าชิ้นหนึ่ง มารดาเจ้าและข้าต่างก็มั่นใจอย่างยิ่งว่ามันจะรักษาดวงตาของเจ้าได้"
ได้ยินสรรพคุณของมันแล้ว เสี่ยวฟางก็รู้สึกว่าขวดบรรจุน้ำอมฤตที่อยู่ในมือตนเวลานี้เปลี่ยนเป็นหนักอึ้งดุจขุนเขา
"รักษา....ดวงตาของข้า...."
น้ำอมฤตในมือทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยดีนัก กระนั้นเขาก็ยังคงกระดกมันลงคอรวดเดียวหมด ทันใดนั้นเสียงเต้นของหัวใจเขายิ่งมาก็ยิ่งดังขึ้น เขารู้สึกว่าของเหลวที่ไหลผ่านลำคอค่อยๆเปลี่ยนเป็นพลังปีศาจขณะไหลเข้าสู่จุดตันเถียน สิ่งที่ติดตามมาหลังจากนั้น หากใให้บอกกล่าวแล้วล่ะก็ มันก็ทัณฑ์ทรมาณที่เปรียบประดุจฝันร้าย เขารู้สึกราวกับกำลังถูกควักดวงตาออกไปล้างด้วยเหล้าฤทธิ์รุนแรง
ถัดจากนั้นเสียงกรีดร้องอันน่าขนลุกก็ดังลั่นออกไปด้านนอกตำหนักจนเข้าหูเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ด้านนอก ทุกคนต่างก็ไม่อาจจินตนการได้ว่าประมุขนิกายทำอะไรเสี่ยวฟางกันแน่ เขาถึงได้ส่งเสียงร้องเจ็บปวดสุดขีดเช่นนี้ ผู้อาวุโสบางคนนึกย้อนถึงพฤติการณ์ที่ผ่านมาของเสี่ยวฟาง แม้ชายหนุ่มจะปั่นหัวพวกเขาจนขนเคราลุกชี้ชัน กระนั้นชายหนุ่มก็กระทำไปด้วยความคึกคะนองเพียงเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าท่านประมุขนิกายจะลงโทษบุตรชายแท้ๆของตนถึงเพียงนี้ ยิ่งคิดหลายคนก็ยิ่งหน้าซีด ในใจยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวต่อประมุขนิกายมากขึ้นจนต้องรีบก้มศีรษะลงต่ำ
......
......
......
ทุกครั้งที่เสี่ยวฟางฟื้นคืนสติ เขาจะมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ที่ดวงตามีโลหิตไหลซึมออกมา ประมุขนิกายเริ่มลงมือล้างหน้าก่อนจะพันผ้าปิดตาให้กับเขาใหม่
กระบวนการนี้ดำเนินต่อเนื่องไปเป็นเวลาสามวัน สภาพในตอนท้ายของเสี่ยวฟางแทบจะเรียกว่าศพเดินได้
ตลอดเวลานี้ประมุขนิกายดูกังวลเล็กน้อย ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ทำให้เขาสมองลั่นดึงอึงอล
"ระดับบำเพ็ญของเจ้า! เจ้า...เจ้าถึงกลับทะลวงผ่านสองขั้นรวดเป็นร่างกายระดับเสริมแกร่ง" ประมุขนิกายอ้าปากเหวอ แทบไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าน้ำอมฤตจะเพิ่มระดับให้เสี่ยวฟางด้วย
ประมุขนิกายมีกายเนื้ออยู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงมีระดับร่างกายเหนือกว่าบุตรชายเพียงสองระดับชั้นเท่านั้นด้วยอายุที่มากกว่าถึงสี่สิบปี
หากให้กล่าวจากใจล่ะก็ แม้แต่ผู้ที่เป็นจอมเผด็จการอย่างเขาก็คงจะไม่ให้น้ำอมฤตแก่บุตรชายหากทราบว่าบุตรชายต้องเจ็บปวดทรมาณอย่างหนักหนาสาหัสเพียงนี้ไม่ว่าผลที่ได้จะดีเพียงไร
บางทีในอีกยี่สิบปีข้างหน้า ไม่สิ....บางทีอาจไม่ถึงสิบห้าปี เขาจะต้องเหนือกว่าข้าแน่นอน' เขาคิดในใจพลางยิ้มอย่างขมขื่น
นี่เขากำลังจะสัตว์ประหลาดออกไปที่โลกภายนอกงั้นรึ
'ข้ารอที่จะพบเจ้าอีกครั้งแทบไม่ไหวแล้ว เจ้าลูกชาย' ประมุขนิกายก้มตัวอุ้มร่างบุตรชายขึ้นมาก่อนจะมุ่งหน้าไปยังที่พักของเสี่ยวฟาง
ในที่สุดประตูตำหนักก็เปิดออกอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงประตู เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ด้านนอกซึ่งกำลังเข้าฌาณรอคอยอยู่ก็พากันลืมตาขึ้น สภาพร่างกายอันน่าสยดสยองของเสี่ยวฟางทำให้พวกเขาต่างก็ขนลุกขึ้นมา เสื้อคลุมของชายหนุ่มมีรอยฉีกขาดทุกหนทุกแห่ง เส้นผมที่เคยมัดไว้อย่างเรียบร้อยกลายเป็นยุ่งเหยิง ตามร่างกายยังมีรอยเลือดเกรอะกรัง ที่น่ากลัวที่สุดก็คือผ้าปิดตาของชายหนุ่มที่เคยเป็นสีดำนั้น มาตอนนี้กลับไม่อาจเรียกได้ว่าสีดำอีกแล้ว มันกลายเป็นสีแดงจากโลหิตที่ชุ่มโชก
เสี่ยวฟางนอนหมดสติอยู่ในอ้อมแขนของประมุขนิกายที่สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ร่างของเสี่ยวฟางมีกลิ่นโลหิตติดอยู่อย่างรุนแรง ชายหนุ่มในเวลาดูราวกับวีรบุรุษของชาติที่ต้องมาจบชีวิตเพราะการถูกกล่าวหาใส่ร้ายอย่างอยุติธรรม
ผู้อาวุโสบางคนรู้สึกแข้งขาอ่อนแรงขึ้นมาจนแทบไม่อาจหักห้ามใจไม่ให้ค้อมตัวลงคำนับ พวกเขาได้แต่มองดูร่างชายหนุ่มด้วยสายตาขอโทษขอโพย พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าที่ชายหนุ่มต้องมาลงเอยเช่นนี้นั้นเป็นเพราะการฟ้องร้องของพวกเขา หลายคนเริ่มรู้สึกสำนึกเสียใจขึ้นมาแล้ว
แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ผู้อาวุโสทุกคนที่รู้สึกเช่นนั้น ยกตัวอย่างเช่นผู้อาวุโสไก่เจียงที่เดิมทีคิดว่าการลงโทษนั้นชายหนุ่มสมควรโดนแล้ว แต่ความรู้สึกนั้นก็ค่อยๆจางหายไปหลังจากผ่านไปสามวัน
หลังจากนำเสี่ยวฟางไปส่งที่พักแล้ว เขาก็กลับมาที่ตำหนัก จากนั้นจึงเอ่ยปากให้เหล่าผู้อาวุโสเข้ามาได้
เวลานี้ประมุขนิกายมีดูคล้ายกับมารร้ายตนหนึ่งจากโลหิตของเสี่ยวฟางที่เปรอะเปื้อนเต็มเสื้อผ้า กระนั้นใบหน้าของเขาก็ยังคงเฉยชาดังเดิม เหล่าผู้อาวุโสต่างก็หวาดกลัวจับจิต ในชีวิตยังไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวผู้ใดนี้มาก่อน
ประมุขนิกายทราบว่าผู้เฒ่าเหล่านี้มีเรื่องคิดกล่าว ดังนั้นจึงเอ่ยปากขึ้น "ไม่ต้องกังวลไป เสี่ยวฟางจะไม่ไปสร้างปัญหาให้กับพวกเจ้าอีกแล้ว หลังจากวันนี้ไปเขาจะออกจากนิกาย"
เหล่าผู้อาวุโสพลันหัวใจหล่นวูบ เจ้าเด็กพิการถูกทรมาณอย่างหนัก หลังจากนั้นยังถูกขับไล่โดยบิดาของตนเอง ชะตาที่แสนอาภัพนี่มันอะไรกัน?
ถึงตอนนี้พวกผู้อาวุโสต่างก็รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะพวกเขา ชายหนุ่มเป็นอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์ของนิกาย และเวลานี้ เป็นเพราะว่าพวกเขาขาดความอดทนต่อชายหนุ่มเกินไปจนทำให้อีกฝ่ายลงเอยในสภาพที่อเน็จอนาถเช่นนี้ พวกเขาคงไม่อาจร้องขอให้ท่านประมุขนิกายเปลี่ยนคำตัดสินให้เสี่ยวฟางอยู่ที่นิกายต่อหลังจากที่เป็นพวกเขาเองที่เรียกร้องให้ท่านประมุขนิกายลงโทษต่อชายหนุ่ม หากว่าพวกเขายังรักชีวิตอยู่ พวกเขาก็สมควรจะสงบปากคำไว้
......
......
......
เมื่อเสี่ยวฟางถูกพากลับมาส่ง มารดาของเสี่ยวฟางก็โกรธเกรี้ยวทันทีที่ได้เห็นสภาพของบุตรชาย แต่หลังจากฟังเสี่ยวฟางอธิบายเรื่องราวแล้ว นางจึงค่อยสงบลง
ขณะที่มารดาของเสี่ยวฟางเก็บข้าวของตระเตรียมสำหรับการออกเดินทางของเขา ฤทธิ์ของน้ำอมฤตก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง แต่ดีที่ครั้งนี้มีมารดาคอยดูแลพลางปลอบประโลมอยู่ด้านข้าง หลังจากกรีดร้องอย่างทรมาณอยู่หลายครั้ง เสี่ยวฟางก็หมดสติไป เมื่อสังเกตเห็นบุตรชายหมดสติไปแล้ว นางก็เม้มปากแน่นขณะที่หยาดน้ำตาไหลรินออกมา
"แม่ขอโทษ แม่ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นเช่นนี้" นางกล่าวสียงสั่นเครือ ผ้าพันแผลรอบดวงตาเปลี่ยนเป็นชุ่มโลหิตอีกครั้ง โลหิตไหลซึมจากผ้าจนคล้ายกับเสี่ยวฟางกำลังร้องไห้เป็นสายเลือด ยิ่งเห็นสภาพที่อเน็จอนาถของบุตรชาย นางก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น
นางรีบลุกขึ้นไปหยิบผ้าพันแผลผืนใหม่มาเปลี่ยนให้เขา ทันใดนั้นที่ประตูบ้านก็มีเสียงเคาะดังขึ้น เมื่อนางลุกขึ้นไปเปิดประตูออก ที่หลังประตูก็คือเหล่าผู้อาวุโสของนิกาย พวกเขามาเพื่อมอบของขวัญอำลาให้เสี่ยวฟางแต่เมื่อทั้งหมดได้เห็นสภาพของเสี่ยวฟางแล้ว ผู้อาวุโสที่เป็นสตรีหลายคนก็เริ่มเวทนาสงสารเสี่ยวฟางดุจเดียวกับมารดาของเขา
'ต้องเป็นทัณฑ์ทรมาณโหดเหี้ยมแบบใดกันถึงทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนี้ได้? ข้าสังเกตเห็นผ้าพันแผลผืนใหม่นั่นแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะโหดร้ายถึงเพียงนี้' ผู้อาวุโสคนหนึ่งคิดขึ้นในใจ ทว่ามารดาของเสี่ยวฟางเองก็บอกกล่าวเช่นเดียวกับที่ประมุขนิกายบอกกล่าวต่อทั้งหมด เสี่ยวฟางจะไม่เป็นอะไร นางรับของขวัญจากทั้งหมดใส่ถุงมิติไว้ จากนั้นจึงส่งเหล่าผู้อาวุโสออกไปและปิดประตูลง
......
......
......
เช้าวันถัดมา เสี่ยวฟางก็ออกจากนิกาย อาการของเขาทุเลาลงแล้ว ไม่สลบไสลเป็นพักๆอีกแล้ว หากแต่ดวงตาของเขากลับมีเลือดซึมออกมามากกว่าเดิม
ภายในถุงมิติมีของขวัญที่เหล่าผู้อาวุโสมอบให้ ในสิ่งของเหล่านั้น บ้างก็เป็นเคล็ดวิชา บ้างก็เป็นยารักษา เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เสี่ยวฟางไม่ต้องการ แต่ก็รับน้ำใจของทั้งหมดไว้
แต่ความจริงคือ เขาไม่มีดวงตาไว้ศึกษาตำราเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นเว้นแต่จะได้รับการฝึกฝนโดยตรง ตัวเขาย่อมไม่อาจเรียนรู้เคล็ดวิชาเหล่านั้น
การเดินลงเขานั้นยากยิ่งโดยเฉพาะในตอนที่อาการบาดเจ็บของเขายังไม่สู้ดี เขาสะดุดล้มลงหลายต่อหลายครั้ง หากแต่เขาจำต้องเดินทางไปให้ถึงนิกายสวรรค์ทมิฬให้ได้ภายในหนึ่งสัปดาห์เพื่อเข้าร่วมการทดสอบเข้านิกาย ดังนั้นเสี่ยวฟางจึงไม่คิดที่จะเสียเวลาเพื่อหยุดพัก แต่กว่าจะลงไปถึงตีนเขาได้ สภาพของเขาก็ราวกับเพิ่งผ่านนรกมา
นิกายสวรรค์ทมิฬ เป็นที่รู้จักกันในฐานะสวรรค์ของบุรุษ นั่นก็เพราะว่านิกายแห่งนี้มีศิษย์ที่เป็นสตรีมากยิ่งกว่าสำนักนิกายใดๆด้วยอัตราหนึ่งศิษย์บุรุษต่อหนึ่งหมื่นศิษย์สตรี นอกจากนี้นิกายแห่งนี้ยังจัดเป็นนิกายชั้นนำของมณฑลชี่กง แม้จะไม่อาจนำไปเทียบกับสำนักนิกายชั้นนำของอีกสิบสามมณฑลที่เหลือ แต่สำหรับเสี่ยวฟางแล้วนั่นไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด แค่เพียงที่แห่งนั้นมีศิษย์สตรีจำนวนมากที่จะเป็นคู่ฝึกบำเพ็ญของเขาก็เพียงพอแล้ว.....