ตอนที่แล้วบรรลุมรรคาด้วยวิชาบำเพ็ญคู่ ตอนที่ 1 [18+]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบรรลุมรรคาด้วยวิชาบำเพ็ญคู่ ตอนที่ 3

บรรลุมรรคาด้วยวิชาบำเพ็ญคู่ ตอนที่ 2


บรรลุมรรคาด้วยวิชาบำเพ็ญคู่ ตอนที่ 2

การบ่มเพาะร่างกายและจิตวิญญาณ การบ่มเพาะทั้งสองประเภทนี้เป็นความรู้ทั่วไปสำหรับผู้บำเพ็ญ การบ่มเพาะร่างกายสามารถกระทำได้โดยผ่านการทำให้ร่างกายแข็งแกร่ง ขณะที่การฝึกจิตวิญญาณสามารถทำได้โดยการเข้าฌาณ ทว่าในโลกนี้ก็ยังตระกูลพิเศษหรือสำนักนิกายที่ถ่ายทอดเคล็ดลับที่จะมอบประโยชน์เพิ่มเติมจากการบำเพ็ญอยู่

ภายในนิกายกระบี่เทวะ ศิษย์ของนิกายจะได้รับการสอนเคล็ดวิชากระบี่เทวะซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการบ่มเพาะร่างกาย การบ่มเพาะร่างกายไม่ได้หมายความว่าพวกเขากำลังฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่เทวะ แต่การฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่เทวะคือการบ่มเพาะร่างกาย

แม้ในโลกนี้จะมีวิธีการบำเพ็ญที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่มากมาย รวมถึงวิธีการอันพิสดารและต้องห้ามสำหรับผู้คนส่วนใหญ่ แต่ในหลายๆครั้งก็ยังมีผู้คนที่ฝึกฝนด้วยวิธีต้องห้ามปรากฏตัวขึ้นจนต้องถูกไล่ล่า คนเหล่านั้นได้แต่ถูกบีบให้ใช้ชีวิตอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ

เสี่ยวฟางถือกำเนิดขึ้นในนิกายกระบี่เทวะ บิดาของเขาเป็นประมุขของนิกาย หากแต่มารดาของเขาออกจะมีฐานะที่พิเศษอยู่บ้าง มารดาของเขามาจากนิกายที่ฝึกวิชาบำเพ็ญคู่ การบำเพ็ญคู่นั้นถือเป็นหนึ่งในวิชาบำเพ็ญนอกรีต ซึ่งย่าของเสี่ยวฟางจับตัวมารดาของเขาเอาไว้ได้ก่อนจะไปกวาดล้างทั้งนิกายของนาง แม้ว่าประมุขนิกายกระบี่เทวะจะเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้นางได้รับการละเว้น กระนั้นนางก็ยังคงยืนกรานไม่ตบแต่งให้กับเขาเพราะการกระทำในอดีตของประมุขคนก่อน

.....

.....

.....

"ฟางเอ๋อร์ เจ้าช่วยไปหยิบถังน้ำมาให้แม่หน่อย" มารดาของเสี่ยวฟางกล่าวขึ้น

เส้นผมสีดำยาวของนางถูกเกล้าเป็นมวยไว้ขณะที่นางกำลังดูแลเรื่องงานบ้าน ชุดที่นางสวมใส่ดูเรียบง่ายไม่ต่างจากหญิงชนบท ทำให้นางดูเหมือนหญิงรับใช้ดาษดื่นทั่วไป ติดก็แต่ใบหน้าที่งามล้ำไร้รอยตำหนิของนางเท่านั้นที่ทำให้ดูโดดเด่นเกินกว่าจะเป็นหญิงรับใช้

เสี่ยวฟางนั่งทำสมาธิอยู่บนเตียง เขากำลังบ่มเพาะจิตวิญญาณอย่างตั้งใจ พยายามจะทะลวงเข้าสู่ขั้นที่สามของระดับรากฐานวิญญาณ ทว่าผลลัพธ์ก็ยังคงล้มเหลวเหมือนกับทุกครั้ง

ในวันเกิดปีที่สิบแปดของเสี่ยวฟาง มารดาของเขาได้ส่งมอบตำราโบราณซึ่งเกี่ยวกับวิชาบำเพ็ญคู่ให้แก่เขา เพื่อให้เขาลอบฝึกฝนเป็นการลับ และภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน เขาก็สามารถบ่มเพาะได้ถึงขั้นที่สองของระดับจิตรองรับ เรื่องนี้ทำให้เขาตกใจไม่น้อย นั่นเพราะว่าเดิมทีเขาคาดการณ์เอาไว้ว่าคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆก็สองสามเดือนถึงจะบรรลุขั้นที่หนึ่ง ในขณะที่เขาต้องใช้เวลาเกือบแปดเดือนเพื่อที่จะบรรลุถึงขั้นที่สองของการบ่มเพาะร่างกาย

เขารู้อยู่แล้วว่าการบ่มเพาะจิตวิญญาณนั้นทำได้รวดเร็วกว่าการบ่มเพาะร่างกาย แต่ก็เพียงเท่านั้น เขาไม่ได้เข้าใจในเรื่องนี้มากนักจนกระทั่งได้ทราบว่าวิชาบำเพ็ญคู่สามารถช่วยให้ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณก้าวหน้าขึ้นได้อย่างมากหลังจากที่มีอะไรกับผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าตนเอง ยิ่งคู่ฝึกมีระดับจิตวิญญาณและร่างกายสูงส่งมากเท่าใด เขาก็จะได้รับประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ดี ระดับการบ่มเพาะของเสี่ยวฟางในตอนนี้สูงเกินกว่าจะได้รับประโยชน์จากการฝึกฝนกับร่างของของศิษย์ภายในนิกายแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกว่าตนเองจะได้รับประโยชน์อะไรจากการฝึกฝนร่วมกับพวกนาง มีเพียงผู้ที่มุ่งเน้นการบ่มเพาะทางจิตวิญญาณเท่านั้นที่ช่วยเพิ่มระดับการบ่มเพาะทางจิตวิญญาณให้เขาได้

'ข้าต้องฝึกฝนร่วมกับผู้บ่มเพาะจิตวิญญาณให้มากขึ้นซะแล้ว'

"เสี่ยวฟาง" เสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้ง

"ครับท่านแม่" เสี่ยวฟางขานรับ

เสี่ยวฟางกระเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะหยิบถังใส่น้ำไปให้มารดา ในเวลาเดียวกัน นางก็รวบรวมเสื้อผ้าที่ใส่แล้วมาก่อนจะเริ่มซักด้วยมือ

"พวกเรามีสาวใช้สำหรับทำเรื่องจิปาถะพวกนี้นะท่านแม่?"

"แม่ไม่รับสิ่งใดจากคนผู้นั้นทั้งนั้น เจ้าก็รู้เรื่องนี้ดี" นางกล่าวขณะออกแรงซักมากขึ้น

"แต่เขามอบบุตรชายที่น่ารักให้กับท่านคนหนึ่งนะ" เสี่ยวฟางหยอกเย้า

"นั่นไม่เหมือนกัน แม่มีบทบาทมากกว่า ดังนั้นเจ้าต้องมาอยู่กับแม่น่ะถูกแล้ว อ้อใช่ ประมุขนิกายกำลังตามหาตัวเจ้าอยู่"

นับตั้งแต่เสี่ยวฟางลืมตาดูโลก มารดาของเขาไม่เคยเอ่ยปากเรียกประมุขนิกายว่าพ่อของเขาเลยสักครั้ง ซึ่งเขาเองก็เข้าใจว่าเพราะอะไร แต่เอาจริงแล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรอยู่แล้ว

"เดี๋ยวก่อน เสี่ยวฟาง" ขณะที่เขากำลังจะออกไป มารดาของเขาก็ส่งเสียงเรียกเอาไว้ เสี่ยวฟางโอดครวญเพราะรู้แล้วว่าจะเจอกับอะไร

ตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก นางมักจะคอยเล่าเรื่องนิกายของนางให้เขาฟังอยู่บ่อยๆ ซึ่งเขาก็ชื่นชอบที่ฟังจะมัน แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดก็คือการฝึกฝนของนาง ตอนที่อยู่ที่นิกายเก่า นางเชี่ยวชาญในการกดจุดกระตุ้นทั่วร่างกาย ดังนั้นนางจึงมักจะพยายามถ่ายทอดวิชาความรู้ทั้งหมดเหล่านั้นให้กับเขา อย่างไรก็ตาม บิดาของเขามักจะให้เขาฝึกฝนวิชาของนิกายกระบี่เทวะจนเหน็ดเหนื่อยอยู่เป็นประจำ ดังนั้นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่นางจะสอนเขาก็คือก่อนที่เขาจะออกจากกบ้าน

หากให้เสี่ยวฟางเลือกว่าจะฝึกฝนวิชาของบิดาหรือมารดาแล้วล่ะก็ เขายอมฝึกฝนวิชาของบิดาหนักเป็นสองเท่าจากปกติเลย การกดจุดทั่วร่าง ฟังดูก็เหมือนจะง่าย แต่ยิ่งเขาทำได้ดีมากขึ้นเท่าไร การฝึกจากมารดาของเขาก็จะยิ่งหฤโหดมากขึ้นตามมา นางแทบจะทำให้เขาตัวเหลวเป๋วด้วยการกดจุดของนาง ในฐานะมือกระบี่ผู้หนึ่งแล้ว ตัวเสี่ยวฟางย่อมมีความหยิ่งทะนงเฉกเช่นเดียวกัน แต่เขาก็อดจะรู้สึกสมเพชตัวเองไม่ได้ทุกครั้งหลังการฝึกฝน บางทีหากในมือของนางถือกระบี่อยู่เล่มหนึ่ง เขาก็คงไม่รู้สึกอเนจอนาถถึงเพียงนี้ หากถามว่าเขาหวาดกลัวผู้ใดมากกว่ากันระหว่างบิดาหรือมารดา คำตอบแน่นอนว่าย่อมเป็นมารดา!

....

....

.....

ผู้อาวุโสหลายคนมารวมตัวกันนอกตำหนักประชุมของนิกาย แน่นอนว่า "ผู้อาวุโสไก่เจียง" ย่อมต้องมาด้วย

เขาได้ยินชื่อเรียกเช่นนี้หลายครั้งแล้วตลอดสองสามวันที่ผ่านมา ตอนนี้เขาแทบจะควบคุมจิตสังหารของตนเอาไว้ไม่ไหว เขาแทบจะห้ามมือทั้งสองไม่ให้พุ่งเข้าไปบีบคอเสี่ยวฟางที่เวลานี้กำลังยืนยิ้มเยาะเขาอยู่ไม่ไกลไม่ได้ มีผู้อาวุโสหลายคนที่โกรธจนหนวดเคราสั่นระริกไม่ต่างจากผู้อาวุโสเจียง แต่เสี่ยวฟางก็ยังยืนนิ่งเฉยไม่ใส่ใจท่าทางของผู้เฒ่าเหล่านั้น

"แจ้งท่านประมุขว่าข้ามาแล้ว" เสี่ยวฟางกล่าวกับบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นแต่แฝงไว้ด้วยความให้เกียรติ

ไม่กี่วินาทีต่อมา ประตูตำหนักก็เปิดออกเสียงดังกังวาน ทุกคนรีบคุกเข่าลง เว้นไว้ก็แต่เสี่ยวฟาง

"เสี่ยวฟาง เจ้าลูกบัดซบ! รีบเข้ามานี่เดี๋ยวนี้!" มีเสียงของบุรุษดังออกมาจากด้านใน

ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของขั้นที่แปดระดับสวรรค์ซึ่งแฝงมากับเสียงนี้ได้อย่างชัดเจน ทำให้ผู้คนทั้งหมดรู้สึกหนาวสะท้านไปถึงสันหลัง แม้ว่าประตูตำหนักจะเปิดอ้าออก หากแต่ภายในยังคงมืดมิดประดุจหลุมดำที่ดูดกลืนที่สิ่งที่เข้าใกล้ ทุกคนต่างก็เขยิบตัวออกห่างประตูอีกเล็กน้อย ทุกคนยกเว้นเสี่ยวฟาง เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากบิดา เขาก็ก้าวเท้าเดินเข้าไป

"บางที....หากว่าพวกเราตาบอดเหมือนกับเจ้าหนูนี่ พวกเราอาจจะมีความกล้าเดินเข้าไปเช่นกัน" ผู้อาวุโสคนหนึ่งพึมพำเสียงเบา อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสโดยรอบต่างพากันสั่นหัวระริก พวกเขาเสริมว่า ตาบอดอย่างเดียวคงไม่พอ ยังต้องหูหนวกและปัญญานิ่มด้วย

แม้ว่าเสี่ยวฟางจะคอยก่อปัญหาให้พวกเขาไม่จบไม่สิ้น แต่พวกเขาก็อดนับถือในความกล้าหาญของเสี่ยวฟางไม่ได้ ซึ่งนี่ถือเป็นหลักการที่สำคัญที่สุดของการเป็นมือกระบี่

"เขาคือความหวังของนิกาย อายุเพียงสิบแปดก็มีร่างกายระดับปรับแต่งขั้นสมบูรณ์อย่างไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน สิ่งเดียวที่เขาขาดไปก็คือมีวินัยให้มากขึ้นอีกสักหน่อย" เหล่าผู้อาวุโสหลายคนต่างก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน

ภายในตำหนัก เสี่ยวฟางหยุดยืนอยู่ห่างจากบัลลังก์ของบิดาเพียงไม่กี่ก้าว เขานิ่งเงียบรอให้บิดาเอ่ยปากก่อน แม้ว่าภายในตำหนักแห่งนี้จะมืดมิด แต่สำหรับเสี่ยวฟางแล้วที่นี่ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับห้องที่สว่างไสวหรอก เพราะอะไรน่ะหรือ? เพราะว่าเขาตาบอดยังไงล่ะ

"ข้าได้ยินว่าเจ้าไปสร้างปัญหาให้กับผู้อาวุโสมาอีกแล้ว เจ้าคิดว่าตนเองจะไม่ถูกลงโทษเพียงเพราะว่าเจ้าเป็นลูกนอกคอกของข้าอย่างนั้นรึ?" ประมุขนิกายนำกระบี่ที่มีความยาวเท่าขาของเขาออกมา เพียงกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาก็แทบทำให้ผู้คนตัวสั่นระริกได้แล้ว

จากนั้นเขาจึงกล่าวต่อ "มาดูกันว่าเจ้าจะต้านทานกระบี่ของข้าได้นานเพียงใด" ประมุขนิกายยกยิ้มเย็น ร่างของเขาพลันพุ่งเข้าใส่เสี่ยวฟางพร้อมด้วยกระบี่ที่ยกขึ้นเหนือศีรษะ

เสี่ยวฟางยกไม้เท้าคลำทางขึ้นเบี่ยงวิถีกระบี่ออกไป ไม้เท้าด้ามนี้ย่อมไม่ใช่เพียงไม้เท้าคลำทางอยู่แล้ว ที่จริงมันคือฝักกระบี่ที่ซุกซ่อนกระบี่ของเขาเอาไว้ภายใน เรื่องนี้ถูกเปิดเผยเมื่อไม้เท้าของเขาเลื่อนออกและเผยให้เห็นตัวกระบี่ที่อยู่ภายใน

"กระบี่เล่มใหม่?" ประมุขนิกายเอ่ยถาม

"เป็นของขวัญที่ได้มาจากหนึ่งในเพื่อนหญิงของข้า" เสี่ยวฟางตอบ

น้ำเสียงที่เอ่ยถึง "เพื่อนหญิง" ของเขาออกจะติดหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย ขณะที่กล่าวกระบี่ในมือของเขาก็ยังพุ่งโจมตีออกอย่างต่อเนื่อง

หลังจากปะกระบี่เพียงไม่กี่ครั้ง มันก็ชัดเจนว่าประมุขนิกายไม่ได้เอาจริงเอาจังแต่อย่างใดในการฟันกระบี่ออกมา แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้เสี่ยวฟางตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถแล้ว ประมุขนิกายดูราวกับเพิ่งไปยังชมสวนหลังบ้านมา ขณะที่เสี่ยวฟางอยู่ในสภาพสะบักสะบอมเหมือนไปฟัดกับหมามา ชุดของเขาขาดกะรุ่งกะริ่งตั้งแต่หัวจรดเท้าจนแทบจะจำไม่ได้

"ดี ดี เจ้าก้าวหน้าขึ้นบ้างหลังจากครั้งล่าสุดที่ซ้อมมือกัน ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะสามารถทะลวงผ่านขั้นที่เก้าของระดับปรับแต่งร่างกายได้ในอีกไม่กี่เดือน ข้าเดาเอาไว้ว่าเจ้าคงเอาเวลาทั้งหมดมัวแต่ไปไล่ตามหญิงจนสนิมขึ้น แต่ผิดคาด เอาล่ะ เตรียมตัว นี่จะเป็นกระบี่สุดท้ายแล้ว ป้องกันไว้ให้ดี"

โลหิตสีแดงไหลย้อยจากมุมปากอาบย้อมจนคางแดงฉาน เขารู้สึกพละกำลังเริ่มถดถอยลงขณะถือกระบี่ เสี่ยวฟางหอบหายใจอย่างหนัก ตั้งสมาธิรอคอยการโจมตี เมื่อประมุขนิกายอยู่ห่างจากเขาเพียงห้าก้าว เขาก็มองเห็นอีกฝ่ายยกกระบี่ฟันเข้ามาพร้อมด้วยฝูงมังกรนับพันตัว แต่เพราะไม่ได้มีเจตนาฆ่า ดังนั้นการโจมตีนี้ย่อมไม่ถึงตาย

ทว่าประมุขนิกายกลับเป็นฝ่ายต้องประหลาดใจ เสี่ยวฟางไม่ได้พยายามจะป้องกันท่าโจมตีนี้ เขากลับกระโดถอยไปด้านหลังเพื่อหลบหลีกการโจมตี ประมุขนิกายถอนหายใจอยู่ภายในพลางคิดว่าชายหนุ่มยังต้องเรียนรู้อีกมาก

เสี่ยวฟางกำลังพุ่งถอยไปข้างหลังอยู่จริงๆ เพียงแต่การเคลื่อนไหวของเขาดูจงใจเกินไป

ทันใดนั้นประมุขนิกายก็ถูกฟัน เขาก้มลงมองและเห็นว่าเสื้อคลุมบริเวณช่วงท้องของเขาบังเกิดรอยขาดขึ้นมา

บางทีอาจเป็นเพราะที่นี่มืดเกินจะมองเห็นหรือเป็นเพราะคาดไม่ถึง ประมุขนิกายจึงนิ่งอึ้งไม่ตอบสนอง เขาเพียงสัมผัสได้ถึงคมกระบี่ของมือสมัครเล่นที่ทำได้เพียงจั๊กกะจี้ผิวหนังที่แกร่งราวเหล็กกล้าของตน

[มือกระบี่ทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะโจมตีและป้องกันในเวลาเดียวกันขณะต่อสู้ อย่างไรก็ตาม หากว่าเจ้าเลือกได้เพียงอย่างเดียว จงโจมตีออกไปโดยไม่เกรงกลัวต่อกระบี่ของคู่ต่อสู้! นี่ก็คือความหมายของการเป็นมือกระบี่]

'การโจมตีนั้น....เหมือนกับเหล็กปะทะเหล็ก' ประมุขคิดขึ้นในใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อสัมผัสได้ถึงรอยขีดข่วนที่ปรากฏบนร่าง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ 'ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เขา....' เขาถูเลือดบนนิ้วจนมันจางหายไป

"เข้าใจแล้ว เจ้าแสร้งถอยเพื่อรอจังหวะ นั่นค่อนข้างฉลาดเลยทีเดี-" เมื่อเขาหันกลับมาก็เห็นเสี่ยวฟางที่นอนกองกับพื้นในสภาพแทบจะหมดลมหายใจทุกขณะ

ประมุนนิกายอึ้งอีกครั้ง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเสี่ยวฟางยังไม่ได้เชี่ยวชาญวิชานี้อย่างลึกซึ้ง เพียงแต่เสี่ยวฟางทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเรียกโลหิตจากร่างกายของเขา ทั้งที่ทราบดีว่าตนจะต้องถูกฟันจนบาดเจ็บสาหัส....

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด