ตอนที่แล้วระดับบ่มเพาะ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบรรลุมรรคาด้วยวิชาบำเพ็ญคู่ ตอนที่ 2

บรรลุมรรคาด้วยวิชาบำเพ็ญคู่ ตอนที่ 1 [18+]


บรรลุมรรคาด้วยวิชาบำเพ็ญคู่ ตอนที่ 1 [18+]

[18+]

"เสี่ยวฟาง อ๊า~" เสียงของหญิงสาวร้องเรียกชื่อที่ฉาวโฉ่ที่สุดของนิกายกระบี่เทวะ เสียงครวญครางนี้มีเพียงเสี่ยวฟางเท่านั้นที่เข้าใจ

นางนอนอยู่บนพื้นพลางยกเอวเผยจุดเร้นลับอย่างเย้ายวน นางเพียงรอคอยให้เขาสอดใส่ทวนมังกรอันตั้งตรงนั้นเข้ามาในถ้ำสวรรค์อันคับแคบของนาง

กลิ่นกายอันหอมจรุงของนางลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ เรือนร่างอันขาวเนียนหลั่งเหงื่ออย่างสุขสันต์ นิ้วมือของเสี่ยวฟางคว้าตะปบอยู่บนเนินเขาขณะที่กระบี่ไร้ฝักของเขาเสียบเข้าเสียบออกในถ้ำสวรรค์อย่างดุร้าย ฝ่ามือของเลื่อนลงมาบีบเค้นตะโพกอันกลมกลึงขณะร่างกายเคลื่อนขยับเป็นจังหวะ

สองฝ่ามือของหญิงสาวคว้ากำผ้าปูเตียงเอาไว้แน่น เท้าอันขาวนวลของนางจิกแน่นขณะที่เสี่ยวกดทับร่างของนาง

เมื่อนางหนีบขา ร่องอุ่นของนางก็ตอดรัดแน่น และการกระทำนี้ก็แทบจะทำให้ปลดปล่อยน้ำนมขุ่นออกไปก่อนเวลาอันสมควร เพิ่งผ่านไปได้เพียงไม่นาทีนับตั้งแต่ทั้งสองเริ่มนัวเนีย หากแต่นางกลับรู้สึกถึงจุดสุดยอดแล้ว

สองมือของเสี่ยวฟางจับเอวของนางแน่นขณะสอดใส่กระบี่ไร้ฝักลึกเข้าไป ห้านิ้ว หกนิ้ว เจ็ดนิ้ว เขาค่อยๆผลักดันเข้าไปเพื่อตระเตรียมจะเปิดฉากทำศึกสุดท้าย

"กระบี่เนื้อทะลวงสวรรค์"

กระบี่ของเขาสอดเข้าไปร่องชมพูของนาง จากนั้นก็ปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าพึงใจหากแต่ลึกลับออกมา นางตัวแข็งทื่อก่อนจะสั่นกระตุกเบาๆ ในใจบังเกิดความรู้สึกราวกับตัวนางกำลังทะยานขึ้นสวรรค์

ทันใดนั้นปราณหยินของนางก็ไหลริน และในเวลาไล่เลี่ยกัน ปราณหยางอันอบอุ่นก็ถ่ายเทตามมา

ถ้ำสวรรค์ของนางตอดรัดกระบี่ของเขาแน่นราวกับพยายามจะรีดเค้นน้ำนมขุ่นของเขาออกมาให้หมดสิ้น ปราณหยินหยางของทั้งสองผสานเข้าด้วยกัน แต่สุดท้ายพลังกลุ่มนั้นก็แยกสลายกลายเป็นพลังงานถ่ายทอดไปยังจุดตันเถียนของทั้งคู่

แม้ว่าปราณหยินและปราณหยางจะคล้ายคลึงกับน้ำกาม หากแต่ความจริงแล้วสองสิ่งนี้ไม่เหมือนกันเลย เพื่อที่จะฝึกฝนในวิชาบำเพ็ญคู่ ฝ่ายชายจะต้องรวบรวมพลังปราณหยินจากฝ่ายหญิงผ่านการร่วมรัก และในทางกลับกัน ฝ่ายชายก็จะถ่ายเทพลังปราณหยางซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อฝ่ายหญิงเป็นการกลับคืน

ในช่วงอีกสองสามวันถัดจากนี้ นางจะพบว่าการฝึกบำเพ็ญของนางก้าวหน้าขึ้น อีกทั้งยังจะพบว่าร่างกายของนางมีประสาทรับรู้ที่อ่อนไหวกว่าเดิม ทำให้ง่ายที่จะช่วยตัวเองและบรรลุพลังขั้นถัดไป

........

........

........

หญิงสาวรู้สึกหมดเรี่ยวแรงหลังจากรีดเค้นพลังกายจนถึงขีดสุดติดต่อกันอย่างยาวนาน และตอนนี้ตามร่างก็เปียกแฉะหมดแล้ว ผมยาวสีดำที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแนบไปไหล่ขาวนวลและไหปลาร้าอันงดงาม ซึ่งตรงกันข้ามกับเสี่ยวฟางที่เหงื่อไม่ออกแม้แต่น้อย นี่ราวกับเขาเพิ่งตื่นขึ้นอย่างเกียจคร้านจากการงีบหลับในยามบ่าย

เสี่ยวนอนหนุนมือพลางจ้องมองเพดาน สีหน้าเหม่อลอยบ่งบอกว่ากำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง เขาต้องการจะยกระดับเคล็ดวิชาของตนเอง ทว่ามันกลับไม่ก้าวหน้าขึ้นแม้แต่น้อย

ผ่านไปพักหนึ่ง หญิงสาวที่เขาเพิ่งหลับนอนด้วยก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำชำระกาย แต่ก่อนจะไปนางยังหันมาชายตามองเสี่ยวฟางด้วยแววตายั่วยวน

"เสี่ยวฟาง หากในภายหน้าเจ้าต้องการความช่วยเหลือใด เจ้าสามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อเลย" นางยิ้มอย่างมีเลศนัย

เสี่ยวฟางพยักหน้ายิ้มตอบ เขาทราบว่านางจะต้องพยายามช่วยเขาอย่างสุดความสามารถแน่ แต่แค่นี้ก็ทำให้เขารู้สึกประทับใจนางแล้ว

........

........

........

เสี่ยวฟางเป็นคนตาบอด แต่แม้ดวงตาของเขาจะมองไม่เห็น มันก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะรับรู้อะไรไม่ได้เลย ประสาทสัมผัสในการได้ยินของเขายอดเยี่ยมยิ่ง ขอเพียงบังเกิดเสียงขึ้นแม้เพียงแผ่วเบา แม้จะเป็นเพียงผึ้งตัวหนึ่งกำลังบิน เขาก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจน นี่ก็คล้ายกับค้างคาวที่อาศัยการมองเห็นจากเสียงสะท้อน

ในปีนี้เขาจะมีอายุครบสิบแปดปี เนื่องเพราะเขาอายุยังน้อย เขาจึงยังไม่ถือเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการของนิกาย แต่ทั้งที่ยังไม่ได้เป็นศิษย์ เขายังคงมีชื่อเสียงเรื่องการเด็ดดอมดอกไม้งามในนิกายไปมากมาย แต่เพลงกระบี่ไร้ปิดกั้นของเขาก็ยอดเยี่ยมจนไม่สามารถปฏิเสธได้ ดังนั้นผู้ที่เกลียดชังเขาจึงได้แต่นินทาลับหลัง

เมื่อมีอายุครบสิบแปดปี เขาก็จะสามารถบ่มเพาะจิตวิญญาณของตัวเอง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมกับนิกายใดก็ได้ตามความชอบ แต่แน่นอนว่าเขาจะต้องสอบผ่านเพื่อเข้าเป็นศิษย์ให้ได้ด้วย กระนั้นความมั่นใจก็หาใช่สิ่งที่เสี่ยวฟางขาดแคลนไม่

เสี่ยวฟางไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญคนอื่นๆที่ต้องฝึกฝนเตี่ยวกรำอย่างหนัก เวลาส่วนใหย่ของเขาถูกใช้ไปกับการตามจีบและร่วมรักกับหญิงสาว แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ในฐานะผู้บ่มเพาะวิชาบำเพ็ญคู่แล้ว การร่วมรักกับผู้หญิงต่างหากที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น

เขาไม่ได้ให้ความสนใจจริงๆจังๆยามเมื่อพวกผู้เฒ่ากล่าวถึงเรื่องราวในโลกภายนอก เขาเชื่อว่าสิ่งเดียวที่เขาควรรู้ก็คือการบ่มเพาะสองประเภท

ร่างกายและจิตวิญญาณ

.

.

.

--------------------------------------

ระดับของร่างกาย

[กายมนุษย์]: ได้รับตอนถือกำเนิด

กายพื้นฐาน แบ่งเป็น 9 ระดับ

กายปรับแต่ง แบ่งเป็น 9 ระดับ

กายเสริมแกร่ง แบ่งเป็น 9 ระดับ

กายลึกล้ำ แบ่งเป็น 9 ระดับ

กายเทวะ แบ่งเป็น 9 ระดับ

กายสวรรค์ แบ่งเป็น 9 ระดับ

ระดับขั้นของจิตวิญญาณ

[จิตมนุษย์]: ได้รับตอนอายุสิบแปดปี

จิตรองรับ แบ่งเป็น 9 ระดับ

กลั่นจิต แบ่งเป็น 9 ระดับ

แก่นจิต แบ่งเป็น 9 ระดับ

จิตลึกล้ำ แบ่งเป็น 9 ระดับ

จิตเทวะ แบ่งเป็น 9 ระดับ

จิตสวรรค์ แบ่งเป็น 9 ระดับ

--------------------------------------

.

.

.

บิดาของเสี่ยวฟางคือประมุขของนิกายแห่งนี้ นับตั้งแต่เด็ก เสี่ยวฟางก็ถูกเคี่ยวกรำฝึกฝนราวกับลูกสิงโต มีบางคนกล่าวเอาไว้ว่า วันแรกที่เขาเดินได้ ก็คือวันแรกที่เสี่ยวฟางเริ่มฝึกฝน

ผู้บ่มเพาะร่างกายส่วนใหญ่มักจะเริ่มฝึกฝนเมื่อมีอายุได้สิบขวบขึ้นไป เพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้นยากเกินจะทนทานสำหรับเด็ก ทว่าเสี่ยวฟางนั้นถูกสอนให้ใช้กระบี่ตั้งแต่มีอายุได้ห้าขวบ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เต็มใจ แต่บิดาผู้แสนจะคลุ้มคลั่งก็บังคับให้เขาฝึก

เด็กอายุสิบขวบส่วนใหญ่ไม่สามารถทนทานความต่อความเจ็บปวดที่เกิดจากการฝึก แต่เสี่ยวฟางไม่มีทางเลือกใดๆ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาฝึกต่อไป

ตอนที่อายุได้เก้าขวบ เขาก็ไปถึงขั้นที่หนึ่งของระดับปรับแต่งแล้ว และตอนนี้ เมื่อมีอายุสิบแปดปี เขาก็มีความสำเร็จถึงขั้นที่แปดของระดับปรับแต่ง

เหล่าผู้ที่ยำเกรงต่อประมุขนิกายต่างก็ยกอ้างการฝึกฝนมาเคี่ยวกรำทรมาณเสี่ยวฟาง ตอนนี้เสี่ยวฟางกลายเป็นอัจฉริยบุรุษผู้เลื่องชื่อ ประมุขนิกายได้สร้างอัจฉริยะระดับปีศาจขึ้นมาแล้ว

.

.

.

ที่ส่วนนอกของนิกายกระบี่เทวะ ชายหนุ่มหญิงสาวจำนวนมากต่างก็กำลังฝึกฝนอยู่ในลานฝึกอย่างขมักเขม้น

คนเหล่านี้ยังไม่ถือเป็นศิษย์ของนิกาย พวกเขาเพิ่งได้รับการคัดตัวมาจากตามหมู่บ้านต่างๆเพื่อเตรียมรับการสอบเข้านิกายกระบี่เทวะในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า หากว่าคนในกลุ่มพิเศษนี้ผ่านการทดสอบ พวกเขาจะได้กลายเป็นศิษย์สายในของนิกายทันที ซึ่งไม่เหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่ต้องเริ่มจากการเป็นศิษย์สายนอกก่อนค่อยกลายเป็นศิษย์สายในได้

คนหนุ่มสาวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดี ในหมู่พวกเขาบางคนกระทั่งบ่มเพาะร่างกายไปถึงระดับปรับแต่งแล้ว ในนิกายที่เชี่ยวชาญการบ่มเพาะร่างกายบางนิกาย ศิษย์ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้มักจะถูกรับตัวไว้เป็นศิษย์สายในทันทีโดยไม่ต้องทดสอบใดๆ

.

.

.

วันนี้เป็นหน้าที่ของผู้อาวุโสเจียงที่จะดูแลชนรุ่นเยาว์เหล่านี้ อย่างไรก็ตาม สายตาของเขาส่วนใหญ่เอาแต่สอดส่องมองหาชายหนุ่มที่ชื่อเสี่ยวฟาง

ผู้อาวุโสเจียงเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มเมฆหนาทึบที่บดบังดวงจันทร์ นั่นคล้ายเป็นลางอันมงคลหนึ่ง แต่ในใจของเขากลับยิ่งกังวลมากขึ้น ผู้อาวุโสเจียงเพิ่งบรรลุร่างกายระดับเสริมแกร่งขั้นที่แปดได้ไม่นาน และเขาก็ทราบว่าเสี่ยวฟางบรรลุขั้นที่แปดระดับปรับแต่งได้แล้ว เรื่องนี้ทำให้เขากลัดกลุ้มยิ่งกว่าเดิม

ตอนนี้เองที่หน้าทางเข้าของลานกว้างก็มีเงาร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏขึ้น ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือคนที่ผู้อาวุโสเจียงกำลังมองหา บนใบหน้าของชายหนุ่มมีผ้าคาดตาผืนหนึ่งปิดบังไว้ ตอนนี้เขากำลังแสร้งเป็นต้องการความช่วยเหลือจากพวกรุ่นเยาว์ที่อยู่โดยรอบ

ผมสีดำยาวของเขาถูกมัดรวบเอาไว้ ช่วยขับเน้นให้ใบหน้าอันหล่อเหลาโดดเด่นสะดุดตาขึ้นมา ริมฝีปากได้รูปของเขายกขึ้นน้อยๆอย่างพึงพอใจ ทั้งยังแฝงด้วยความกระตือรือร้น ร่างกายที่ยืดตรงพร้อมส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรเผยให้เห็นร่างกายอันแข็งแรงดูดีออกมา กล้ามเนื้อทุกส่วนดูได้รูปไม่ขาดไม่เกิน นี่เป็นร่างกายอันน่าประทับใจร่างหนึ่ง โดยเฉพาะในหมู่ชายหนุ่มที่อายุเท่ากัน

"แถวนี้มีใครอยู่หรือไม่? ตาของข้าบอดสนิท และตอนนี้ก็ดูเหมือนจะหลงทางแล้ว มีใครสามารถพาข้ากลับไปที่พักของข้าได้บ้าง?" ชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันสงบ นี่ทำให้หญิงสาวหลายคนหันมองไปตามเสียง บางคนกระทั่งเริ่มเดินเข้าไปหาเขาแล้ว ใบหน้าของพวกนางขึ้นสีเล็กน้อยขณะเร่งฝีเท้าด้วยความกระตือรือร้น

'เจ้าเด็กเวรนั่นจะทำอะไรอีก? เอาแต่สร้างปัญหาจริงๆ' ผู้อาวุโสเจียงบ่นขึ้นในใจ

ผู้อาวุโสเจียงเริ่มปวดหัวขึ้นมาแล้ว เขาย่อมล่วงรู้พฤติการณ์และชื่อเสียงของชายหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงเป็นคนแรกที่เอ่ยปากขึ้น

"อย่าถูกคำลวงของเขาชักจูงเอา เขามีชื่อเสียงฉาวโฉ่เรื่องผู้หญิง หากยังอยากรักษาพรมจรรย์และภาพลักษณ์เอาไว้ก็อย่าได้เข้าใกล้เขาแล้ว" ผู้อาวุโสเจียงกระตุ้นเตือนพวกหญิงสาว

หญิงสาวส่วนใหญ่ชะงักกึกทันทีที่ได้ยินวาจาของผู้อาวุโสเจียง จากนั้นจึงกลับไปฝึกฝนต่อ มีไม่กี่คนที่ค่อยๆเดินกลับมาแต่ยังคอยหันไปชำเลืองมองชายหนุ่มที่ 'มีชื่อเสียงฉาวโฉ่' เป็นพักๆอย่างมีนัย

"ผู้อาวุโสเจียง ท่านนี่ไม่รู้จักมีอารมณ์ขันบ้างเลย แบบนี้ข้าคงต้องแวะไปเล่นกับลูกสาวท่านอีกหลายๆครั้งแล้ว"

"เจ้ากล้า!?" ผู้อาวุโสเจียงคำรามพลางถลึงตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ

"เอ ดูเหมือนข้าจะลืมชื่อนางไปแล้ว แต่นั่นจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อข้ายังจำเรือนร่างอัน-"

"หุบปาก!! หากวันนี้ข้าไม่ทุบตีเจ้าจนจมกองเลือด ข้าจะเรียกเจ้าว่าท่านปู่ไปชั่วชีวิต!"

กล่าวจบผู้อาวุโสเจียงก็พุ่งเข้าหาเสี่ยวฟาง แต่ก่อนที่เขาจะทันบรรลุถึงตัวของเสี่ยวฟาง ร่างของเขาก็ร่วงลงไปในหลุมที่เต็มไปด้วยน้ำผึ้ง

"อา ไม่ต้องเรียกข้าท่านปู่หรอก เพราะข้าไม่ชอบบุรุษน่ะ" จากนั้นเสี่ยวฟางก็หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังกับมุขตลกของตัวเอง แต่นั่นยิ่งสร้างความโกรธแค้นให้กับผู้อาวุโสเจียงมากกว่าเดิม

"เสี่ยวฟาง!!!" ผู้อาวุโสเจียงคำรามสุดปอด ตอนนี้ทั่วร่างของเขาอาบชโลมไปด้วยน้ำผึ้ง เขาค่อยๆปีนป่ายกลับขึ้นมาและเริ่มวิ่งไล่เสี่ยวฟาง

เมื่อเห็นผู้อาวุโสเจียงพุ่งเข้ามาอีกคำรบ เสี่ยวฟางก็โยนไม้เท้าคลำทางทิ้งก่อนจะสับเท้าวิ่งหนี ผู้อาวุโศเจียงสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่งก็ทำให้ไม้เท้านั้นหักครึ่งไป สิ่งนี้ไม่อาจสกัดขัดขวางผู้อาวุโสเจียงได้อยู่แล้ว ชายหนุ่มหญิงสาวต่างก็มองดูฉากนี้ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เสี่ยวฟางนับว่าไม่สร้างความด่างพร้อยให้กับชื่อเสียงด้านการหลบหนีของตนเอง เขาสับเท้าวิ่งราวกับกระต่ายที่ถูกเหยียบหาง

แม้ว่าความเร็วของผู้บำเพ็ญจะเพิ่มขึ้นตามระดับบ่มเพาะ แต่ความสามารถในการหลบหนีของเสี่ยวฟางนับว่าเป็นสุดยอดวิชาไร้เทียมทาน และมันก็เป็นหนึ่งในความสามารถที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเสี่ยวฟาง

"กลับมานี่นะโว๊ย!" ผู้อาวุโสเจียงตะโกนออกมาเมื่อใกล้จะถึงทางออก ทว่าเมื่อมาถึงทางออก ร่างของเขาก็ร่วงลงไปในหลุมกับดักอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้เป็นหลุมที่เต็มไปด้วยขนนก

ถึงจุดนี้ผู้อาวุโสก็ลังเลแล้วว่าจะไล่ตามไปต่อดีหรือไม่ เขาเงยหน้ากู่ร้องด้วยความโมโห เสียงกู่ร้องครั้งนี้ถึงกับดังไปถึงนิกายที่ตั้งอยู่ใกล้เคียง

เขาย่อมไม่อาจกลับไปลานฝึกด้วยสภาพที่ดูราวกับแม่ไก่เช่นนี้ ดังนั้นเขาเดินกระทืบเท้าไปยังส่วนที่พักของประมุขนิกายพร้อมกับถ้อยคำฟ้องร้องที่อัดแน่นเต็มอก ทว่าด้วยรูปลักษณ์ของเขาในตอนนี้ ขณะที่เดินไปจึงเรียกเสียงหัวเราะได้ตลอดทาง....

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด