บทที่ 3 : ทวีปป่า
เมื่อฉินยี่ตามฉินซานกลับบ้าน จ่าวหว่านภรรยาของฉินซาน ซึ่งเป็นพี่สะใภ้ของฉินยี่ ก็ได้ตื่นขึ้นมาทำอาหารเช้าแล้ว ส่วนหลานชายของฉินยี่ ฉินหยวน ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านแล้วเขาเดินทางไปยังเขตฟูซาน
“กลับมาแล้วเหรอ มีอะไรเกิดขึ้น” จ่าวหวานถามฉินซานด้วยน้ำเสียงต่ำ
เธอเป็นผู้หญิงชาวนาธรรมดาๆ ที่มีอุปนิสัยอ่อนโยน เมื่อเห็นพวกเขากลับมา เธอก็เดินออกมาพร้อมกับไม้พายในมือ เธอสวมผ้ากันเปื้อนที่มีรอยปะหลายจุด เห็นได้ชัดว่าครอบครัวนี้ไม่ได้ร่ำรวย
“พี่สะใภ้ ไม่มีอะไร เดี๋ยวข้าขอตัวกลับห้องก่อน” ฉินยี่พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อกี้ ทำให้ชุดของเขาค่อนข้างสกปรก ดังนั้นเขาจึงต้องการกลับไปที่ห้องและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
ด้วยความทรงจำของเขา เขาจึงคุ้นเคยกับครอบครัวและญาติพี่น้องเหล่านี้ของเขาเป็นอย่างดี
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาพ่อของฉินยี่ ได้ไปแนวหน้าพร้อมกับพี่ชายของเขา นั้นก็คือพ่อของฉินซาน แต่ว่าไม่มีข่าวคราวใดๆ ส่งกลับมาเลย จนกระทั่งแม่ของเขาล้มป่วยและเสียชีวิต
ส่วนปู่ย่าตายายของพวกเขานั้นเสียชีวิตเพราะภัยพิบัติจากสัตว์ร้าย แม้แต่ลุงและป้าของพวกเขาบางคนก็ได้เสียชีวิตจากภัยพิบัติจากสัตว์ร้ายเช่นกัน ตอนนี้เหลือเพียงฉินซานกับพ่อของเขา และฉินยี่กับพ่อของเขาเท่านั้นที่เหลืออยู่
ดังนั้นฉินยี่จึงเป็นญาติเพียงคนเดียวของฉินซาน และสมาชิกครอบครัวของพวกเขาก็มีเพียงแค่สามคนในตอนนี้
“ไม่มีอะไร หยวนเอ๋อร์จะกลับมาเมื่อไหร่ ผู้อาวุโสสัญญาว่าจะให้เขาเข้าร่วมทีมฝึกฝนเยาวชน” ฉินซานรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยในขณะที่กำลังพูดออกมา
ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าฉินยี่ ทำไมถึงตกลงรับข้อเสนอของผู้อาวุโสจางซานเย่ แต่ว่ามันก็เป็นผลดีต่อลูกชายของเขาเช่นกัน การปฏิเสธข้อเสนอนี้เป็นเรื่องยากสำหรับเขา ดังนั้นเขาจึงตอบตกลง!
“อ๋อ! เกิดอะไรขึ้น เมื่อไม่กี่วันก่อนท่านไม่ได้บอกข้าเหรอว่าหยวนเอ๋อร์ยังเด็กเกินไป แล้วทำไมตอนนี้ท่านถึงพูดเช่นนี้...” จ่าวหว่านอุทานออกมาด้วยความดีใจเล็กน้อย แต่เธอก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน
“เดี๋ยวข้าค่อยมาคุยกับเจ้าทีหลัง กินข้าวกันก่อนเถอะ เสี่ยวยี่น่าจะหิวแล้ว!” ฉินซานพูดออกมาเบาๆ จากนั้นก็หันไปตะโกนเรียง “เสี่ยวยี่ ออกมากินข้าวได้แล้ว พี่สะใภ้ของเจ้าทำกับข้าเสร็จแล้ว!”
“โอเค!” ฉินยี่ตอบรับ
ในบ้านมีอ่างน้ำใสใบหนึ่ง ฉินยี่ก้มหน้ามองลงไป และพบว่าหน้าตาของเขาหน้าตาดีและหล่อเหลามาก
คิ้วรูปดาบมีดวงตาคู่สวย จมูกโด่ง และริมฝีปากอิ่มเอิบ ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉินยี่ จะอายุเพียงแค่ 12 ปี และสูงไม่ถึง 1.6 เมตร แต่เขาก็ยังบอกได้เลยว่าเขาเป็นผู้ชายที่หล่อเหลามากคนหนึ่ง
หลังจากซักเสื้อผ้าแล้ว ฉินยี่ก็สวมเสื้อผ้าชุดใหม่และเดินออกไปข้างนอกทันทีเพื่อกินอาหารเช้า
เขายังจำตำแหน่งของกรงปลาที่เขาวางไว้เมื่อคืนได้
เนื่องจากที่บ้านมีอาหารไม่มากนัก ฉินยี่จึงรู้สึกกังวลเกี่ยวกับกรงปลานี้มาก จนถึงขนาดที่เขาต้องตื่นเช้าเพื่อไปเก็บกรงปลามา
ในขณะที่เขาเดินไปที่แม่น้ำ ฉินยี่ก็ทักทายผู้คนที่เขาพบเห็นระหว่างทางเป็นครั้งคราว แต่ภายในใจของเขากลับกำลังคิดถึงเรื่องอื่น
โลกนี้ถูกเรียกว่าทวีปป่า มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้ปกครองของโลกใบนี้ เพราะว่าบนโลกใบนี้มีอีกหลายเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งกว่าเผ่ามนุษย์!
สัตว์อสูรเป็นศัตรูตัวฉกาจของมนุษย์มาโดยตลอด พวกมันดุร้ายและโหดเหี้ยมมาก กระหายเลือดและชอบทำสงคราม และสงครามก็เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา สงครามระหว่างมนุษย์กับสัตว์อสูรก็ยังคงดำเนินมาเป็นระยะเวลาหลายหมื่นปีแล้ว!
นับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกประวัติศาสตร์ของเผ่ามนุษย์ พวกเขาก็ได้ทำสงครามกับสัตว์อสูรแล้ว มีวีรบุรุษจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้นมา และก็มีวีรบุรุษจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกสังหารอยู่ในสนามรบ!
ปีนี้ครบรอบ 48,912 ปีตามปฏิทินของทวีปป่า กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือสงครามได้ดำเนินมาแล้วอย่างน้อย 48,912 ปี!
นอกจากแผ่นดินแล้ว ทวีปป่าแห่งนี้ยังมีมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต อีกทั้งยังมีเผ่ามนุษย์แห่งท้องทะเลที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม พวกเขามักจะไม่ขึ้นมาบนบก พื้นที่ของมหาสมุทรนั้นใหญ่กว่าแผ่นดินหลายเท่า
ข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลที่เด็กสามขวบในหมู่บ้านก็ยังรู้ แต่ฉินยี่กลับสามารถจดจำข้อมูลเหล่านั้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นอกจากนี้โลกใบนี้ยังมีเทพเซียนอยู่อีกด้วย และมนุษย์ก็สามารถฝึกฝนได้เช่นกัน นักสู้ที่ประสบความสำเร็จจะมีพลังที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง!
นักรบที่แข็งแกร่งสามารถตัดภูเขาและทะเลด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และทำลายเมืองด้วยฝ่ามือเดียว!
ถึงแม้ว่าจะเป็นนักสู้ระดับสองอย่างจางไห่ แต่เขาก็เป็นเพียงนักสู้ระดับต่ำของโลกแห่งการฝึกฝน และมีพละกำลังเพียงแค่หลายร้อยกิโลกรัมเท่านั้น การผ่าต้นไม้ใหญ่ด้วยมือของเขาไม่ใช่ปัญหา!
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนเหล่านั้นทรงพลังจริงหรือไม่ แต่ความแข็งแกร่งของนักสู้ระดับสองคือสิ่งที่ฉินยี่เคยเห็นด้วยตาของตัวเอง!
ฉินหยวนหลานชายของเขาก็เป็นนักสู้ระดับสอง และเขาก็เคยเห็นฉินหยวนหักแผ่นศิลาที่แข็งแกร่งด้วยฝ่ามือ ในขณะที่เขากำลังฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อยู่ที่บ้าน!
สิ่งนี้ทำให้ฉินยี่รู้สึกสนใจมาก!
ถ้าเขาสามารถแข็งแกร่งได้อย่างนั้นก็คงดี!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินยี่ก็เหลือบมองไปที่นิ้วทองคำของเขา
คะแนนความโกลาหลที่เหลืออยู่ : 3 คะแนน
เดิมที หลังจากที่อัพเกรดดอกโคลเวอร์ระดับ 1 ไปในตอนนั้นเขาก็เหลือ คะแนนความโกลาหลเพียงแค่ 1 คะแนน แต่ว่าฉินยี่ก็แอบดูดซับเหรียญหยวนคุณภาพต่ำอีกสองก้อนที่เหลือ โดยที่ไม่ได้ทำให้ใครสังเกตเห็น และได้รับ คะแนนความโกลาหลมาเพิ่มอีก 2 คะแนน ดังนั้นตอนนี้เขาจึงมีคะแนนความโกลาหลเหลืออยู่ 3 คะแนน
เขาไม่รู้ว่านอกจากการอัพเกรดวัตถุดิบสมุนไพรแล้ว คะแนนความโกลาหล ยังจะสามารถอัพเกรดสิ่งอื่นๆ ได้หรือไม่
นอกจากนี้เขาก็ไม่รู้ว่านอกจากเหรียญหยวนคุณภาพต่ำแล้ว เขาก็ยังไม่พบอะไรที่สามารถช่วยเพิ่มคะแนนความโกลาหลได้เลย ซึ่งมีสิ่งที่เขาต้องสำรวจอีกมากมาย
ในขณะที่กำลังครุ่นคิด เขาก็เดินมาถึงแม่น้ำแล้ว ได้นำกรงปลาขึ้นมาจากแม่น้ำ และตั้งเอาไว้บนพื้น
เมื่อฉินยี่สัมผัสกลับกรงปลา ฉินยี่ก็หยุดชะงักทันที
ชื่อ : กรงปลาน่าสงสาร
คำแนะนำ : สามารถจับกุ้ง ปู เต่า ปลา ฯลฯ ได้ แต่ประสิทธิภาพไม่ดี และได้รับความเสียหายเล็กน้อย
สถานะ : อัพเกรดได้
คะแนนความโกลาหลที่เหลืออยู่ : 3 คะแนน
สิ่งนี้สามารถอัพเกรดได้อย่างนั้นเหรอ?
ฉินยี่หยิบกรงปลาขึ้นมา เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
กระชังดักปลานี้ยาวประมาณ 2 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 ซม. มีปลาและกุ้งจำนวนมากถูกขังอยู่ภายในนั้น แต่เป็นปลาขนาดเท่าฝ่ามือ กุ้งและปู มีไม่มากนัก มีปลาไหลตัวใหญ่อยู่สองตัวซึ่งมีขนาดเท่านิ้วโป้งมือ การเก็บเกี่ยวครั้งนี้นับว่าไม่เลวเลย
เขาไม่รู้เลยว่า ถ้าหากว่าเขาอัพเกรดกรงปลาอันนี้ผลลัพธ์จะเป็นยังไง ประสิทธิภาพในการจับปลาจะเพิ่มขึ้นไหม และจะจับปลาได้เยอะขึ้นหรือป่าว
ฉินยี่ไม่ได้อัพเกรดอย่างหุนหันพลันแล่น เพราะว่าตอนนี้เขามีคะแนนความโกลาหลเหลืออยู่เพียงแค่ 3 คะแน่นเท่านั้น ถ้าหากว่าเขาอัพเกรดกรงปลาไป เขาก็ไม่รู้เลยว่าจะต้องใช้คะแนนความโกลาหลเท่าไหร่ เพราะว่าตอนนี้เขายังไม่ได้รับ เหรียญหยวนคุณภาพต่ำ 10 เหรียญมาเลย ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะอัพเกรดอย่างหุนหันพลันแล่น
ตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงแค่ นำเหยื่อที่เขาเตรียมมาใส่กลับเข้าไปข้างในกรงดักปลา หาที่ว่างแล้ววางกรงดักปลาเอาไว้ และนำปลาที่เขาดักมาได้กลับบ้าน
เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน ฉินยี่ก็มอบปลาและกุ้งที่เขาจับมาได้ให้กับจ่าวหว่านพี่สะใภ้ของเขา หลังจากนั้นเขาก็วิ่งไปที่สนามฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของหมู่บ้าน
สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่พวกเขาใช้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ตามปกติ ซึ่งตอนนี้พวกเขากำลังฝึกซ้อมกันอยู่ และฉินยี่ต้องการที่จะไปดูพวกเขาฝึกซ้อม
ระหว่างทาง เขาสัมผัสวัชพืชที่อยู่บนถนนเป็นระยะๆ และพบว่าระบบของเขานั้นทรงพลังมาก แม้แต่วัชพืชเขาก็ยังสามารถได้รับข้อมูลมาอย่างง่ายดาย
เมื่อเขาเดินมาถึงสนามฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ ฉินยี่ก็มองไปยังสนามฝึกซ้อม ดวงตาของเขาเปล่งประกาย
ในเวลานี้ นักสู้ระดับสี่ของหมู่บ้านกำลังสอนให้รุ่นเยาว์ฝึกยืน เด็กส่วนมามีอายุระหว่าง สิบสามถึงสิบสี่ปี พวกเขาอยู่ในช่วงอายุที่สามารถฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ได้แล้ว และถึงเวลาวางรากฐานให้พวกเขาแล้ว
“ฝึกฝนให้ดีศิลปะการต่อสู้นี้เป็นเพียงแค่การวางรากฐานที่ใช้กันทั้งทวีปป่า แม้แต่อัจฉริยะตามเมืองใหญ่พวกเขาก็ยังฝึกฝนวิชาเหล่านี้เช่นกัน เมื่อพวกเขาเริ่มต้น หากว่าพวกเจ้าเรียนรู้ได้ดี มันก็จะมีประโยชน์มากมาย!”
นักสู้ระดับสี่คนนี้ชื่อว่าฉินจ้าน ซึ่งตอนนี้เขากำลังถอดเสื้อ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ดูมีพลังมาก เคราของเขาสั่นไหวตามการเคลื่อนไหว
ฉินจ้านแสดงท่าฝึกของเขาออกมาทั้งหมดแปดท่า ต่อหน้ารุ่นเยาว์ประมาณสิบกว่าคน หลังจากแสดงท่าฝึกเสร็จแล้วฉินจ้านก็เดินออกจากสนมฝึก ปล่อยให้รุ่นเยาว์เหล่านั้นฝึกฝนด้วยตนเอง และคอยจับตาดูรุ่นเยาว์ฝึกฝน สั่งสอนพวกเขาเกี่ยวกับข้อผิดพลาดของพวกเขาเป็นครั้งคราว
“ยกมือขึ้น อย่าขยับ!”
“เจ้ากำลังฝึกท่าขี่ม้าอยู่เหรอ สะโพกเปิดแบบนี้”
"หลังตรง!"
“เจ้านั่นแหละ! เจ้าเด็กอ้วนที่ใส่ชุดลายดอกไม้นั่น ท่าทางของเจ้าทำให้มันแข็งแรงหน่อย เจ้าเป็นผู้หญิงเหรอ”
เสียงคำรามของฉินจ้านดังขึ้นในสนามฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เป็นระยะๆ ซึ่งทำให้กลุ่มรุ่นเยาว์ที่มีอายุสิบแปดถึงสิบเก้าปีที่กำลังฝึกฝนความแข็งแกร่งของพวกเขาด้วยการยกหินขนาดใหญ่หัวเราะออกมา
พวกเขามองไปยังกลุ่มเด็กน้อยเหล่านี้ราวกับว่าพวกเขาเคยเห็นตัวเองเมื่อตอนที่พวกเขายังเด็ก
ซึ่งแตกต่างจากฉินยี่ เขาเดินจากไปอย่างเงียบๆ
หลังจากที่เขาจดจำท่าฝึกทั้งแปดได้แล้ว ข้อความก็ปรากฏขึ้นในหัวของเขาทันที สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และเขาเกือบที่จะส่งเสียงร้องตะโกนออกมา หลังจากนั้นเขาก็รีบเดินกลับไปบ้านทันที