ตอนที่ 142 โคมแก้วแห่งชีวิตและความตาย!
ในเวลาเดียวกันกับที่อาวุโสหลัวหยางจากไป ณ ส่วนลึกของนิกายสุริยันจันทร์ทรา ภายในวิหารบรรพบุรุษ ป้ายวิญญาณที่เป็นของอาวุโสหลัวหยางเกิดเสียงแตกดัง “แคร่ก” นั่นหมายถึงอาวุโสหลัวหยางได้สิ้นชีพแล้ว
“อะไรนะ?” อาวุโสของนิกายสุริยันจันทร์ทราที่รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวนี้ ผลักประตูออกมาและมองเห็นป้ายวิญญาณที่แตกเป็นเสี่ยง เขาตกใจจนพูดไม่ออกในทันที
“อาวุโสหลัวหยาง…เสียชีวิตไปแล้ว?”
“ใครทำ?” อาวุโสตะโกนด้วยความโกรธ เขารีบติดต่อเจ้านิกายสุริยันจันทร์ทรา
ไม่นาน เจ้านิกายสุริยันจันทร์ทราก็มาถึง เมื่อเห็นป้ายวิญญาณของอาวุโสหลัวหยางที่แตกเป็นเสี่ยง ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธ ดวงตาแฝงไปด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“ไปสืบมาให้ข้า อาวุโสหลัวหยางตายที่ไหน ต้องหาให้เจอ!”
“ถ้าหาไม่ได้ ก็ไม่ต้องกลับมา!”
เจ้านิกายสุริยันจันทร์ทราเต็มไปด้วยความโกรธ พลังกึ่งนักบุญลุกลามไปทั่ว ราวกับภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุ
“ขอรับ ข้าจะรีบไปสืบหา” อาวุโสก้มตัวคำนับและรีบถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่เพียงไม่นานเขาก็หันกลับมาอีกครั้ง
“ท่านเจ้าสำนัก พึ่งมีศิษย์รายงานเข้ามาว่า อาวุโสหลัวหยางเสียชีวิตที่เทือกเขาชางหลัน ขณะนี้ร่างยังคงอยู่ที่นั่น โดยมีอาวุโสของนิกายที่อยู่ในพื้นที่คอยเฝ้ารักษา เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเกิดความโลภ”
ร่างของระดับนักบุญถือเป็นของล้ำค่า หากไม่มีผู้แข็งแกร่งของนิกายสุริยันจันทร์ทรามาปกป้องไว้ อาจจะถูกใครบางคนช่วงชิงไปแล้ว
“ให้พวกเขาเฝ้าไว้ ข้าจะไปในภายหลัง” เจ้านิกายสุริยันจันทร์ทราหันหลังจากไปทันที เขาไม่ไปตรงนั้นทันที เพราะอีกฝ่ายกล้าลงมือกับคนของนิกายสุริยันจันทร์ทรา แสดงว่าอาจมีจุดประสงค์พิเศษ อาวุโสหลัวหยางยังถูกฆ่า หากเขาในฐานะกึ่งนักบุญถูกลอบโจมตีอีก คนต่อไปที่ตายอาจเป็นเขาเอง เพื่อความปลอดภัย เขาจึงต้องไปเชิญอาวุโสท่านหนึ่งออกมา
“ครั้งนี้ต้องเชิญผู้ที่แข็งแกร่งกว่านี้ ไม่เช่นนั้น แดนศักดิ์สิทธิ์เหย่ากวงคงไม่เห็นหัวนิกายสุริยันจันทร์ทราของข้าแน่”
เจ้านิกายสุริยันจันทร์ทราพูดพึมพำ และมุ่งหน้ามายังทางเข้าเขตบรรพบุรุษ
“ท่านเจ้าสำนัก” อาวุโสสองคนที่เฝ้าประตูทางเข้าก้มคำนับด้วยความเคารพ
“เฝ้าไว้ ข้าเข้าไปไม่นาน” เจ้านิกายสุริยันจันทร์ทราไม่แม้แต่จะมองพวกเขา และเดินเข้าสู่เขตบรรพบุรุษ ร่างกายของเขาหายวับไปทันที
สองอาวุโสมองหน้ากันและรู้ได้ทันทีว่าเหตุการณ์ไม่ธรรมดา
“ดูเหมือนท่านเจ้าสำนักจะโกรธมาก ใครกันที่ทำให้เขาโกรธ?”
“ภายนอกมีอาวุโสหลัวหยางอยู่แล้ว เจ้าสำนักถึงกับต้องไปเชิญอาวุโสในเขตบรรพบุรุษออกมาอีก หรือว่ามีเรื่องที่อาวุโสหลัวหยางยังแก้ไม่ได้?”
“รอดูเถิด อีกไม่นานคงรู้เอง”
“ไม่ว่าเรื่องจะใหญ่แค่ไหน สำหรับนิกายสุริยันจันทร์ทราของเรา ก็คงเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่ต้องใช้แรงมือเล็กน้อยแก้ไข ไม่มีทางที่นิกายเราจะแก้ปัญหาไม่ได้หรอก”
ทั้งสองคนยังคงเฝ้าประตูเขตบรรพบุรุษ ด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในศักยภาพของนิกายสุริยันจันทร์ทรา
…
ไม่นานที่ทางออกของเขตบรรพบุรุษ ร่างของหญิงสาวในชุดสีน้ำเงินก็ก้าวออกมา ยืนด้วยท่าทีสงบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชาและดวงตาสะท้อนความไม่พอใจเล็กน้อย
“คารวะท่านอาวุโส” อาวุโสสองคนรีบก้มคำนับ ไม่กล้าจะมองตรงไปที่หญิงสาวในชุดสีน้ำเงิน แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่านี่คืออาวุโสท่านใด แต่จากพลังที่ทรงพลังนี้ พวกเขาสามารถบอกได้ว่าเป็นอาวุโสที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอาวุโสหลัวหยาง
เจ้านิกายสุริยันจันทร์ทราเดินตามหลังออกมา เมื่อเห็นแผ่นหลังของหญิงสาวในชุดสีน้ำเงิน เขาเผยรอยยิ้มออกมานิดหนึ่ง
“เมื่อมีอาวุโสท่านนี้ออกหน้า ความเสี่ยงย่อมลดลงจนต่ำสุด”
เจ้านิกายสุริยันจันทร์ทราได้เชิญหญิงสาวในชุดสีน้ำเงินที่เป็นอาวุโสระดับราชานักบุญมีความแข็งแกร่งพอที่จะไร้เทียมทานในยุคนี้ แม้ว่าจะเป็นอาวุโสหมิงก็ยังต้องเป็นรอง แม้จะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่พลังต่างกันไปอีกหลายขั้น
“ท่านอาวุโสชิงหยวน ก่อนออกเดินทาง ข้าขอไปหยิบอาวุธจักรพรรดิมาสักชิ้น เพื่อให้แน่ใจว่ายังไงก็ปลอดภัย”
“ฝ่ายตรงข้ามที่จ้องมองนิกายเรา พลังของเขาไม่ทราบแน่ชัด แต่คงไม่อ่อนแอ หากมีอาวุธจักรพรรดิก็จะปลอดภัยขึ้น”
“แบบนี้ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไรก็สามารถถอยกลับมาได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าสำนัก หญิงสาวในชุดสีน้ำเงินหันมามองเขาเพียงครั้งเดียว เพียงแค่สายตาก็ทำให้เจ้านิกายสุริยันจันทร์ทราที่เป็นกึ่งนักบุญรู้สึกหนาวไปทั้งตัว
“ไปเอามา ข้าจะรอที่วิหารบรรพบุรุษ”
เจ้านิกายสุริยันจันทร์ทราพยักหน้าและรีบก้าวออกไปทันที
อาวุโสชิงหยวนมองไปยังแผ่นหลังของเจ้านิกายสุริยันจันทร์ทราแล้วแค่นเสียงเบาๆ ให้พกเอาอาวุธจักรพรรดิไปด้วย นี่หมายถึงว่าเขาไม่มีความมั่นใจในพลังของนางหรือ? นางเป็นถึงราชันนักบุญ พลังของนางในยุคสมัยนี้แม้จะไม่อาจกล่าวได้ว่าไร้เทียมทาน แต่ก็ถือว่าเป็นยอดแห่งปิรามิด ความปลอดภัยต้องได้รับการรับประกันแน่นอน แทบจะไม่มีใครสามารถคุกคามนางได้เลย แต่การที่เจ้านิกายสุริยันจันทร์ทราให้นางพกเอาอาวุธจักรพรรดิไปด้วย ก็เหมือนเป็นการตั้งคำถามในความสามารถของนาง ซึ่งทำให้นางไม่พอใจอย่างมาก
“เจ้านิกายสุริยันจันทร์ทราในยุคนี้ สายตาดูไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่” นี่คือคำวิจารณ์ที่นางมีต่อเจ้าสำนัก จากนั้นร่างของนางก็หายไป และปรากฏตัวอีกครั้งที่วิหารบรรพบุรุษ เมื่อเห็นป้ายวิญญาณของอาวุโสหลัวหยางที่แตกเป็นเสี่ยง และป้ายวิญญาณของอาวุโสหลัวหนิงที่แตกออกไปด้วยเช่นกัน ดวงตาของนางยิ่งเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ
“กล้าทำร้ายอาวุโสระดับนักบุญของนิกายข้า ข้าอยากจะเห็นนักว่าใครกันที่กล้าขนาดนี้!”
“ถ้าข้าจับได้ ข้าจะทำให้เจ้าตายไม่ได้ และอยู่ก็ไม่ได้!”
ในตอนนั้นเอง เจ้านิกายสุริยันจันทร์ทราก็มาถึง เขามีโคมแก้วลอยอยู่เหนือศีรษะ เมื่อเห็นโคมนี้ อาวุโสชิงหยวนยิ่งไม่พอใจขึ้นไปอีก
“เจ้ายังกล้าเอาโคมแก้วแห่งชีวิตและความตายออกมาอีกเหรอ?”
โคมแก้วแห่งชีวิตและความตายเป็นหนึ่งในอาวุธจักรพรรดิที่ทรงพลังที่สุดของเจ้านิกายสุริยันจันทร์ทรา ครั้งหนึ่งเคยเป็นของอัจฉริยะระดับสูงของนิกายที่เสียชีวิตไปแล้ว มันมีพลังที่น่ากลัวและมีข่าวลือว่ามันสามารถควบคุมชีวิตและความตายของผู้ฝึกตนได้ พลังสามารถส่งวิญญาณของคนไปสู่ภพชาติใหม่ได้!
เจ้านิกายสุริยันจันทร์ทราดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นความไม่พอใจของอาวุโสชิงหยวน เขาพูดไปตามเรื่อง “ท่านอาวุโสไม่รู้หรอก ช่วงนี้มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นมากมาย”
“เพื่อความปลอดภัย ยังไงก็ต้องพกโคมแก้วแห่งชีวิตและความตายไปด้วย เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่มีอันตราย”
โคมแก้วแห่งชีวิตและความตายเล่าลือว่าสามารถทำให้ผู้ฝึกตนมีโอกาสเกิดใหม่ได้สักครั้ง พลังของมันน่ากลัวอย่างยิ่ง เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับภารกิจในครั้งนี้
“ฮึ ไปเถอะ” อาวุโสชิงหยวนไม่อยากจะพูดอะไรมาก นางโบกมือหยิบเอาโคมแก้วแห่งชีวิตและความตายเก็บไปก่อนจะหายตัวไป เจ้านิกายสุริยันจันทร์ทราก็รีบตามไปอย่างรวดเร็ว
...
เทือกเขาชางหลัน เรือเหาะลำหนึ่งลงจอด พลังอันน่าสะพรึงกลัวปล่อยออกมาจากเรือเหาะ ทำให้ผู้ฝึกตนที่ยืนมุงอยู่รอบๆ กระเด็นถอยหลังไปทันที
“เป็นเรือเหาะของราชันนักบุญใครอยู่ในนั้นกัน?”
“ต้องคิดอะไรนักล่ะ แน่นอนว่าต้องเป็นคนใหญ่คนโตของนิกายสุริยันจันทร์ทราที่มา!”
“จากพลังที่สัมผัสได้เมื่อครู่ คนใหญ่คนโตท่านนี้เกรงว่าจะมีพลังที่เหนือกว่านักบุญทั่วไปเสียอีก”
“สมแล้วที่เป็นนิกายระดับสูง ในยุคสมัยนี้นักบุญก็ดูเหมือนจะมีมามากมาย เรียกระดับนักบุญออกมาราวกับเป็นเรื่องง่ายดาย”
การมาของเรือเหาะลำนี้สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คนเป็นอย่างมาก ในยุคนี้นักบุญนั้นหายากยิ่ง และราชันนักบุญหายากยิ่งไม่มีใครเคยพบเห็น บางคนอาจจะไม่เคยพบเจอผู้ที่มีพลังระดับนี้เลยตลอดชีวิต
เจ้านิกายสุริยันจันทร์ทราสวมชุดคลุมนิกายสุริยันจันทร์ทราเดินออกมาจากเรือเหาะ เมื่อมองเห็นร่างของอาวุโสหลัวหยางที่แยกออกจากกัน ใบหน้าของเขาก็เย็นชาราวกับน้ำแข็ง และเขาเบี่ยงตัวออกไปข้างๆ
อาวุโสชิงหยวนเดินออกมา เมื่อมองเห็นผู้ฝึกตนที่มุงดูอยู่รอบๆ นางแค่นเสียง “แค่พวกมดปลวก”
พร้อมกับความเหยียดหยาม อาวุโสชิงหยวนเดินไปยังศพของอาวุโสหลัวหยาง
“ช่างขายหน้าจริงๆ อาวุโสของนิกายสุริยันจันทร์ทราอย่างเจ้า กลับมาตายอยู่ที่สถานที่ที่ไม่มีแม้แต่นกบินเช่นนี้”
พูดจบ นางก็เริ่มใช้พลังในการทำนาย จับเส้นสายโชคชะตา เส้นแห่งกรรมที่อยู่รอบๆ ราชันนักบุญปล่อยพลังอันทรงพลานุภาพออกมา ทำให้ผู้ที่ยืนมุงอยู่รอบๆ ต่างต้องถอยห่างออกไปอีกครั้ง
“เห็นได้ชัดว่ามีการเตรียมตัวมาอย่างดี” อาวุโสชิงหยวนไม่สามารถทำนายผลลัพธ์ได้ เหตุเพราะเส้นสายแห่งกรรมทั้งหมดได้ถูกจัดการเคลียร์ออกไป ผู้ที่ทำเรื่องนี้ได้ พลังของเขาอาจไม่ด้อยไปกว่านางเลย
อาวุโสชิงหยวนจริงจังขึ้นมา นางนำโคมแก้วแห่งชีวิตและความตายออกมา กฎจักรพรรดิแห่งอาวุธแผ่ซ่านไปทั่วสี่ทิศทาง ไม่นานนัก กฎจักรพรรดิอีกชุดหนึ่งก็ถูกดึงออกมา
“นี่มัน...พลังของกระจกศักดิ์สิทธิ์แห่งตะวันออก!”
ไม่ไกลกัน เจ้านิกายสุริยันจันทร์ทรามีสีหน้าที่เย็นชาลง เขาจำได้ว่ากฎจักรพรรดินี้เป็นของอาวุธจักรพรรดิชิ้นใด นั่นคืออาวุธสูงสุดของตระกูลโบราณแห่งตะวันออก — กระจกศักดิ์สิทธิ์แห่งตะวันออกตงฟาง!