บทที่ 147 การเจรจา
“สุราพิษอย่างนั้นหรือ?”
เฉินโม่เปิดวงแหวนมิติที่ดึงมาจากนิ้วของกวนอิ๋ง แล้วยื่นไปให้เธอดู
“อยู่ในเหยือกสีน้ำตาลนั่นแหละ”
แหวนมิตินั้นต้องใช้เลือดผนึกเพื่อระบุตัวเจ้าของ
โดยปกติแล้ว ถ้าไม่ใช่ผู้ฝึกตนในขั้นสร้างรากฐาน ก็ยากที่จะลบตราผนึกที่ผู้ฝึกตนในขั้นฝึกปราณทำไว้ได้
กวนอิ๋งใช้พลังลมปราณส่งเข้าไปในแหวนมิติ และหยิบขวดสุราที่จะใช้วางยาพิษเฉินโม่ออกมา
แต่ตอนนี้...ทุกอย่างมันสายไปแล้ว
เฉินโม่เปิดขวด จู่ๆ กลิ่นหอมของสุราก็ฟุ้งกระจายออกมา
ถ้าไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน คงยากที่จะดมกลิ่นและรู้ว่านี่คือสุราพิษ
“ถ้าดื่มเข้าไปจะเป็นอย่างไร?”
“ภายในครึ่งชั่วยาม ร่างกายจะอ่อนแรงจนแทบไม่สามารถต่อต้านได้เลย” กวนอิ๋งตอบอย่างรวดเร็ว
เธอถูกข่มขู่จนไม่กล้าแม้แต่จะปิดบังความจริงใดๆ และได้บอกเรื่องราวทั้งหมดไปแล้ว
เฉินโม่ปิดฝาขวดและมองไปที่ขวดสุราพิษในมือ ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ความเงียบในขณะนี้ทำให้กวนอิ๋งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ เพราะกลัวว่าเฉินโม่อาจกำลังคิดหาวิธีทรมานเธอมากกว่าเดิม
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินโม่พูดขึ้นว่า “เจ้าหาทางให้เยี่ยนหรงหลินดื่มสุรานี้สิ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป”
ในพริบตา กวนอิ๋งมีแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง แต่ไม่นานนักแววตานั้นก็หม่นหมองลง “เขาไม่ได้เป็นคนง่ายๆ อย่างที่คิด”
“โอ้?”
คำพูดนั้นทำให้เฉินโม่สนใจทันที
จากนั้น กวนอิ๋งก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมด รวมถึงเรื่องที่เธอถูกข่มขืนให้เฉินโม่ฟังอย่างละเอียด
ตอนนี้เฉินโม่ถึงได้ตระหนักว่าคนอย่างเยี่ยนหรงหลินนั้น เป็นคนที่กล้าและมีความรอบคอบมาก พร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
“มิน่าล่ะ ดูยังไงก็ไม่ใช่คนดีเลยสักนิด” เฉินโม่พึมพำกับตัวเอง
ในใจของกวนอิ๋งตอนนี้กลับมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา: เจ้าต่างหากที่ดูไม่เหมือนคนดีมากกว่า
เธอไม่กล้าพูดออกมา และพยายามให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ หวังว่าเฉินโม่จะใจดีและปล่อยเธอไป แม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นน้อยมาก
“เฮ้อ” เฉินโม่ถอนหายใจ
เมื่อเห็นเฉินโม่ส่ายหัว กวนอิ๋งก็ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม
“จริงๆ ข้าตั้งใจจะให้โอกาสเจ้ามีชีวิตรอด แต่ตอนนี้ดูท่าว่าจะไม่ได้แล้ว”
เมื่อกระบี่หยุนฉิงเล็งไปที่คอของกวนอิ๋ง ความปรารถนาที่จะรอดชีวิตก็เอาชนะความกลัวของเธอ
“ข้าไปเอง ข้าจะไป!”
“อย่างนี้ค่อยดีหน่อย”
เฉินโม่ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็อุ้มเธอกลับเข้าไปในบ้าน ใช้ผ้าขาวพันแผลบริเวณแขนและขาของเธออย่างระมัดระวัง และสวมเสื้อผ้าให้เธอใหม่ ซึ่งเป็นชุดของผู้ชาย
เขาใช้เชือกมัดเธอหลายชั้นอย่างแน่นหนา ก่อนจะกลับไปพักผ่อน
รุ่งเช้า เฉินโม่มองไปที่กวนอิ๋งที่กำลังงัวเงีย แล้วใช้กระบี่เคาะเบาๆ เพื่อปลุกเธอ “ตื่นได้แล้ว ข้าต้องไปให้อาหารหมู”
“...” กวนอิ๋งที่ยังงุนงงไม่เข้าใจว่าเฉินโม่พูดอะไร
แต่เมื่อได้ยินคำว่า “ให้อาหารหมู” ตัวของเธอก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที
“ข้าสัญญากับเจ้าแล้ว…”
ยังพูดไม่ทันจบ เฉินโม่ก็หิ้วถังข้าวสารซื่อหมี่ออกไปข้างนอกแล้ว
“...เขาไปให้อาหารหมูจริงๆ หรือ?”
ในใจของกวนอิ๋งเต็มไปด้วยความสับสน เธออยากตายเพื่อตัดขาดความทรมานทางกายและจิตใจที่เฉินโม่มอบให้ แต่ความปรารถนาที่จะมีชีวิตทำให้เธอต้องอดทนต่อไป
ถ้าเลือกได้ ใครจะอยากตายล่ะ?
ทันทีที่เฉินโม่ออกจากบ้าน เจ้าไก่หัวแข็งที่ซ่อนตัวมาทั้งคืนก็ออกมาหาเขา พร้อมท่าทางโอ้อวด
“ก๊อก! ก๊อก!”
ครั้งนี้ เฉินโม่ไม่หวงคำชม
“ดีมาก อย่างน้อยเจ้าก็รู้จักช่วยเตือนภัย”
เขาลูบหัวเจ้าไก่เป็นการแสดงความพอใจ
เฉินโม่รู้ดีว่าไก่วิญญาณตัวนี้ที่มีพลังระดับหนึ่งขั้นสองคงไม่สามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนขั้นฝึกปราณห้าได้
แต่จากสถานการณ์ที่ผ่านมา หากไม่มีภัยคุกคาม เจ้าไก่ตัวนี้ก็จะหลบอยู่ตลอด และการหลบของมันก็แค่หลอกตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้เมื่อมีคนมาลอบสังหาร มันก็ยังเสี่ยงชีวิตออกมาเตือนเขา แม้ว่าจะไม่ค่อยมีประโยชน์นักก็ตาม!
“ก๊อก! ก๊อก!”
เฉินโม่เดินไปยังคอกไก่ เทข้าวซื่อหมี่ผสมกับใบชิงเย่หลานและใบหวงหลิงเฉ่าฮวา แต่ทันใดนั้น กลิ่นอายแห่งชีวิตบางอย่างก็ดึงดูดความสนใจของเขา
“หืม?”
เขากระโดดข้ามเข้าไปในคอกไก่
ทันใดนั้น เขาก็เห็นหัวเล็กๆ สี่หัวที่มีขนาดเพียงเท่าฝ่ามือ โผล่ออกมา
ดวงตานูนใหญ่ เบ้าตาลึก และมีจุดสีเทาขาวห้าแห่งบนหัว!
เป็นจิ้งจกห้ายอด!
จิ้งจกห้ายอดทั้งสี่ตัวฟักออกจากไข่แล้ว!
จิ้งจกน้อยเหล่านี้เมื่อเห็นเฉินโม่ก็รีบหดหัวกลับไปซ่อนใต้แม่ไก่อย่างรวดเร็ว ไม่กล้าออกมา
“ฟักเร็วขนาดนี้เลยหรือ?”
ภาพนี้เกินความคาดหมายของเฉินโม่อย่างมาก
เมื่อเป็นเช่นนี้ การจัดหาที่เลี้ยงสำหรับจิ้งจกห้ายอดโดยเฉพาะจึงกลายเป็นเรื่องเร่งด่วน
เฉินโม่ไม่ต้องการให้เกิดโศกนาฏกรรมแบบครั้งก่อนอีก
ตอนนี้เขามีไก่ 24 ตัว หมู 6 ตัว แกะ 3 ตัว และวัว 1 ตัว
เขาไม่ต้องการเสียไปอีกโดยไม่ทันได้กินหรือขายเลยสักตัว!
“ดูแลพวกตัวเล็กๆ เหล่านี้ด้วยล่ะ จำไว้นะ! ถ้าเจ้ากล้ากินพวกมัน อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”
เฉินโม่เตือนอย่างจริงจัง เขาวางแผนจะจ้างคนมาสร้างคอกสำหรับจิ้งจกห้ายอดในอีกสองสามวันนี้ และสถานที่นั้นต้องต่างจากที่เลี้ยงสัตว์วิญญาณอื่นๆ
หลังจากให้อาหารสัตว์เสร็จ เขาก็ใช้เวลาเพียงครู่หนึ่งในการกำจัดวัชพืชในไร่
จากนั้นก็เรียกฝนให้ตก
หลังจากทำงานจนถึงเที่ยงวัน เฉินโม่ก็กลับเข้าบ้าน แล้วอุ้มกวนอิ๋งไปที่ครัว
แล้วก็ทำอาหารกลางวัน
เมื่อเขานั่งกิน
ข้าววิญญาณและกับข้าวที่ปรุงอย่างดี กวนอิ๋งก็ก็กลืนน้ำลายอย่างห้ามไม่ได้
‘นี่มันใช่สิ่งที่ชาวนาวิญญาณควรกินเหรอ?’
‘ดูท่าจะกินดีกว่าหัวหน้าตลาดเสียอีก!’
เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเฉินโม่ถึงไม่ยอมให้เธอไปจัดการเยี่ยนหรงหลิน แต่กลับขังเธอไว้ที่นี่โดยไม่บอกอะไรหรือเรียกร้องอะไรเลย
หลังจากกินอิ่มแล้ว เฉินโม่ก็ไม่เก็บจานชาม แต่เลือกนั่งสมาธิฝึกฝนต่อ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วถึงยามบ่าย
หงเยี่ยนมาถึงตามเวลา
เมื่อเธอเห็นผู้หญิงที่นั่งอยู่ในห้อง หน้าตางดงามไม่แพ้เธอ แต่กลับขาดแขนขาไปข้างหนึ่ง ใจของหงเยี่ยนเต็มไปด้วยคำถาม
อย่างไรก็ตาม เฉินโม่ไม่ได้คิดจะอธิบายอะไร และหงเยี่ยนก็ไม่ได้ถามอะไรเช่นกัน
ไม่นานนัก ทั้งคู่ก็เริ่มเรียนการดีดกู่ฉินต่อหน้ากวนอิ๋ง
กวนอิ๋งที่มาจากจินหลิงฟางรู้สึกว่ามันช่างเป็นภาพที่น่าหัวเราะเยาะเสียเหลือเกิน
เธอไม่สามารถเชื่อมโยงความทรงจำที่น่าหวาดกลัวของเมื่อวานกับสิ่งที่เห็นในวันนี้ได้เลย
ให้อาหารหมู ทำอาหาร ฝึกฝน เล่นดนตรี...ทุกอย่างดูปกติจนไม่น่าเชื่อ!
ในความสับสนของเธอ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว: บางที ถ้าไม่มีพวกเธอ เขาก็คงจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดีอยู่แล้ว!
ในที่สุด หนึ่งชั่วยามก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เฉินโม่ถอนตัวออกจากภวังค์แห่งเสียงเพลง จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่กวนอิ๋งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วพูดว่า
“เธอเป็นคนจากจินหลิงฟางที่ถูกส่งมาฆ่าข้า เยี่ยนหรงหลินก็เป็นคนที่พวกเธอจ่ายเงินซื้อมาเหมือนกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของหงเยี่ยนก็เบิกกว้าง เรื่องราวในวันนั้นที่เกือบลืมไปแล้วพลันกลับมาชัดเจนอีกครั้ง
“เจ้ามีอะไรที่สามารถทำให้คนกินเข้าไปแล้วเชื่อฟัง...อืม หรือบางอย่างที่ไม่มีทางแก้ และทำให้ตายอย่างทรมานไหม?”
(จบบท)
(จากผู้แปล) ลงอีกรอบนึง ตอน 19.00 เป็นต้นไปนะครับ :)