ตอนที่ 8 พรสวรรค์ระดับ S [เปลวอัคคี] !
ตอนที่ 8 พรสวรรค์ระดับ S [เปลวอัคคี] !
“[เนตรหยั่งรู้] ทักษะระดับตำนานนี่มันสุดยอดจริงๆ ช่วยฉันได้มาก”
ยิ่งได้ศึกษา [เนตรหยั่งรู้] มากเท่าไหร่ ไป๋จื่ออันก็ยิ่งดีใจมากขึ้นเท่านั้น
เพราะพลังของมันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อมาก มันจะต้องช่วยเหลือเขาในเส้นทางการเป็นผู้ใช้สัตว์วิญญาณได้แน่
เพราะแบบนั้น ไป๋จื่ออันจึงไม่สนใจสิ่งอื่นใด เขาทุ่มเทให้กับการศึกษา [เนตรหยั่งรู้] อย่างเต็มที่
ทว่า ทันใดนั้น ภายในหอปลุกพลังก็มีเสียงร้องของหงส์ไฟดังกึกก้อง
ขณะเดียวกัน หงส์ไฟที่ก่อตัวขึ้นจากเปลวเพลิงก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
สัตว์ปีกและสัตว์วิญญาณต่างๆ ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงต่างพากันหวาดกลัว พวกมันหมอบลงกับพื้น ร่างกายสั่นเทา ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัว
“เสียงร้องของหงส์ เปลวเพลิงรูปร่างหงส์ไฟ นี่มัน… นิมิตพรสวรรค์ของ [เปลวอัคคี] พรสวรรค์ระดับ S ดูเหมือนว่าคนของตระกูลเฟิ่งรุ่นนี้จะไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
ไป๋จิ้งฉงพูดพึมพำกับตัวเอง ดวงตาของเขาเป็นประกาย
“พรสวรรค์ระดับ S [เปลวอัคคี] นั่นมันพรสวรรค์ของยัยนกย่างงั้นเหรอ? ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเธอจะทำได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของปู่ ไป๋จื่ออันก็คาดเดาได้ทันที
ต้องเป็นเฟิ่งเชียนหวี่อย่างแน่นอน
เพราะครั้งนี้ เธอเป็นเพียงคนเดียวจากตระกูลเฟิ่งที่เข้าร่วมพิธี
พูดง่ายๆ ก็คือ เฟิ่งเชียนหวี่ปลุกพรสวรรค์การต่อสู้ระดับ S ได้สำเร็จ
เรื่องนี้ทำให้ไป๋จื่ออันรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
ถึงแม้ว่าเขาจะชอบเรียกเฟิ่งเชียนหวี่ว่า “ยัยนกย่าง” และมักจะหาเรื่องแกล้งเธออยู่บ่อยๆ แต่เขาก็รู้ว่า เด็กสาวคนนี้ไม่ธรรมดา เธอมั่นใจในตัวเองมากราวกับว่าตัวเองเป็นหงส์ที่อยู่เหนือกว่าใครๆ
และตอนนี้ เฟิ่งเชียนหวี่ก็กลายเป็นหงส์จริงๆ เธอปลุกพลังพรสวรรค์ที่เกี่ยวข้องกับหงส์ไฟได้สำเร็จแล้ว!
แบบนี้ ต่อไปเขาคงแกล้งเธอไม่ได้อีกแล้ว
ไป๋จื่ออันไม่ได้ลืมเรื่องพนันที่เคยตกลงกันไว้
นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขายังอยู่ที่จัตุรัสปลุกพลังจนถึงตอนนี้
ตอนแรก เขาตั้งใจที่จะ “อวด” ให้เฟิ่งเชียนหวี่เห็น เขาอยากเห็นสีหน้าตกตะลึงของเธอ
แต่ตอนนี้ ทั้งคู่ต่างก็ “ปลุก” พรสวรรค์ระดับ S ได้สำเร็จ การเดิมพันครั้งนี้จึงถือว่าเสมอกัน
แน่นอนว่าถ้าหากเขาเปิดเผยพรสวรรค์ที่แท้จริงของตัวเองออกไป เขาจะต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน
แต่เพื่อที่จะชนะพนันแค่นี้ เขาต้องถึงกับเปิดเผยพรสวรรค์ระดับตำนานเชียวเหรอ?
ไป๋จื่ออันไม่โง่พอที่จะทำแบบนั้นหรอกนะ
“ไม่สนุกเลยคุณปู่ งั้นผมกลับบ้านก่อนนะครับ”
ไป๋จื่ออันหันไปบอกกับไป๋จิ้งฉง
ในเมื่อไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อ
แน่นอน ถ้าหากเขาอยู่ต่อ เขาย่อมต้องได้รับผลประโยชน์มากมายแน่
อย่างเช่น การที่ครูใหญ่ให้รางวัลกับตัวเขา
เพราะไป๋จื่ออันเป็นถึงผู้มีพรสวรรค์ระดับ S เขาได้สร้างสถิติใหม่ให้กับโรงเรียน
แต่สำหรับไป๋จื่ออัน เขาไม่ได้สนใจรางวัลจากครูใหญ่สักเท่าไหร่
เพราะครูใหญ่เป็นแค่ผู้ใช้สัตว์วิญญาณระดับเงิน สมบัติของเขาก็คงไม่ได้มีค่าอะไรมากมายนัก
ถ้าพูดถึงสมบัติ สมบัติในจวนเจ้าเมืองย่อมต้องมีค่ามากกว่าที่ใครๆ มีอย่างไม่ต้องสงสัย
นี่คือความแตกต่างระหว่าง ลูกหลานผู้ใช้สัตว์วิญญาณระดับเพชร กับผู้ใช้สัตว์วิญญาณระดับเงิน!
ที่สำคัญ ไป๋จื่ออันไม่ชอบเข้าสังคม
พอพิธีจบ ข่าวเรื่องที่เขา “ปลุก” พรสวรรค์ระดับ S ก็คงจะแพร่สะพัดไปทั่ว
เมื่อถึงเวลานั้น เพื่อนร่วมชั้น ครู อาจารย์ รวมไปถึงเหล่าขุนนางและผู้มีอำนาจ ทุกคนต้องแห่กันมาหาเขาแน่ๆ
งานเลี้ยงแบบนั้น คงน่ารำคาญน่าดู
ดังนั้น เขาควรจะรีบกลับไป แล้วตั้งใจศึกษา [เนตรหยั่งรู้] ให้มากกว่านี้ดีกว่า
“อืม กลับไปก็ตั้งใจฝึกฝนล่ะ”
“รับนี่ไป นี่ก็คือกุญแจห้องสมบัติ เจ้าจงไปที่นั่นแล้วเลือกเอาผลึกหลิงปี้มาสักหน่อย มันน่าจะมีประโยชน์ต่อการสร้างมิติสัตว์วิญญาณ”
“แล้วก็ พาไป๋จือกับไป๋เส้าไปด้วยล่ะ อย่าออกไปคนเดียวเชียว”
ไป๋จิ้งฉงพยักหน้าเล็กน้อย เขากำชับหลานชาย
“ขอบคุณครับคุณปู่”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ไป๋จื่ออันก็ดีใจจนเนื้อเต้น เขารีบกล่าวขอบคุณไป๋จิ้งฉง
ผลึกหลิงปี้!
นี่คือสมบัติล้ำค่า ภายในผลึกอัดแน่นไปด้วยพลังของกำแพงมิติ มันเป็นพลังที่มีประโยชน์ต่อการสร้างมิติสัตว์วิญญาณ
โดยปกติ ผู้ใช้สัตว์วิญญาณจะใช้ผลึกลิงปี้ก็ต่อเมื่อต้องการทะลวงขีดจำกัด เพื่อยกระดับพลังของตนเองเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยสรรพคุณอันน่าทึ่งที่มี ราคาของผลึกลิงปี้ในท้องตลาดจึงสูงมาก อย่างต่ำๆ ก็ต้องมีมูลค่าถึงหนึ่งล้านเหรียญ
ไม่เพียงเท่านั้น สมบัติล้ำค่าแบบนี้มักจะต้องแลกมาด้วยชีวิต
นี่แสดงให้เห็นว่าผลึกลิงปี้นั้นมีค่ามากเพียงใด
แม้แต่ผู้ใช้สัตว์วิญญาณระดับสูงก็ยังหาผลึกลิงปี้ได้ยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเอามันมาสร้างมิติสัตว์วิญญาณ เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!
การทำแบบนั้นไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่มันคือการสิ้นเปลือง!
แต่ตอนนี้ ไป๋จิ้งฉงกลับอนุญาตให้เขาใช้ผลึกลิงปี้ ก็เพื่อประหยัดเวลาในการสร้างมิติสัตว์วิญญาณ
เรื่องแบบนี้ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนสำหรับผู้ใช้สัตว์วิญญาณทั่วไป!
ส่วนไป๋จือกับไป๋เส้าที่ไป๋จิ้งฉงพูดถึง ก็คือองครักษ์ประจำตระกูลไป๋ ทั้งคู่เป็นผู้ใช้สัตว์วิญญาณระดับทอง แข็งแกร่งมาก และยังเป็นมือขวาของไป๋จิ้งฉงอีกด้วย
แต่ตอนนี้ ไป๋จิ้งฉงกลับให้คนของเขามาคอยคุ้มกันหลานชาย
ก็ไม่แปลกอะไร ในเมื่อตอนนี้ ไป๋จื่ออัน “ปลุก” พรสวรรค์ระดับ S สำเร็จแล้ว เขาได้กลายเป็นอัจฉริยะที่ส่องสว่างที่สุดในมิติลับหมื่นรังไหมไปเรียบร้อยแล้ว
อาจจะมีคนคิดไม่ดีกับเขา แอบซุ่มโจมตีเขาอยู่ก็เป็นได้
แต่ในเมื่อไป๋จือและไป๋เส้าคอยคุ้มกัน ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของเขาอีกต่อไป
ทั้งทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการฝึกฝน และการคุ้มกัน ไป๋จิ้งฉงก็จัดการให้ทุกอย่างแล้ว
ไป๋จื่ออันไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น เขาแค่ตั้งใจฝึกฝนก็พอ
นี่แหละ คือข้อดีของการมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง!
เพราะแบบนั้น ไป๋จื่ออันถึงได้ดีใจนัก
หลังจากนั้น ไป๋จื่ออันก็กล่าวลาไป๋จิ้งฉง ภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์ เขาจึงเดินทางกลับไปยังจวนเจ้าเมือง