ก้าวข้ามความว่างเปล่า (5)
[แปลโดยแฟนเพจ ยักษาแปร มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอน แต่จะราคาแพงที่สุด]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ100คน ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบไม่มีการแก้คำผิด และยิบย่อยมากมาย ไปนั่นแหละ]
<เรื่องราวของอารอน ตอนที่ 47>
6. ก้าวข้ามความว่างเปล่า (5)
*****
เด็กสาวโค้งคำนับพร้อมกับยิ้มอย่างสดใส
"ฉันชื่อนิฮาคุค่ะ! โอ้ ได้เจอคนที่เคยได้ยินแต่ชื่อฉันดีใจมากๆ เลยค่ะ พี่ๆ!"
นิฮาคุยิ้มกว้าง
สมาชิกคนสุดท้ายที่มาเติมเต็มปาร์ตี้ที่ 1
และแล้ว สมาชิกของปาร์ตี้ที่1 ทั้ง 5 คนของเนลม์ไฮมฟ์ที่ดำเนินต่อไปจนถึงที่สุดก็เสร็จสมบูรณ์
เซริส
ยูเน็ต
รีเจียน
มูเด็น
นิฮาคุ
ในช่วงแรก สมาชิกของปาร์ตี้ที่ 1 ต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเองสูง
พวกเขามักจะทะเลาะและต่อสู้กัน
"ถ้าตามไม่ทัน ก็จบแค่นั้นแหละ"
นักดาบไร้หัวใจอย่างรีเจียน
"จะเสียสละให้ปาร์ตี้อื่นเพื่อทำภารกิจสำเร็จงั้นเหรอ?"
"แล้วไง? นี่คือคำสั่งของนายท่านนะ"
"ต้องมีวิธีการที่ดีกว่านี้อยู่แล้ว"
"นั่นมันก็แค่ความคิดของนายไม่ใช่เหรอ?"
เซริส ผู้ต้องการลดจำนวนการเสียสละของฮีโร่ให้น้อยที่สุด และรีเจียนผู้ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและความเร็ว มักจะมีปัญหาขัดแย้งกันไม่หยุดหย่อน
สมาชิกคนอื่นๆ ก็เช่นกัน
ยูเน็ตที่ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็น และนิฮาคุที่ยังเด็กและไร้เดียงสา ก็เข้ามามีส่วนร่วม ทำให้ปาร์ตี้ที่ 1 ไม่เคยสงบสุข
"ทำไมยูเน็ตไม่เคยพูดอะไรเลยล่ะคะ?"
"ยังไงซะ ต่อให้ฉันพูดไป ก็ไม่มีใครฟังอยู่ดี"
"งั้นเหรอ กลยุทธ์ของนักเวทย์ที่เอาแต่หมกตัวอยู่กับหนังสือทั้งวัน คงไม่มีประโยชน์ในสถานการณ์จริงสินะ"
ช่วงแรกี่ก่อตั้งปาร์ตี้
พวกเขามีความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
'ทำไมพวกเขาถึงเป็นแบบนี้?'
เด็กชายครุ่นคิด
คำตอบก็ปรากฏขึ้นในไม่ช้า
เพราะเขาเฝ้ามองดูมนุษย์มาโดยตลอด
'เพราะพวกเขาบาดเจ็บ'
ครั้งหนึ่ง สมาชิกทุกคนเคยอยู่ในปาร์ตี้อื่น
และทุกคน ผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดมา ทำให้สูญเสียเพื่อนและสหายร่วมรบไป
'พวกเขาปิดใจตัวเองไปแล้วสินะ'
ถ้ายังไงก็ต้องตายจากไป
ก็ไม่ร่วมมือกันตั้งแต่แรกดีกว่า
เพราะแบบนั้นจะไม่เจ็บปวด
'เพราะไม่อยากรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการสูญเสียอีก'
พวกเขาจึงจงใจไม่เข้าใกล้กัน
ไม่พยายามเข้าหากัน
แยกกันอยู่คนละกลุ่มอย่างชัดเจน
มีเพียงเด็กชายเท่านั้นที่มองเห็น
เพราะไร้หัวใจ เด็กชายจึงสามารถมองทะลุจิตใจของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
เมื่อเห็นเพื่อนร่วมทีมโต้เถียงกันอย่างดุเดือดในห้องประชุม เด็กชายก็คิด
'น่าเบื่อชะมัด'
เด็กชายจึงก้าวออกมาและพูดว่า
"พวกเรา มาจัดปาร์ตี้กันไหม? ฉันเบื่อแล้ว"
"...."
"ก่อกองไฟให้สวยงาม แล้วก็ย่างไก่เสียบไม้คนละไม้ แล้วระบายความในใจออกมาไงล่ะดีไหม? เล่าเรื่องเก่าๆ ก็ได้"
"นายบ้าไปแล้วหรือไง?"
"ฉันไม่ได้บ้า ฉันพูดจริงนะ"
เด็กชายพูดพร้อมกับยิ้มรอยยิ้ม
“หรือจะทะเลาะกันระหว่างทำภารกิจ แล้วตายๆไปด้วยกันหมดดีล่ะ? จะเถียงกันไปมาว่าใครถูกใครผิดแบบนี้เหรอ?”
"...."
"ใช่มั้ย เซริส?"
เซริสหลับตาลง
"เข้าใจแล้ว พวกเราคงต้องทำความรู้จักกันให้มากขึ้นกว่านี้"
"ดีๆ เดี๋ยวฉันช่วยเอง อย่าเสียงดังกันนักล่ะ"
เวลาผ่านไปอีกครั้ง
ภายใต้การประสานงานของเด็กชาย การโต้เถียงในปาร์ตี้ที่ 1 เริ่มจางหายไป
ระบบภารกิจเริ่มเข้าที่ และประสิทธิภาพในการต่อสู้ก็เพิ่มขึ้น
'เฮ้อ รับงานน่าเบื่อมาทำซะแล้ว'
เด็กชายทำหน้าที่เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยความคิดเห็นของสมาชิกที่มีบุคลิกต่างกัน
"ฝากบอกเซริสด้วยว่า ถ้ายังออกคำสั่งแบบคลุมเครืออีกฉันจะฆ่าเธอ"
"เอ่อ เซริส รีเจียนบอกว่าอยากให้เธอออกคำสั่งให้ชัดเจนกว่านี้หน่อย"
"บอกรีเจียนไปว่า ถ้ามันยังทำอะไรตามใจตัวเองอีกครั้งเดียว ฉันจะขอให้นายท่านจับเขาขังเดี่ยว"
"เอ่อ รีเจียน เซริสบอกว่าอยากให้นายให้ความร่วมมือกับทีมมากกว่านี้หน่อย"
เด็กชายทำหน้าที่เป็นกาว
เป็นกาวที่เชื่อมสิ่งที่ไม่เข้าใจกันให้เชื่อมต่อติดกัน
เด็กชายคิดเช่นนั้นขณะที่ไกล่เกลี่ยความไม่เข้าใจระหว่างสมาชิกในปาร์ตี้
'ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ด้วยนะ'
เพราะสงสารพวกเขาที่เข้ากันไม่ได้งั้นเหรอ?
"คุณมูเด็นดูเหนื่อยมากเลยนะคะ"
"ใช่ เหนื่อยมากเลย"
ต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่ปาร์ตี้ที่ 1 จะสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นโดยที่เด็กชายไม่ต้องเข้าไปช่วย
"มูเด็น"
ทันใดนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าเด็กชาย
“จำฉันได้ไหม?”
เด็กหญิงคนนี้เป็นหนึ่งในสมาชิกในยุคแรกๆ
ตอนนี้เธอทำงานเป็นแม่ครัวอยู่ที่ชั้นบน
นานมาแล้ว ในช่วงแรกของเนลม์ไฮมฟ์ ทั้งคู่เคยเป็นเพื่อนร่วมทีมกัน
"ขอโทษนะที่เรียกนายมาทั้งที่นายยุ่งๆ"
"มีอะไรเหรอ?"
"แค่สงสัยน่ะ"
เด็กสาวถาม
ว่าเด็กชายแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร
มีวิธีไหนที่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของพรสวรรค์ได้
"ฉันพอใจกับการเป็นแม่ครัวนะ แต่ถึงอย่างนั้น..."
เธอต้องการที่จะต่อสู้
เธอต้องการปกป้องคนที่มีค่าของเธอด้วยความแข็งแกร่งของเธอเอง
เด็กสาวพูด
"ฉันอ่อนแอ ฉันแข็งแกร่งขึ้นไม่ได้"
เธอไม่มีพรสวรรค์
ร่างกายและจิตใจก็ไม่พร้อม
แม้ว่าเด็กสาวจะเป็นนักรบ แต่เธอก็ต้องออกจากทีมเพราะขาดคุณสมบัติ
"ฉันจะมีโอกาสเป็นเหมือนนายบ้างไหม?"
เด็กสาวถาม
สีหน้าที่ตึงเครียดของเธอแสดงให้เห็นถึงความกังวล
"เธอเสียใจหรือ?"
"หืม?"
"ที่แข็งแกร่งขึ้นไม่ได้"
".....อืม"
เสียใจ
เด็กสาวพูดแบบนั้น
เธอเสียใจที่ต้องละทิ้งความฝันเพราะความอ่อนแอ
"...."
ในเวลานั้นเด็กชายไม่อาจเข้าใจการกระทำของเขาได้
หรือควรเรียกว่าเป็นแรงกระตุ้น?
"ฉันจะช่วยเธอเอง"
"ขอบคุณนะ!"
เด็กชายพาเด็กสาวไปที่ลัวนาน
ในฐานะสมาชิกปาร์ตี้ที่ 1 เด็กชายมีอำนาจมากพอที่จะทำเช่นนั้นได้
"ถ้าฝึกอยู่ที่นี่เรื่อยๆ ฉันจะเข้าใจพลังแห่ง 'กรรม' ได้ใช่มั้ย?"
"ใช่"
"แค่ทำแบบนั้นก็พอแล้วจริงๆ เหรอ?"
พูดง่ายแต่ทำยาก
แค่แทงและฟาดฟันหอกไปเรื่อยๆ
แล้วก็จะเข้าใจหลักการเองโดยธรรมชาติ
เด็กชายก็บรรลุผลลัพธ์เช่นนั้น
เวลาผ่านไปก็จะได้รับมัน
จะเข้าใจได้เองโดยธรรมชาติ
เด็กชายคิดเช่นนั้น
มีเพียงเด็กชายเท่านั้นที่คิดเช่นนั้น
หลายร้อยปีต่อมา
เด็กสาวยืนมองเด็กชายด้วยสีหน้าว่างเปล่า
".....ยังไงต่อ"
น้ำเสียงของเธอไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
เด็กสาวพึมพำด้วยใบหน้าแข็งทื่อราวกับตุ๊กตา
"ต้อง ทำ ยัง ไง ต่อ"
"แค่ใช้เวลาไปเรื่อยๆ ก็พอแล้ว"
"ไม่….ไม่ เข้าใจ เลย"
เด็กสาวหรือสิ่งที่เคยเป็นเด็กสาวพึมพำออกมาทีละคำ
"ฉัน กำลัง ทำ อะไร อยู่ ที่นี่?"
"...."
"ฉัน คือ อะไร?"
เด็กชายมองไปที่เด็กสาว
“ฆ่า ฉัน เถอะ ให้ฉัน ได้ พักผ่อน”
"ได้…ถ้าเธอต้องการ"
"ขอ โทษ นะ"
เด็กชายแทงทะลุหัวใจของเด็กสาวโดยไม่ลังเล
'น่าสงสารหรือเปล่า'
ร่างที่กำลังสลายไป
ร่างของเด็กสาวแตกสลายและหายไปในไม่ช้า
'นี่คือความรู้สึกสงสารงั้นเหรอ?'
แต่เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย
ไม่รู้สึกอะไรเลย
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
"...."
เด็กชายใช้เวลาอยู่ในลัวนานมากขึ้นเรื่อยๆ
โลกิยังได้เริ่มสำรวจพลังแห้งกรรมอย่างเต็มรูปแบบ
"ผมมาที่นี่เพราะอยากแข็งแกร่งขึ้นครับ"
พวกเขามาที่ลัวาน
"ได้โปรดสั่งสอนผมด้วย"
คนป่วยจิตที่ถูกครอบงำด้วยความปรารถนามาที่นี่
"ผมเคยได้ยินมาว่ารุ่นพี่แข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ ผมก็อยากจะ..."
"นั้นไม่ใช่ความพยายาม"
"ท่านหมายความว่ายังไง..."
"มันไม่ใช่ความพยายาม"
พวกนั้นมาหาเขาไม่เว้นแต่ละวัน
ส่วนใหญ่ทนไม่ไหวและกลับไป
คนที่เหลืออยู่คือคนป่วยที่คิดว่าถ้าแข็งแกร่งขึ้นไม่ได้ก็ขอตายดีกว่า
"ผมกลับไปไม่ได้หรอกครับ ถ้าผมแข็งแกร่งขึ้นไม่ได้"
พวกเขาป่วย
ป่วยทางใจ
และพบจุดจบแบบเดียวกัน
"ฆ่า ผม ที ฆ่า ฆ่า...ผม"
เด็กชายฆ่าพวกเขาตามที่ขอ
"ไม่ รู้สึก อะไร เลย..."
ฆ่าแล้วฆ่าอีก
โลกิไม่ได้ตำหนิเด็กชาย
เพราะโลกิเขารู้ดีว่าถ้าเป็นแบบนั้น พวกเขาจะกลายเป็นวิญญาณร้ายและโจมตีฮีโร่คนอื่นๆ
"ขอ โทษ ครับ..."
ทำไมกัน
ทำไมทุกคนต้องตาย?
ทำไมมีแค่เขาที่ไม่เป็นไร?
'เพราะไม่มีหัวใจงั้นเหรอ?'
เพราะไม่ใช่มนุษย์?
'ทำไมพวกเขายังมาที่นี่ ทั้งที่รู้ว่าต้องตาย?'
แต่พวกเขาก็เข้ามาไม่หยุด
เหล่าฮีโร่ก็หลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ
เด็กชายคนนั้นฆ่าพวกนั้นซ้ำแล้วซ้ำเหล่า
“กลับไปซะ”
"ผมกลับไปไม่ได้ครับ"
"ฉันจะฆ่านายนะ ไม่กลัวเหรอ?"
"ไม่เป็นไรครับ ผมต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้"
ไอ้พวกนี้พูดไม่รู้เรื่อง
ขู่ก็แล้ว ชักจูงก็แล้ว ก็ไม่เป็นผล
ไม่ยอมออกไปจนกว่าจะตาย
พวกเขาเป็นคนป่วยที่สมองถูกกัดกินด้วยความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้น
'ต้องรักษา'
เด็กชายไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนั้น
แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะทำ
เด็กชายเริ่มการศึกษาเกี่ยวกับจิตใจของมนุษย์
อะไรที่ผลักดันให้พวกเขาไปสู่ความตาย
จิตใจคืออะไรกันแน่ ถึงทำให้คนไม่กลัวตายได้
'เป็นเพราะมีสิ่งที่อยากปกป้องงั้นเหรอ?'
บางครั้งภาพของเด็กสาวก็แวบเข้ามาในหัว
ภาพของเธอที่มองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า
<ขอโทษนะ>
จุดจบของเด็กสาวทำให้เขาเศร้าใจหรือเปล่า
เด็กชายขังตัวเองอยู่ในลัวนานและไม่ยอมออกไปข้างนอก
เขาจะปรากฏตัวก็ต่อเมื่อมีเหตุผลพิเศษเท่านั้น
การมีอยู่ของเด็กชายในเนลม์ไฮมฟ์เริ่มเลือนหายไป