บทที่ 696: อสูรออกศึก
[แปลโดยแฟนเพจ ยักษาแปร มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอน แต่จะราคาแพงที่สุด]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ100คน ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบไม่มีการแก้คำผิด และยิบย่อยมากมาย ไปนั่นแหละ]
บทที่ 696: อสูรออกศึก
"เร็วเข้า! พวกนั้นอย่ามัวชักช้า รีบขนหินพวกนี้ขึ้นเรือให้หมด!"
สงครามคือการต่อสู้ด้านเสบียง แม้แต่โจรสลัด ก่อนออกรบก็ต้องเตรียมเสบียงให้พร้อม พวกเขาไม่ใช่โจรสลัดกระจอกที่ออกปล้นเรือไปวันๆ เป้าหมายของพวกเขาคือกองเรือรบของอาณาจักรสแตนติน
อาณาจักรสแตนตินเป็นหนึ่งในประเทศบนแกรนด์ไลน์ และยังเป็นรัฐสมาชิก การรักษาเสถียรภาพทางการเมืองบนแกรนด์ไลน์ นอกจากต้องพึ่งพากองทัพเรือแล้ว พวกเขายังมีวิธีการป้องกันตัวเองอีกมากมาย
แต่ไม่ว่ายังไง พวกเขาก็มีกองทัพที่แข็งแกร่ง ในโลกที่ทะเลเป็นใหญ่ กองทัพบกมีความสำคัญน้อยกว่ากองทัพเรือ แต่อาณาจักรสแตนตินกลับไม่ถนัดการรบทางทะเล ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกวิธีแก้ปัญหาแบบผสมผสาน - จ้างคนนอก
อาณาจักรสแตนตินใช้ทรัพยากรของประเทศสร้างเรือรบขนาดใหญ่หลายสิบลำ และจัดตั้งเป็นกองเรือ โยทามาเรีย ซึ่งกองเรือนี้ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ปกป้องอาณาจักรเท่านั้น แต่ยังเป็นโจรสลัดที่มีสิทธิ์ปล้นสะดมอย่างถูกกฎหมายจากอาณาจักรสแตนตินอีกด้วย
เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก ในยุคสมัยแห่งการเดินเรือครั้งยิ่งใหญ่ กองทัพของหลายประเทศก็ทำงานเป็นโจรสลัดควบคู่ไปด้วย บนเกาะต่างๆมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน กองทัพก็มีรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามความชอบของกษัตริย์
นอกจากนี้ กฎหมายของรัฐบาลโลกคุ้มครองเฉพาะรัฐสมาชิก ตราบใดที่ไม่ปล้นทรัพยากรของรัฐสมาชิก การกระทำทั้งหมดของพวกเขาก็ไม่ผิดกฎหมาย
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆบนแกรนด์ไลน์ก็ซับซ้อนเช่นกัน มีทั้งที่เป็นมิตรและเป็นศัตรู บนทะเลอันกว้างใหญ่ การหายไปของเรือลำหนึ่งเป็นเรื่องยากที่จะสืบสาว
พูดให้ถูกคือ ถ้ารัฐบาลโลกตั้งใจจะให้เกาะแห่งหนึ่งถูกลืม แม้เกาะนั้นจะถูกลบหายไปก็ไม่มีใครรู้
กองเรือโยทามาเรีย ปัจจุบันมีเรือรบขนาดใหญ่ทั้งหมด 56 ลำ มีกำลังพลประจำการ 4,300 คน ซึ่งล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญการรบทางทะเล นอกจากนี้ บนเรือยังสามารถบรรทุกทหารของอาณาจักรจำนวนมากเพื่อทำการขนส่งได้
เรือเหล่านี้ใหญ่พอที่แม้แต่เผ่ายักษ์ก็สามารถโดยสารได้ ก่อนหน้านี้ ตอนที่ไคโดออกเดินทางอย่างไร้จุดหมาย เขาก็เคยเห็นกองเรือของประเทศนี้ จึงจำได้
"บอส ขนไม่หมดแล้วครับ พวกนี้ยังไม่พออีกเหรอ?"
"ไม่พอ รื้อปืนใหญ่ลงไป ลูกปืนใหญ่ก็ขนลงไปด้วย เรือลำนี้ไม่ต้องการของพวกนั้น"
"หา? ไม่เอาปืนใหญ่เหรอครับ??"
เมื่อได้ยินคำสั่งให้รื้อปืนใหญ่ โจรสลัดลูกน้องก็ลังเลอย่างเห็นได้ชัด
"พูดอะไรโง่ๆน่ะ? ปืนใหญ่ไหนจะไปเทียบกับสัตว์เลี้ยงของโอนิฮิเมะได้? แค่ให้อาหารมันจนอิ่ม ก็ไม่ต้องใช้ปืนใหญ่แล้ว คิดว่าหลุมยักษ์ที่สนามซ้อมเกาะนอกนั่นมาจากไหนล่ะ?"
"สัตว์เลี้ยงของท่านโอนิฮิเมะนี่พิเศษจริงๆ..."
"พูดมาก รีบขนของ! ถ้ามันไม่อิ่ม เดี๋ยวแกก็ต้องไปงมหินใต้น้ำมาให้มันกินเองหรอก!"
เพราะเอ็นบูโอกับบันกิราสตัวใหญ่ยักษ์ ของที่ขนมาครั้งนี้ก็เลยไม่ธรรมดา ลดปริมาณดินปืนลง ใช้พลังทำลายของบันกิราสกับเอ็นบูโอมาทดแทน
พวกมันก็เหมือนเครื่องพ่นไฟเคลื่อนที่กับป้อมปืนหนัก ปืนใหญ่ของเรือรบธรรมดาเทียบไม่ติดหรอก
ระหว่างที่ทุกคนกำลังขนของกันอย่างขะมักเขม้น บันกิราสกับเอ็นบูโอก็ขึ้นเรือเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เอ็นบูโอกำลังสอนประสบการณ์ให้รุ่นน้อง
"ไม่ต้องกังวล ใช้วิชาขู่พวกมันสักสองสามท่า เดี๋ยวพวกนั้นก็กลัวจนเผ่นแน่บ แล้วการโจมตีของพวกมันก็ไม่ได้เจ็บอะไรเลย"
"อืม ถ้าโดนโจมตีเธอก็คงไม่เจ็บเหมือนกัน"
เอ็นบูโอตบบ่าบันกิราส แล้วก็มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองพูด บันกิราสเป็นโปเกมอนตัวที่สองที่ปรากฏตัวบนเกาะวาโนะ ร่างปกติก็ตัวใหญ่มาก ในฐานะ "พวกเดียวกัน" ที่หายาก เอ็นบูดโอเลยชอบคุยกับมันมากกว่า
"เรือ...เรือจะจมไหมคะ? ฉันว่ายน้ำไม่เป็น..."
"ไม่หรอก มันแข็งแรงมาก ถึงจมก็มีแผนสำรอง"
เทียบกับการต่อสู้ บันกิราสกลับกลัวน้ำมากกว่า บันกิราสบางตัวมีพรสวรรค์พิเศษ เรียนรู้วิชาโต้คลื่นได้ แต่นั่นก็เหมือนกับไครอสที่โต้คลื่นได้ เป็นกรณีพิเศษ ไม่ใช่ว่าใครในเกมก็เรียนได้
บันกิราสตัวนี้ตัวใหญ่ น้ำหนักเยอะมาก เหยียบน้ำไม่ได้หรอก
ที่ว่ายน้ำได้นั่นเป็นเพราะความแตกต่างระหว่างโปเกมอนแต่ละตัว แม้แต่ไครอสที่แพ้น้ำก็ยังมีโอกาสว่ายน้ำได้ สมาคมอนุรักษ์กราด้อนเลยค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้
"โลกภายนอกน่าอัศจรรย์มาก นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากนะ"
"รู้แล้วค่ะ"
"ไม่ต้องกลัว มากสุดก็แค่ไปยืนข้างหลังพี่"
เห็นบันกิราสไม่ค่อยกระตือรือร้น เอ็นบูโอก็เลยปลอบอีกที ถึงจะดูน่ากลัว แต่สองยักษ์ใหญ่นี่เป็นผู้หญิงหมดเลยนะ เอ็นบูโอแปลงมาจากหมูป่าภูเขา ตัวเมีย แถมยังมีลูกหมูอีกหลายตัวด้วย
ส่วนบันกิราสเป็นของยามาโตะ ตอนเลือกเพศก็เลยเลือกแบบเดียวกัน เลยเป็นแบบนี้ไงล่ะ
แต่ตอนแรกบันกิราสไม่ยอมรับเรื่องนี้ พวกมันเคยมีเรื่องทะเลาะกันด้วย บันกิราสประสบการณ์สู้รบสู้เอ็นบูโอไม่ได้เลย เพราะเอ็นบูโอเคยเป็นคู่ซ้อมของไคโดอยู่พักนึง
มีพลังต่อสู้ แถมยังฝึกฝนวิชาต่อสู้อีก ในการประลอง บันกิราสเลยเสียเปรียบ เลยได้ลำดับพี่น้องแบบนี้มา
ภายใต้การนำของแจ็ค เรือโจรสลัดหลายลำแล่นออกจากเกาะโอนิกาชิมะ มุ่งหน้าสู่ทะเลที่ปรากฏในข้อมูลข่าวกรอง แต่ระหว่างทางก็เกิดเรื่องเล็กน้อยขึ้น
"คุมไว้! เรือตัดน้ำแข็งอยู่ไหน? รีบเอามาเปิดทางแล้ว!"
นอกชายฝั่งวาโนะคุนิ เรือของแจ็คและลูกน้องถูกขัดขวางด้วยแผ่นน้ำแข็งที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สภาพอากาศนอกวาโนะคุนินั้นแปรปรวนมาก ช่วงนี้อากาศค่อนข้างหนาวเย็น แต่ก็เพิ่งเคยเจอน้ำแข็งเป็นครั้งแรก
นี่เป็นผลกระทบที่ยามาโตะทิ้งไว้ เธอแช่แข็งทะเลเป็นทางยาวเพื่อช่วยให้เดินเรือง่ายขึ้น เผยให้เห็นเส้นทางเดียวเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น คลื่นรอบวาโนะคุนิยังรุนแรง หากต้องการเปิดเส้นทางให้แอน เธอต้องแช่แข็งทะเลในวงกว้างกว่าเดิม แม้แต่ตัวเธอเองก็บอกไม่ได้ว่าตอนนั้นเขี้ยวน้ำแข็งที่ไร้ผู้ถือครองได้แช่แข็งทะเลเป็นบริเวณกว้างแค่ไหน และสร้างชั้นน้ำแข็งหนาเท่าไหร่?
ผลก็คือ เมื่อเร็วๆนี้อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างมาก ทำให้น้ำแข็งไม่ละลายหมด กลับกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางเรือลำอื่นๆที่จะออกเดินทาง
ถ้าไม่ใช่เพราะกลุ่มร้อยอสูรบางครั้งก็ออกไปยังทะเลเขตหนาว พวกเขาก็คงไม่มีเรือตัดน้ำแข็งเตรียมไว้
"ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น แค่อุ่นเครื่องก่อนก็พอแล้ว เอ็นบูโอไปจัดการน้ำแข็งซะ"
บนเรือมีสมาชิกใหม่ที่ยังไม่เคยเห็นฝีมือ เพื่อให้พวกเขาได้รู้จักความสามารถของ "อาวุธสงคราม" ของกลุ่ม แจ็คจึงตัดสินใจให้เอ็นบูโอแสดงพลังออกมาเล็กน้อย นอกจากนี้ยังประหยัดเวลาและแรงงานมากกว่าการไปหาเรือตัดน้ำแข็ง เพียงแค่ต้องใช้เสบียงอาหารเพิ่มขึ้นเท่านั้น
บนดาดฟ้าเรือมีแผ่นโลหะทรงกลมที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ นั่นคือแท่นยิงของเอ็นบูโอโดยเฉพาะ เมื่อมันมาถึงตำแหน่งที่กำหนด เสาเพลิงอันรุนแรงก็พุ่งออกมา ละลายน้ำแข็ง พร้อมกับจุดประกายจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของกลุ่มร้อยอสูรขึ้นมาอย่างเต็มที่...