แสงสว่างแห่งจิตใจ (7)
[แปลโดยแฟนเพจ ยักษาแปร มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอน แต่จะราคาแพงที่สุด]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ100คน ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบไม่มีการแก้คำผิด และยิบย่อยมากมาย ไปนั่นแหละ]
<เรื่องราวของอารอน ตอนที่ 42>
5. แสงสว่างแห่งจิตใจ (7)
*******
หากยังคงสะสมกรรมต่อไป ก็จะถูกเงามืดกลืนกิน
อารvนทำตามคำแนะนำของอาจารย์และหยุดสะสมกรรม
แต่เขาก็ยังคงฝึกฝนวิธีใช้กรรมอย่างไม่หยุดหย่อน
ต้นกำเนิดของกรรมคือชีวิตและเวลา
คำว่า 'กรรม' ที่ระบบเรียกนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพลัง
กล่าวคือ แก่นแท้ของมันคือความสามารถในการเปลี่ยนความฝันให้เป็นจริง
"ทำอะไรก็ได้" เด็กชายบอกเขา
"สิ่งที่ฉันสอนเธอเป็นเพียงวิธีการใช้งานที่มีประสิทธิภาพเท่านั้น"
"มีประสิทธิภาพ?"
"ใช่ ใช้พลังน้อยๆ แต่สามารถใช้ได้นานและบ่อยครั้ง"
ร่างกายและประสาทที่แข็งแกร่งที่สุด
เคลื่อนย้ายในพริบตาโดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ
วิชาที่ลบล้างการรบกวนทางกายภาพและเวทมนตร์
นี่เรียกว่าพลังน้อยงั้นเหรอ
"อะไรก็ได้เหรอครับ"
"ตราบใดที่จินตนาการได้"
"เช่น การสร้างเปลวไฟก็ได้เหรอครับ?"
อารอนนึกถึงเพื่อนนักเวทมนตร์ผู้สูงศักดิ์
"ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้"
เด็กชายแบมือออกทันที
ฟู่!
เปลวไฟลุกโชนขึ้นอย่างรุนแรง
และยังไม่จบแค่นั้น
เปลวไฟหายไปและถูกแทนที่ด้วยดอกไม้น้ำแข็ง
ดอกไม้น้ำแข็งปลดปล่อยความเย็นยะเยือกออกมา
คราวนี้ มีลมพัดขึ้นบนฝ่ามือของเขา
คุณสมบัติเปลี่ยนไปอย่างอิสระ
"มันยังใช้ได้กับระบบจิตอีกด้วย ถ้าใช้ให้ดีก็สามารถเปลี่ยนความทรงจำหรือการรับรู้ของคู่ต่อสู้ได้"
เปลี่ยนความทรงจำและการรับรู้ของคู่ต่อสู้ได้
ช่างเป็นความสามารถที่น่ากลัวจริงๆ
"มันใช้สะกดจิตได้ด้วย มันสามารถควบคุมความทรงจำและการรับรู้ของผู้อื่นได้ตามใจชอบ ไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่ายินดีนักหรอก ฉันก็ใช้มันเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น"
"เวทย์มนตร์...?"
"อาจจะคล้ายกันก็ได้ แต่อย่าฝืนทำตาม มันสิ้นเปลืองพลังงาน"
ถ้าใช้ในการต่อสู้ เทคนิคที่อาจาารย์สอนมานั้นมีประสิทธิภาพมากที่สุด
มันถูกปรับแต่งเพื่อลดการใช้กรรม
เช่นเดียวกับท่า 'เงาจันทรา' และอื่นๆ
"ถ้าไม่ต้องกังวลเรื่องการสิ้นเปลือง จะเกิดอะไรขึ้นครับ"
"หืม?"
“เช่น ถ้าสะสมกรรมไว้ชั่วนิรันดร์ และสะสมวิญญาณไว้จนไม่มีวันหมดไม่ว่าจะใช้เท่าไรก็ตาม”
ในทางทฤษฎี มันเป็นไปได้
อารอนหยุดสะสมกรรมเพราะเขาไปถึงขีดจำกัดของจิตใจ
ถ้าไม่มีขีดจำกัดล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น
"ก็จะกลายเป็นภัยพิบัติของจักรวาลทั้งหมดยังไงล่ะ"
เด็กชายยืนยัน
"มันจะทะลุข้อจำกัดของระบบเกม ทะลวงขอบเขตของจักรวาล และ... ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าถึงระดับนั้นมันก็คงไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว ใครจะไปรู้ว่าคนที่เป็นแบบนั้นกำลังคิดอะไรอยู่? ยังไงก็... ระวังตัวไว้ก็แล้วกัน ฉันไม่ได้จัดการกับพวกตัวอันตรายพวกนั้นโดยไม่มีเหตุผลหรอกนะ"
ภัยพิบัติของจักรวาลทั้งหมด
อารอนกลืนน้ำลาย
มันอันตรายถึงขนาดนั้นเชียวเหรอ
"ไม่ต้องกังวลไปหรอก….ปกติพวกนั้นจะตายก่อนจะไปถึงขั้นนั้น"
"ครับ"
"ถ้ารู้ว่ามันอันตรายแล้ว อย่าฝืนทำอะไรเกินตัวล่ะ"
"ครับ"
“เข้าใจก็ดี”
อารอนทิ้งความปรารถนาที่จะสะสมกรรมเพิ่ม
เขาไม่ต้องการเสี่ยงที่จะสูญเสียตัวตน
นอกจากนี้ หากเขาทำตามคำสอนของอาจารย์ เขาก็สามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่แม้มีกรรมเพียงเล็กน้อย
'พี่ชายกำลังลำบาก'
อารอนเชื่อมั่นในตัวฮาน อิสรัต
ชายคนนั้นต้องสามารถเอาชนะวิกฤตการณ์ใดๆ และช่วยทาวน์เนียได้อย่างแน่นอน
แม้ว่าเขาจะไม่ฝืนตัวเองก็ตาม
อารอนฝึกฝนพลังเพื่อช่วยพี่ชายและปกป้องความสุขในอนาคต
เขาไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจที่จะอยู่กับนีน่า
เขาแค่ต้องการพลังเพื่อปกป้องความสุขของเขา
เพื่อไม่ให้ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนั้นอีก
'สิ่งที่ฉันทำได้...'
คือการพาอาจารย์ออกจากลัวนานอย่างปลอดภัย
และค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น
.
.
.
.
ฉ่า!
เทไข่ที่ตีแล้วลงบนกระทะที่ทาเนย
ตอนนี้เขาชินกับการทำอาหารแล้ว
เมนูอาหารเย็นวันนี้คือออมเล็ต
เมื่อก่อนเขาทำอาหารนี้พลาดบ่อยๆ แต่กาลเวลาก็ทำให้ทุกอย่างคุ้นเคย
อารอนมองออกไปนอกหน้าต่างไปยังภายนอกกระท่อม
ทิวทัศน์ที่เคยรกร้างตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว
มีสวนอยู่หน้ากระท่อม ปกคลุมไปด้วยดอกไม้และหญ้าต่างๆ
แม้ว่าดินจะมีคุณภาพไม่ดีและต้องไถพรวนหลายสิบครั้ง แต่ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ
มีแม่น้ำเล็กๆ ไหลผ่านกลางสวน
"..."
อารอนพลิกไข่ที่สุกแล้ว
ดูจากสีแล้วน่าจะเกือบเสร็จแล้ว
"อาจารย์ อาหารเย็นเสร็จแล้วครับ! ออกมาได้แล้ว!"
อารอนเรียกเด็กชายที่น่าจะอยู่ในกระท่อม
ไม่มีเสียงตอบรับ
'อาจารย์ไปไหน?'
ปกติเวลานี้อาจารย์น่าจะอยู่บ้าน
อารอนวางอาหารที่ทำเสร็จแล้วบนโต๊ะแล้วเดินไปที่โถงทางเดิน
ห้องของเด็กชายอยู่ลึกเข้าไปในโถงทางเดิน
ก๊อก ก๊อก
เขาเคาะประตู
"อาจารย์ครับ"
ไม่มีเสียงตอบกลับมา
"..."
แกร๊ก
ประตูไม่ได้ล็อก
อารอนเปิดประตูเข้าไปในห้องของเด็กชาย
ไม่ใช่ครั้งแรก
เขาเคยมาที่นี่สองสามครั้งแล้ว
ห้องที่ดูอ้างว้าง มีเตียง โต๊ะเล็กๆ และเก้าอี้
มีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
สายตาของอารอนจับจ้องไปที่มุมกระดาษ
<คำสั่งเรียกประชุมด่วน>
ประชุมด่วน?
<เซริส อาร์เจนเฮม์>
ด้านล่างมีชื่อผู้ออกหมายเขียนอยู่
หลังจากทบทวนความทรงจำอยู่ครู่หนึ่ง อารอนก็นึกถึงเจ้าของชื่อนั้นได้
เขาบอกว่าเป็นรองนายท่านของเนลม์ไฮมฟ์
แต่...เธอหายตัวไปหลังจากออกจากห้องพัก...
<ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก>
ถ้ามันถูกปิดผนึกด้วยซองจดหมายก็ยังดี
เขาคงไม่ต้องอ่านเนื้อหาข้างใน
<แม้ว่าจะปีนขึ้นไปจนสุดหอคอย โลกที่ถูกทำลายจะไม่กลับมา>
<เราถูกหลอก>
มันหมายความว่าอะไร
<โมเบียสกำลังจะพังทลาย>
<แต่เราต้องช่วยนายท่านให้ได้>
<ฉันต้องการความช่วยเหลือจากนาย>
<ฉันขอโทษ ฉันรู่ว่านายต้องการพักผ่อน…..>
แม้ว่าจะปีนหอคอยจนสุด แต่โลกก็ไม่กลับมา
เราถูกหลอก
โมเบียสจะล่มสลายในไม่ช้า
อารอนต้องทบทวนประโยคหลายครั้งเพื่อทำความเข้าใจความหมาย
'ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก?'
ใครเป็นคนเขียนจดหมายนี้
เป็นเรื่องตลกร้ายหรือเปล่า
เขาไม่รู้ว่ากระดาษแผ่นนี้มาอยู่ในห้องของเด็กชายได้อย่างไร
มันมีเวทย์มนตร์พิเศษอะไรหรือเปล่า
"..."
อารอนยืนนิ่งอยู่กลางห้องของเด็กชาย
โดยไม่ทันสังเกตว่าเด็กชายเข้ามา
"นายเข้ามาทำอะไรในห้องฉัน?”
"อ๊ะ อาจารย์ ขอโทษครับ ผมเตรียมอาหารเย็นเสร็จแล้ว แต่อาจารย์ไม่ออกมา"
"ฉันออกไปทำธุระข้างนอกแป๊บนึง แล้วก็..."
สายตาของเด็กหนุ่มมองไปที่โต๊ะ
คำสั่งที่ระบุว่า 'คำสั่งเรียกประชุมด่วน' วางอยู่ตรงนัน
"เห็นแล้วเหรอ?"
"ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ..."
"คงงั้นแหละ ประตูเปิดอยู่ ฉันก็เลยเข้ามา แล้วจดหมายก็มาถึงพอดี ช่างบังเอิญจริงๆ! ฮ่าฮ่า!"
เด็กหนุ่มหัวเราะออกมา
"นั่นมันอะไรครับ? เป็นจดหมายแกล้งเล่นหรือเปล่า?"
"อ้อ ฉันเป็นสมาชิกของเนลม์ไฮมฟ์นะ ฉันต้องทำตามคำสั่งพิเศษไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ และหมายเรียกนั่นก็เป็นหนึ่งในนั้น ขอดูหน่อย ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก ปีนหอคอยไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น โมเบียสจะล่มสลาย? โอ้…"
เด็กหนุ่มเกาหัว
"นี่มัน... แย่แล้วนี่"
"..."
"โอ้โห ทำไมมันถึงเป็นไปตามที่คิดไว้ได้ขนาดนี้นะ สุดยอด สุดยอด"
"เนื้อหาในกระดาษนั้น... เป็นเรื่องจริงเหรอครับ"
"ใครจะใช้จดหมายแบบนี้มาเล่นตลกล่ะ? พวกเขาเรียกแม้แต่ฉันที่หมดสภาพที่ไปสู้แล้ว แสดงว่าสถานการณ์มันคงร้ายแรงมาก อ้อ ช่วงเวลาที่ฉันรุ่งโรจน์มันผ่านไปนานแล้ว"
"ถ้าอย่างนั้น อาจารย์ต้องกลับไปเหรอครับ?"
"ดูเหมือนเซริสจะคิดอย่างนั้นนะ"
"อาจารย์... ทำไมอาจารย์ถึงสงบนิ่งได้ขนาดนี้ครับ"
"เพราะฉันไม่เคยเชื่อไง"
เด็กชายยิ้มอย่างสมเพชตัวเอง
"เพราะเชื่อแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ไง ฉันก็เลยเตือนเซริสไปแล้ว"
"..."
"แล้วเธอล่ะ เชื่อไหม? ว่านายท่านจะปีนขึ้นไปถึงยอดหอคอยและช่วยทาวน์เนียได้"
"ผม..."
หัวของเขาเริ่มมึนงง
ทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกงั้นเหรอ
การต่อสู้กับสัตว์ประหลาดและการเสี่ยงชีวิตในการปีนหอคอยไม่มีความหมายอะไรเลยงั้นเหรอ
แล้วเพื่ออะไรล่ะ?
เขากำลังทำอะไรอยู่ที่นี่?
"ดูเหมือนว่าข้างนอกจะวุ่นวายไปหมดในขณะที่เรานั่งเล่นอยู่ที่นี่สบายใจ" เด็กหนุ่มพูด
"พี่ชาย..."
"นายท่าน…เขาล้มเหลว"
"..."
"ปีนหอคอยไปก็ไม่จบหรอก มันเหมือนกับว่าเราหลงอยู่ในเขาวงกตที่ไม่มีทางออกตั้งแต่แรก นายท่านเองก็คงทำอะไรไม่ได้"
เขายังรู้สึกไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้น
เมื่อวานทุกอย่างยังปกติดีอยู่เลย
"ที่ฉันออกไปเมื่อกี้ก็เพื่อรับการติดต่อจากยูเน็ต….ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง"
อารอนเริ่มรู้สึกเหมือนพื้นดินกำลังสั่นสะเทือน
"เป็นเรื่องจริงเหรอครับ"
“โมเบียสจะล่มสลายในไม่ช้า เช่นเดียวกับเราในเนลม์ไฮมฟ์และทาวน์เนียของนาย….มันจบแล้ว”
"แบบนี้นะเหรอครับ?"
"เรื่องของโลกมันก็เป็นแบบนี้แหละ จู่ๆ ก็เกิดขึ้นได้"
"ผม... ไม่ได้ทำอะไรเลย..."
นี่ฝันไปหรือเปล่า
หรือว่าเป็นฝันร้าย
หรือเป็นภาพหลอนอะไรบางอย่าง
'ต้องออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้''
ในทาวน์เนีย
เราต้องกลับไปที่ทาวน์เนีย
อารอนต้องได้เจอพี่ชายของเขา
เขาต้องไปตามหาความจริง…