บทที่ 6 หินวิญญาณ
โม่ฮว่าครุ่นคิดอยู่ในห้องสักครู่ รอจนกระทั่งโม่ซานและหลิวรู่ฮว่าคุยกันเสร็จและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่บ้าน จึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร เดินออกมาจากห้องอย่างร่าเริง
ครอบครัวสามคนนั่งกินข้าวกัน โม่ซานกินเสร็จแล้ว โม่ฮว่าจึงเกาะแกะถามเรื่องราวสนุก ๆ เกี่ยวกับการล่าสัตว์อสูร
โม่ซานเลือกเล่าเรื่องบางส่วน มีทั้งหมาป่าตาเดียว เสือสองหัว หมูป่าสามขา
มีกลุ่มหนึ่งล่าสัตว์อสูรโตเต็มวัยได้ตัวหนึ่ง แต่ไม่ได้เอาอสุรธาตุ เอาแต่ขนที่ไม่มีค่าไป พอนึกได้กลับไปเอา อสุรธาตุก็ถูกคนอื่นเอาไปแล้ว หัวหน้ากลุ่มเสียใจมากถึงกับอาเจียนเป็นเลือดและเป็นลม
ยังมีคนจับสัตว์ประหลาดสายเลือดโบราณได้ตัวหนึ่ง ถูกสำนักใหญ่ซื้อไปในราคาสูง ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องอีก แต่ไม่รู้ว่าวันไหน คนผู้นั้นก็หายตัวไปทั้งคน...
โม่ฮว่าฟังอย่างตั้งใจ และรู้ว่าในเรื่องเหล่านี้ย่อมมีความโหดร้าย อันตราย และทารุณ เพียงแต่พ่อตั้งใจละไว้ไม่พูดถึงเท่านั้น
พ่อแม่มักไม่อยากให้ลูก ๆ รู้ความโหดร้ายของโลก หวังให้มีวัยเด็กที่บริสุทธิ์และมีความสุข
โม่ฮว่าฟังเรื่องราวจบ ก็มีสามหัวโผล่มาที่ประตู ดวงตากลมโตมองเข้ามาในบ้าน เห็นโม่ซานและหลิวรู่ฮว่าอยู่บ้าน ก็ยืนเรียงแถวทักทายพร้อมกัน:
"สวัสดีขอรับลุงโม่ สวัสดีขอรับป้าหลิว!"
เด็กทั้งสามแซ่เมิ่ง อาศัยอยู่ถนนเดียวกัน ครอบครัวก็เลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์อสูรเช่นกัน
ผู้ใหญ่ตระกูลเมิ่งรู้จักกับโม่ซาน อีกทั้งอยู่ใกล้กัน โม่ฮว่าจึงเล่นกับพวกเขามาตั้งแต่เด็ก ชื่อของเด็กทั้งสามก็คล้ายกัน เรียงตามลำดับการเกิด คือ เมิ่งต้าหู เมิ่งซวงหู และเมิ่งเสี่ยวหู
สัตว์อสูรประเภทเสือเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดแถวเมืองตงเซียน การตั้งชื่อลูกด้วยตัว "หู" (เสือ) ก็หวังว่าพวกเขาจะมีพละกำลังและความน่าเกรงขามเหมือนเสือในอนาคต
เด็กทั้งสามก็สมชื่อจริง ๆ หน้าตาล่ำสันเหมือนลูกเสือ
โม่ฮว่าอายุน้อยที่สุด ตอนเกิดมาก็ร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยบ่อย โม่ซานคิดว่าโตขึ้นคงไม่มีทางแข็งแรงเหมือนเสือได้ เห็นว่าหน้าตาสะอาดสะอ้านขาวผ่องเหมือนตุ๊กตาเซรามิก จึงเอาตัว "ฮว่า" (ภาพวาด) จากชื่อภรรยาหลิวรู่ฮว่ามาตั้งชื่อว่าโม่ฮว่า
หลิวรู่ฮว่าเห็นเด็กทั้งสาม จึงหยิบซาลาเปาให้คนละหนึ่งลูก เด็กทั้งสามปากบอกว่าไม่เอา แต่มือก็ยื่นออกไปรับโดยอัตโนมัติ เอาซาลาเปายัดเข้าปาก พูดทั้งที่ปากยังเต็ม: "ขอบคุณป้าหยิว (หลิว)!"
ฝีมือทำอาหารของหลิวรู่ฮว่าเป็นที่หนึ่งในละแวกนี้ เด็กทั้งสามจึงอิจฉาโม่ฮว่าไม่น้อย
โม่ซานโบกมือ "พวกเจ้าไปเล่นด้วยกันเถอะ อย่าลืมกลับมากินข้าวเที่ยงล่ะ!"
โม่ฮว่าและเด็กทั้งสามพยักหน้ารับคำ แล้ววิ่งออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว
ในบรรดาเด็กทั้งสามของตระกูลเมิ่ง ต้าหูซื่อ ๆ ซวงหูฉลาด ส่วนเสี่ยวหูเป็นคนช่างพูด ทั้งสามอายุมากกว่าโม่ฮว่าและตัวสูงใหญ่กว่า โดยปกติพวกเขาจะเป็นคนพาโม่ฮว่าไปเล่น
ต้าหูทั้งสามพูดคุยกันไม่หยุดตลอดทาง ที่ไหนมีเชิดมังกร ที่ไหนจุดดอกไม้ไฟ ที่ไหนคนเยอะ ที่ไหนมีสาว ๆ สวย ๆ เต้นรำ...
แต่พูดมากเกินไป จนไม่รู้จะไปเล่นที่ไหนดี
สุดท้ายทุกคนตกลงกันว่า ผู้ใหญ่ต้องเลือก เด็ก ๆ อยากได้ทั้งหมด พวกเขาจะไปเที่ยวทุกที่!
ใกล้ถึงช่วงปีใหม่ ศิษย์ที่เข้าสำนักเรียนก็ปิดเทอม ผู้ฝึกตนที่ออกไปทำมาหากินก็กลับบ้าน เมืองตงเซียนจึงคึกคักกว่าปกติมาก ถนนหนทางก็มีผู้คนหนาแน่นขึ้น
ผู้ฝึกร่างกายขั้นฝึกลมปราณบางคนอวดวิชา ร่ายรำกระบี่กระบอง ส่วนผู้ฝึกจิตวิญญาณก็แสดงเคล็ดวิชาที่แม้จะไม่มีประโยชน์อะไรแต่ดูสวยงามตระการตา ทำให้เด็ก ๆ ทึ่งและอิจฉา
ผู้ที่รู้วิชาหลอมของกลไกก็ทำของเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น กระต่ายไม้ หมา แมว ที่ใช้พลังวิญญาณเพียงนิดหน่อยก็วิ่งบนพื้นได้ รวมถึงของอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้คนดูตาลายไปหมด
ต้าหู ซวงหู และเสี่ยวหูสนุกสนานเพลิดเพลิน มองอะไรก็รู้สึกแปลกใหม่ ตื่นเต้นร้องว้าวไปหมด โม่ฮว่าก็เล่นไปดูไป แต่ในใจก็คอยสังเกตว่ามีช่องทางหาหินวิญญาณอะไรบ้างตามท้องถนน
มองไปมองมา สุดท้ายก็พบว่างานที่ทำเงินได้ ส่วนใหญ่มีคนทำหมดแล้ว ส่วนงานที่ไม่มีใครทำ โม่ฮว่าก็ยังไม่มีความสามารถทำได้
มองดูกลุ่มผู้ฝึกตนที่พยายามแสดงและเรียกลูกค้าบนถนน โม่ฮว่าก็รู้สึกในใจว่า การหาเลี้ยงชีพช่างไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ
ซวงหูเห็นโม่ฮว่าไม่ค่อยร่าเริง จึงถามว่า: "โม่ฮว่า เจ้ามีเรื่องกังวลใจหรือ"
ต้าหูได้ยินเช่นนั้น ก็รีบพูดทันที: "มีคนรังแกเจ้าหรือ? ข้าไปต่อยมันให้!"
เสี่ยวหูก็พยักหน้าหงึก ๆ "ต่อยมัน! ต่อยมัน!"
ผู้ใหญ่ในตระกูลเมิ่งสั่งสอนพวกเขาสามคนให้ดูแลโม่ฮว่าที่ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งหลิวรู่ฮว่าก็ทำอาหารอร่อย และมักจะแบ่งไว้ให้เด็กทั้งสามด้วย
เด็กทั้งสามทั้งซาบซึ้งบุญคุณและมีน้ำใจ ทุกครั้งที่มีคนจะรังแกโม่ฮว่า พวกเขาจะพุ่งเข้าไปต่อยกับคนอื่นโดยไม่ต้องคิด
ส่วนโม่ฮว่าเป็นที่ยอมรับว่าฉลาดที่สุดในหมู่นักพรตอิสระละแวกบ้าน บางครั้งเมื่อมีการบ้านที่เต้าสือสั่ง หากพวกเขาไม่เข้าใจ ก็จะมาถามโม่ฮว่า ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเด็ก ๆ จึงดีมาก
โม่ฮว่าเห็นพวกเขาท่าทางกระตือรือร้น อยากจะไปต่อยคนอื่น ก็รู้สึกขำปนเศร้า จึงพูดว่า:
"ไม่มีใครรังแกข้าหรอก ข้าแค่กำลังคิดว่าจะหาหินวิญญาณได้อย่างไร"
หาหินวิญญาณเหรอ...
ต้าหูทั้งสามคนก็เริ่มกังวลเช่นกัน พวกเขาก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกัน
ถ้าเป็นเรื่องต่อยตีพวกเขาช่วยได้ แต่เรื่องหาหินวิญญาณพวกเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้
โม่ฮว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงถามต่อว่า:
"งั้นพวกเจ้ารู้ไหมว่า อาจารย์ค่ายกลหาหินวิญญาณได้อย่างไร?"
โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรกว้างใหญ่ไพศาล โม่ฮว่าใช้เวลาทุกวันไปกับการฝึกฝนและวาดค่ายกล สิ่งที่ได้สัมผัสมีจำกัด หลายอย่างเขาก็ไม่รู้ เขารู้เพียงว่าการเป็นอาจารย์ค่ายกลไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง แต่อาจารย์ค่ายกลธรรมดา โดยเฉพาะลูกศิษย์ระดับต่ำหาหินวิญญาณอย่างไร เขาก็ไม่รู้จริง ๆ
ต้าหูทั้งสามคนมักจะไปเล่นที่ต่าง ๆ บ่อย ๆ อาจจะรู้บางอย่างที่โม่ฮว่าไม่รู้ก็ได้
ต้าหูคิดสักครู่ แล้วส่ายหน้าพูดว่า: "การสอบวัดระดับอาจารย์ค่ายกลนั้นยากมาก ในละแวกบ้านเราไม่มีอาจารย์ค่ายกลระดับหนึ่งเลยสักคน ข้าก็ไม่ค่อยรู้..."
"อย่าว่าแต่ละแวกบ้านเราเลย แม้แต่ทั้งเมืองตงเซียน อาจารย์ค่ายกลก็มีไม่มาก คนที่สามารถผ่านการสอบวัดระดับเป็นอาจารย์ค่ายกลระดับหนึ่งได้ยิ่งน้อยกว่า ลุงห่าง ๆ คนหนึ่งในตระกูลเมิ่งของพวกเรา ศึกษาค่ายกลทุกวัน สอบมายี่สิบปีก็ยังไม่ผ่านเป็นอาจารย์ค่ายกลระดับหนึ่ง..." เสี่ยวหูส่ายหน้าพลางแลบลิ้น
"เจ้าฟังผิดแล้ว ลุงเมิ่งแค่เป็นลูกศิษย์ค่ายกล เขาอยากฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์ค่ายกล เพื่อเรียนค่ายกล แต่คนอื่นออกข้อสอบมาถาม เขาตอบไม่ได้ คนอื่นก็เลยไม่รับ"
ซวงหูทำปากเบ้พูด แล้วนับนิ้วไล่ไป:
"ลูกศิษย์ อาจารย์ค่ายกลธรรมดา อาจารย์ค่ายกลระดับหนึ่ง... ลุงเมิ่งไม่ได้ไปสอบวัดระดับ คนที่ไปสอบวัดระดับต้องเป็นอาจารย์ค่ายกลที่มีชื่อเสียงบ้างแล้ว เขายังห่างไกลจากการสอบวัดระดับอีกตั้งเยอะ!"
โม่ฮว่าถามอย่างสงสัย: "งั้นเขาเลี้ยงชีพด้วยอะไร?"
"ข้าได้ยินว่าเขาช่วยห้างร้านวาดค่ายกลง่าย ๆ แล้วได้หินวิญญาณมาบ้าง เอาหินวิญญาณไปซื้อพู่กันหมึก แล้วก็ฝึกค่ายกล จากนั้นก็ฝากตัวเป็นศิษย์ ไม่ได้อีก ก็กลับไปช่วยห้างร้านวาดค่ายกล..."
"ห้างร้านหรือ..."
"ใช่ ได้ยินว่าแม้จะสอบวัดระดับไม่ได้ เป็นอาจารย์ค่ายกลระดับหนึ่งไม่ได้ แค่เป็นอาจารย์ค่ายกลธรรมดา วาดค่ายกลให้ห้างร้าน ก็ยังหาหินวิญญาณได้ไม่น้อย ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง"
ซวงหูพูด แล้วก็ถามโม่ฮว่าว่า:
"โม่ฮว่า เจ้าอยากเป็นอาจารย์ค่ายกลหรือ?"
"อืม" โม่ฮว่าไม่ปิดบัง "ร่างกายข้าอ่อนแอเกินไป คงเป็นนักล่าสัตว์อสูรไม่ได้ ถูกสัตว์อสูรตบทีเดียว ชีวิตคงเหลือแค่ครึ่งเดียว ต้องหาอาชีพเลี้ยงตัวสักอย่างจึงจะดี แต่พูดเรื่องนี้ตอนนี้ก็ยังเร็วไป ข้าขอดูก่อนว่าจะหาหินวิญญาณได้ไหม ถ้าหาได้ ก็จะเลี้ยงขนมพวกเจ้า!"
พอได้ยินเช่นนั้น ต้าหูทั้งสามคนก็ดีใจขึ้นมาทันที
"ดีเลย ดีเลย!"
"เจ้าฉลาดขนาดนี้ ต้องหาหินวิญญาณได้แน่ ๆ อนาคตก็ต้องเป็นอาจารย์ค่ายกลได้!"
"ขนม ขนม!"
สำหรับเด็กในครอบครัวนักพรตอิสระธรรมดา แม้แต่ขนมธรรมดาข้างทาง ก็แทบจะไม่ได้กินเลย
หลายคนเดินเที่ยวอีกรอบ นอกจากสาว ๆ สวย ๆ ที่ไม่ได้เห็น ก็ได้เที่ยวชมทุกอย่างแล้ว เมื่อใกล้เที่ยง ต่างก็แยกย้ายกลับบ้านไปกินข้าวอย่างพอใจ
โม่ฮว่ากินข้าวเที่ยงเสร็จ บอกพ่อแม่ว่าจะออกไปเล่น จากนั้นก็ไปที่ถนนเหนือของเมืองตงเซียนคนเดียว
ถนนเหนือของเมืองตงเซียนหรูหรา ถนนใต้คึกคัก
ถนนใต้มีตลาดมาก ส่วนใหญ่เป็นแผงลอยเล็ก ๆ แต่ถนนเหนือมีห้างร้านมาก มีทั้งเครื่องรางอาคม ยาลูกกลอน อาวุธวิเศษครบครัน สิ่งของที่ขายมีมาตรฐานกว่า คุณภาพดีกว่า แน่นอนว่าราคาก็แพงกว่าด้วย
แต่โม่ฮว่าไม่ได้มาซื้อของ เขาก็ไม่มีหินวิญญาณพอ
โม่ฮว่าเดินจากต้นถนนไปจนสุดถนน ดูห้างร้านทั้งหมดจนครบ แล้วเลือกเข้าไปในห้างร้านแห่งหนึ่งที่มีค่ายกลแขวนอยู่หน้าประตู แต่ดูซอมซ่อและเรียบง่ายที่สุด ทั้งยังมีลูกค้าน้อยที่สุดด้วย