ตอนที่ 506 บุกโลกชั้นในของอสูรอมตะ (ฟรี)
ตอนที่ 506 บุกโลกชั้นในของอสูรอมตะ
เมื่อได้ยิน ซูหยางยิ้มเบา ๆ และมองไปที่หลงอ่าวเทียนด้วยความรังเกียจ "เจ้าคิดว่าจะออกคำสั่งข้าได้งั้นรึ"
อีกฝ่ายกล้าพูดกับเขาแบบนี้แม้ว่าจะเป็นจ้าวอมตะนิรันดร์เหมือนกัน คิดว่าจะชนะเขาได้ตลอดหรือยังไง?
เมื่อถูกออกคำสั่ง ซูหยางก็รู้สึกไม่พอใจ
หลงอ่าวเทียนไม่โกรธเมื่อได้ยิน และตอบอย่างใจเย็น "ก็ลองดูสิ"
จากนั้นเขาก็ไม่ให้โอกาสซูหยางพูด ในเมื่อซูหยางวางแผนที่จะสร้างปัญหาต่อ ทำไมเขาต้องฟังคำพูดไร้สาระของอีกฝ่ายด้วย
ดังนั้นเขาจึงเหยียดฝ่ามือออก และบีบช้าๆ ด้วยการบีบของเขา ความว่างเปล่ารอบๆ ตัวซูหยางก็พังทลายลง และร่างโคลนของซูหยางก็สลายไป
หลังจากทำลายร่างโคลนของซูหยางแล้ว หลงอ่าวเทียนก็ยังไม่จากไปไหน ในเมื่อซูหยางบอกแล้วว่าจะไม่ถอย เขาก็จะรออยู่ที่นี่?
เขาจะเฝ้าอยู่ที่นี่ และรอให้ซูหยางมา จากนั้นก็ลงมือ เขาต้องการเห็นว่าจะทำลายร่างโคลนของอีกฝ่ายได้มากเท่าไร
นอกจากนี้ เขายังควบแน่นตราสลักโลหิต ตราบใดที่ซูหยางปรากฏตัวอีกครั้ง ด้วยตรานี้ เขาจะหาตำแหน่งของซูหยางได้อย่างรวดเร็ว
บางที เขาอาจได้พบกับร่างหลักของซูหยางโดยบังเอิญ ณ จุดใดจุดหนึ่ง หากเขาสามารถฆ่าร่างหลักของซูหยางได้ ได้ภายในเวลานั้น หากซูหยางต้องการฟื้นคืนชีพก็ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นการให้บทเรียนแก่ซูหยาง
ด้วยความคิดนี้ หลงอ่าวเทียนจึงรออยู่ที่นี่
ในเวลาเดียวกัน ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ซูหยางควบแน่ร่างโคลนใหม่ เขาก็ยังไม่ได้ส่งมันไปยังทะเลหมื่นอสูร
เนื่องจากเผ่ามังกรได้เพิ่มการเฝ้าระวังแล้ว
นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายจริงจังกับเรื่องนี้ แม้ว่าเขาจะไม่กลัวเผ่ามังกรนี้ก็ตาม
แต่ถ้าศัตรูจับจ้องเขาอยู่ตลอดเวลา เขาก็จะไม่สามารถรวบรวมทรัพยากรได้
เมื่อเป็นแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องไปที่ทะเลหมื่นอสูร
ดังนั้น ไม่สำคัญว่าอีกฝ่ายจะพูดจาหยาบคายยังไง เขาก็ไม่คิดจะไปเสียเวลาเล่นด้วย
มันยังไม่สายเกินไปที่จะย้อนกลับไปเมื่อความแข็งแกร่งของเขาสูงขึ้น ไม่ว่ายัง ด้วยพลังของจ้าวอมตะนิรันดร์ เขาสามารถออกไปรวบรวมทรัพยากรได้ทุกที่ๆ เขาต้องการ
ทำให้ตอนนี้เขาไม่ได้วางแผนที่จะเข้าไปยังแดนต้นกำเนิดอีก แต่วางแผนที่จะมุ่งหน้าไปยังโลกชั้นใน
ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ เขาพอจะมีส่วนร่วมในมหาสงครามระหว่างโลกชั้นใน และมิติโกลาหลได้
เขายังสามารถมีบทบาทสำคัญได้อีกด้วย ท้ายที่สุด เขาเป็นจ้าวอมตะนิรันดร์แล้ว แม้จะอยู่ในขั้นต้น เขาก็ยังทรงพลังมากกว่าจ้าวอมตะนิรันดร์หลายคนของทั้งสองฝ่าย
ระดับพลังของต้นกำเนิดจักรวาล และแดนต้นกำเนิดไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
ผู้ฝึกฝนในแดนต้นกำเนิดจะมีพลังมากกว่า อาจจะมีพลังมากกว่าผู้ฝึกฝนในต้นกำเนิดจักรวาลเป็นร้อยเท่า
พลังของซูหยางนั้นเหมือนกับระดับพลังของแดนต้นกำเนิด ดังนั้นแม้จะเป็นจ้าวอมตะนิรันดร์เหมือนกัน แต่ซูหยางก็ยังแข็งแกร่งกว่าจ้าวอมตะนิรันดร์ในต้นกำเนิดจักรวาลนับร้อยเท่า
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพลังที่ไร้สิ้นสุด เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าจ้าวอมตะนิรันดร์ของแดนต้นกำเนิดที่อยู่ในระดับเดียวกัน
ดังนั้น ด้วยความแข็งแกร่งดังกล่าว แม้ว่าจะมีอสูรอมตะระดับจ้าวอมตะนิรันดร์ขั้นสูงสุดอยู่ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่สามารถเอาชนะเขาได้ ดังนั้นการสำรวจโลกชั้นในจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
บางทีเขาอาจจะพบทรัพยากรบางอย่างที่เขาต้องการในโลกชั้นใน ท้ายที่สุดแล้ว การรุกราน และสงครามระหว่างสองฝ่ายจะนำมาซึ่งผลประโยชน์บางอย่าง
จะต้องมีทรัพยากรระดับสูงที่พวกเขาต้องการ ดังนั้นผู้ฝึกฝนระดับสูงจึงทำเช่นนี้
เพราะหากเป็นทรัพยากรระดับกลางหรือระดับล่าง คงไม่อาจดึงความสนใจของตัวตนระดับสูงของทั้งสองฝ่ายได้
คนกลุ่มเดียวที่สามารถตัดสินการต่อสู้ระหว่างสองต้นกำเนิดจักรวาลได้คือ ผู้ที่ทรงพลังที่สุดในต้นกำเนิดจักรวาลนั้นๆ
ด้วยความคิดนี้ ซูหยางก็ตรงไปยังเขตสงครามที่เขาปกป้องอยู่
ในเวลานี้ อสูรอมตะที่ประจำการอยู่ที่นี่ก็ค้นพบซูหยางเช่นกัน หลังจากเห็นซูหยาง พวกเขาก็รู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม ท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นแล้วว่าซูหยางแข็งแกร่งแค่ไหน
ถ้าซูหยางไม่ออมมือเอาไว้ พวกเขาก็คงจะตายไปนานแล้ว
แต่ตอนนี้ซูหยางปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขา นี่ไม่ใช่ข่าวดี สิ่งนี้ทำให้ร่างของพวกเขาสั่นสะท้าน และรู้สึกถึงอันตรายถึงตาย
ในความเป็นจริง สัญชาตญาณพวกเขานั้นไม่ผิด หลังจากที่ซูหยางปรากฏตัว เขาก็ดีดนิ้ว
ในชั่วพริบตา อสูรอมตะระดับจ้าวแห่งเต๋าหลายร้อยตนที่ประจำการอยู่ที่นี่ล้วนถูกทำลายล้าง และสลายหายไป
ไม่มีเศษซากใดๆ เหลืออยู่
หลังจากจัดการอสูรอมตะเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว ซูหยางก็ก้าวผ่านรอยแยกมิติ และมาถึงโลกชั้นใน
เมื่อมาถึงโลกชั้นในที่ซึ่งอสูรอมตะถือกำเนิดขึ้น ซูหยางก็แผ่จิตสัมผัสออกไป
ในช่วงเวลาสั้นๆ สถานการณ์ของโลกชั้นในก็ปรากฏขึ้นในใจของซูหยาง และในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้รับข้อมูลจำนวนมาก
และหลังจากแผ่จิตสัมผัส ซูหยางก็ค้นพบสิ่งที่เขาต้องการ ในโลกชั้นในแห่งนี้ มีทรัพยากรที่เขาต้องการอยู่จริงๆ
การถือกำเนิดของอสูรอมตะเหล่านี้ซึ่งเกิดจากรัง
ดังนั้น จึงมีรังจำนวนมากทั่วทั้งโลกชั้นใน รังของอสูรอมตะสามารถพบเห็นได้ทุกที่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
ทรัพยากรจำนวนมากได้ถือกำเนิดขึ้นในรังเหล่านี้ และทรัพยากรเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการถือกำเนิดของอสูรอมตะ
รังทั้งหมดดูดซับพลังฟ้าดินอยู่ตลอดเวลา จากนั้นจึงเปลี่ยนมันให้เป็นอสูรอมตะ เช่นเดียวกับค่ายทหารที่สร้างกำลังรบอยู่สม่ำเสมอ
และหลังจากเข้าสู่โลกชั้นในแล้ว ซูหยางก็ค้นพบว่าอีกฝ่ายไม่เพียงแต่บุกรุกมิติโกลาหลเท่านั้น
พวกเขากำลังเปิดสนามในแนวรบอื่นๆ และปล้นทรัพยากรจากที่อื่นๆ บางแห่งที่ถูกรุกรานถูกยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ไปแล้ว
สิ่งนี้ยังทำให้เผ่าอสูรอมตะทรงพลังมาก โดยให้กำเนิดกำลังรบที่ทรงพลังขึ้น และเริ่มบุกโจมตีมิติโกลาหล
อย่างไรก็ตาม ทรัพยากรที่ซูหยางต้องการนั้นอยู่ในรังอสูรอมตะเหล่านั้น
ในรังอสูรอมตะ มีพลังฟ้าดินถูกรวบรวมเอาไว้ ระบบของเขาสามารถดูดซับพลังเหล่านี้ และเปลี่ยนให้เป็นแต้มมโนภาพได้
นอกจากพลังฟ้าดินแล้วยังมีแกนกลางของรังซึ่งถือเป็นของดีอีกด้วย
ระดับของรังแบ่งออกเป็นสี่ระดับ
สำหรับจำนวนทรัพยากรที่แต่ละระดับมอบให้ได้นั้น ซูหยางต้องตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
ตอนนี้ซูหยางได้มาถึงที่นี่แล้ว เขาจึงไม่สามารถกลับไปมือเปล่าได้ เขาต้องดูว่ารังเหล่านี้จะมอบทรัพยากรมาให้เขาได้มากเพียงใด
ในไม่ช้า รังระดับหนึ่งก็ถูกทำลาย
ทรัพยากรในรังถูกเขายึดเอามา นอกเหนือจากพลังฟ้าดินแล้ว ยังมีแกนกลางของรังที่ได้ถูกเปลี่ยนเป็นแต้มมโนภาพด้วย
เมื่อรวมกับพลังฟ้าดินที่ถูกแปลง รังระดับหนึ่งได้มอบแต้มมโนภาพให้เขามากกว่า 600 จุด
ผลการเก็บเกี่ยวไม่ได้น้อย ต้องรู้ว่านี่เป็นรังระดับต่ำสุดเท่านั้น
สิ่งนี้ยังทำให้ซูหยางสนใจรังระดับสูงมากขึ้น
ในเวลาเดียวกัน สัญญาณเตือนที่รุนแรงก็ได้ปะทุขึ้นในโลกชั้นใน และอสูรอมตะทุกตนก็ได้รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
มีศัตรูบุกเข้ามา!
ขณะที่ซูหยางเข้าสู่โลกชั้นใน และโจมตีรังระดับหนึ่ง สัญญาณเตือนก็ดังไปทั่วโลกชั้นใน เข้าหูของอสูรอมตะทุกตน
หลังจากที่โลกชั้นในปะทุขึ้นพร้อมกับสัญญาณเตือนที่รุนแรง มันก็เรียกอสูรอมตะจำนวนมากออกมาในทันที
เพียงแต่อสูรอมตะที่ปรากฏตัวออกมาในเวลานี้ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มของอสูรอมตะระดับจ้าวแห่งเต๋าที่ค่อนข้างทรงพลัง
เนื่องจากรังที่ถูกทำลายในครั้งนี้เป็นเพียงรังระดับหนึ่ง วิกฤติที่เกิดขึ้นอาจอยู่ในระดับจ้าวแห่งเต๋า
ดังนั้น อสูรอมตะที่ส่งออกมาจึงเป็นอสูรอมตะระดับจ้าวแห่งเต๋า ไม่ได้ส่งอสูรอมตะที่ทรงพลังกว่านี้ออกมา
เนื่องจากรังถูกทำลายในพริบตา ความแข็งแกร่งของซูหยางจึงไม่ชัดเจน
แค่ว่าในโลกชั้นในเหมือนเครือข่ายที่เชื่อมโยงถึงกัน อสูรอมตะเหล่านี้จึงรู้ว่ามีรังระดับหนึ่งถูกทำลายลง
แต่พวกเขาก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาต้องทำตอนนี้คือ ส่งคนออกไปตรวจสอบสถานการณ์
หากอสูรอมตะกลุ่มนี้สามารถแก้ไขวิกฤติที่พวกเขาเผชิญอยู่ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องส่งกลุ่มที่แข็งแกร่งกว่านี้มา
หากอสูรอมตะกลุ่มนี้ไม่สามารถแก้ไขวิกฤตได้ เมื่อได้ข้อมูลเพิ่มเติม พวกเขาก็จะส่งอสูรอมตะที่แข็งแกร่งกว่าเดิมออกไป
โลกชั้นในนั้นเหมือนกับใยแมงมุมขนาดใหญ่ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น ณ จุดๆ หนึ่ง อสูรอมตะที่ควบคุมใยแมงมุมนี้ก็จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ข้อบกพร่องประการเดียวคือ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจง และต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเอาเองเท่านั้น