บทที่ 412 แผนกลืนช้าง กำลังจะเป็นจริง!
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอน แต่จะราคาแพงที่สุด]
[คนอ่านแต่ละตอนไม่ถึง 10 คน ขอร้องอย่า copy ไปเลยนะ อันนี้แปลเพราะอยากแปลจริง ๆ ไม่งั้นทิ้งไปนานแล้ว ,เพราะไปทำงานอื่นได้เงินกว่าเยอะ ที่แปลเนี่ยได้วันละ 20 บาทเอง]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนและแชร์กันเป็นคณะ100คน ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบไม่แก้คำผิด และยิบย่อยมากมาย ไปนั่นแหละ]
บทที่ 412 แผนกลืนช้าง กำลังจะเป็นจริง!
กองเรือหลวงมุ่งหน้าสู่เหอเป่ยเหนือ ล่องลอยไปในสายน้ำฉ่ำเย็นไร้ซึ่งอุปสรรคใด
ทว่า ณ แดนช้างเผือก กลับบังเกิดเหตุการณ์เล็ก ๆ ที่อาจสั่นสะเทือนพิภพ เพื่อให้ทันกำหนดส่งเครื่องบรรณาการแด่อาณาจักรอู๋อันยิ่งใหญ่ จักรพรรดิแห่งช้างเผือกจึงรีดนาทาเร้นราษฎรอย่างหนักหน่วง ความไม่พอใจก่อตัวขึ้นเป็นวงกว้าง แต่บัดนี้ เมื่อมีข่าวลือเรื่อง 'ความเป็นอมตะ' จักรพรรดิแห่งแดนช้างเผือกก็ลุ่มหลงมัวเมา
แม้เป็นเพียงจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเล็ก ๆ แต่พระองค์ก็ยังโหยหาชีวิตนิรันดร์! เพื่อไขว่คว้าความฝันอันสูงส่งนี้ จำต้องรวบรวมทรัพย์สมบัติมหาศาลเช่นเดียวกับอาณาจักรอื่น ๆ ไม่อาจไปเบียดเบียนอาณาจักรอื่นได้ ก็หันมากดขี่ราษฎรของตนเอง ก่อให้เกิดความวุ่นวายและทุกข์เข็ญภายในอาณาจักร ไพร่ฟ้าต่างโศกเศร้าอาดูร ปรารถนาจะหลบหนีจากแดนทุกข์ แต่หากคิดจะหลบหนี ก็จะถูกทหารของจักรพรรดิจับกุมทันที
พวกเขาอยากจะลุกฮือ แต่ไร้ซึ่งกำลัง จอมยุทธ์และมีความสามารถต่างเดินทางสู่อาณาจักรอู๋อันยิ่งใหญ่ไปหมดแล้ว เหลือเพียงผู้คนที่ไร้ซึ่งความสามารถไม่สามารถต่อกรกับอำนาจจักรพรรดิได้ ต้องทนทุกข์ภายใต้การปกครองอันกดขี่
การลุกฮือของพวกเขาจึงถูกปราบปรามอย่างรวดเร็ว ชีวิตยิ่งยากลำบากไร้ที่สิ้นสุด
ในที่สุด จอมยุทธ์พเนจรบางคนที่ผ่านมา ก็ทนเห็นความอยุติธรรมนี้ต่อไปไม่ไหว
พวกเขาเข้าช่วยเหลือเมื่อเห็นความอยุติธรรม ด้วยเพลงกระบี่และวิทยายุทธ์ พวกเขาสามารถสังหารทหารของจักรพรรดิได้บางส่วน ช่วยชีวิตผู้คนที่กำลังทุกข์ทรมานของอาณาจักรช้างเผือกได้
"บัดนี้ พวกเจ้าเป็นอิสระแล้ว จงออกไปจากที่นี่เสีย!” จอมยุทธ์เอ่ยวาจา แต่ทว่า เหล่าราษฎรแห่งอาณาจักรช้างเผือกกลับมิได้ขยับเขยื้อน แววตาเหม่อลอยราวกับไร้วิญญาณ
จอมยุทธ์หนุ่มขมวดคิ้ว "เหตุใดพวกเจ้าจึงมิจากไป? หากยังรีรอเช่นนี้ กองทัพจักรพรรดิจะตามมาทัน!”
ผู้อาวุโสผู้หนึ่งใบหน้าหมองหม่น ถอนใจเฮือกใหญ่ "ใต้หล้านี้กว้างใหญ่ แต่พวกข้าจะหนีไปแห่งหนใด? พวกข้าเป็นเพียงชาวบ้านตาดำ ๆ ไม่ว่าจะไปที่ใด ก็มิอาจหลุดพ้นจากเงื้อมมือของอาณาจักรช้างเผือก เมื่อถูกจับกุม ชีวิตก็มีแต่จะทุกข์ทรมานยิ่งกว่าเดิม!”
"ถูกแล้ว พวกข้าหลายคนเคยคิดหลบหนี แต่สุดท้ายก็ถูกจับกลับมา!”
"เมื่อถูกจับกลับมา ชีวิตก็ยิ่งสาหัส!”
"บางคนหนีถึงสองครั้ง แต่ก็มิอาจรอดพ้นเงื้อมมือของราชการ สุดท้ายถูกทุบตีจนสิ้นใจ ร้องโหยหวนทั้งคืน!”
"โอ้ สวรรค์ช่างโหดร้าย! หากแต่พวกข้าหนีไปยังอาณาจักรอู๋อันยิ่งใหญ่ตั้งแต่แรกก็คงดี!”
"บัดนี้สายเกินไปแล้ว มีแต่รอความตายเท่านั้น!”
จอมยุทธ์หนุ่มยิ่งฉงน "พวกเจ้าจะอยู่ที่นี่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลยหรือ?"
"แล้วพวกข้าจะทำอะไรได้?" ผู้อาวุโสเอ่ยเสียงเศร้า "พวกข้ามิได้มีวรยุทธ์สูงส่งเช่นท่านที่จะไปที่ใดก็ได้ตามใจ ยิ่งหนีก็มีแต่จะตายเร็วขึ้นเท่านั้น!”
ผู้อาวุโสโบกมือ "จอมยุทธ์ผู้เกรียงไกร ท่านจงไปเถิด! พวกข้ารู้ว่าท่านหวังดี แต่ท่านช่วยพวกข้าได้เพียงชั่วคราว มิอาจช่วยได้ตลอดชีวิต ดังนั้น จงไปเถิด อย่าได้ห่วงใยพวกข้าเลย!”
"ใช่แล้ว ท่านจงไปเถิด! หากกองทัพจักรพรรดิมา ท่านอาจจะออกไปไม่ได้!”
"ท่านจงไปเถิด พวกข้ามีเรื่องต้องสะสาง!”
ราษฎรต่างกุมจอบเสียมในมือ ทำไร่ไถนาต่อไป ดวงตาของพวกเขาว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวา ดั่งร่างไร้วิญญาณที่ยังเคลื่อนไหวได้
เป็นครั้งแรกที่จอมยุทธ์หนุ่มตระหนักว่า แม้มีวรยุทธ์สูงส่งเพียงใด หากไม่อาจช่วยเหลือผู้คนได้ ก็ไร้ค่า!
ดังคำกล่าวที่ว่า เขาอาจช่วยพวกเขาได้ชั่วคราว แต่ไม่อาจช่วยเหลือพวกเขาไปตลอดชีวิต หากทำเช่นนั้น ชีวิตของพวกเขาอาจยิ่งลำบากกว่าเดิม!
ตลอดชีวิต?
จอมยุทธ์หนุ่มรู้สึกจนปัญญา เขาอยากช่วยเหลือ แต่กลับไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร
"บอกข้า! บอกข้าว่าข้าจะช่วยพวกเจ้าได้อย่างไร!” เขาตะโกนถาม
ราษฎรต่างมองหน้ากันด้วยความงุนงง พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือตนเองได้อย่างไร หากรู้...
"บางที... อาจจะมีทาง แต่ยากนัก" ผู้อาวุโสเอ่ยขึ้นพร้อมถอนหายใจ
"ทางใด?" จอมยุทธ์หนุ่มถามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
"ไปพบท่านเสนาบดีแห่งอาณาจักรอู๋อันยิ่งใหญ่! ครั้งหนึ่งท่านเคยพาผู้คนกว่าสองล้านคนไปยังอาณาจักรอู๋อันยิ่งใหญ่ และมอบชีวิตใหม่ให้พวกเขา! หากมีผู้ใดสามารถช่วยพวกเราให้พ้นจากความทุกข์นี้ได้ ก็คงมีเพียงท่านเสนาบดีเท่านั้น!” ดวงตาของผู้อาวุโสเปล่งประกายด้วยความหวัง
"ใช่ ไปหาท่าน! ท่านช่วยพวกเราได้!”
"ท่านคือความหวังเดียวของพวกเรา!”
ในแววตาอันว่างเปล่าของราษฎรคนอื่น ๆ ก็เริ่มมีแสงแห่งความหวังเรืองรองขึ้นมา
ท่านเสนาบดีแห่งอาณาจักรอู๋อันยิ่งใหญ่ เป็นขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยพบพาน มีเกียรติยศยิ่งกว่าจักรพรรดิของพวกเขาเสียอีก มีอำนาจล้นฟ้า ในความเข้าใจของพวกเขา ท่านอาจเป็นผู้เดียวที่สามารถทัดทานจักรพรรดิของพวกเขาได้ ท่านเคยช่วยผู้คนสองล้านคนให้รอดพ้นจากเงื้อมมือขององค์จักรพรรดิช้างเผือกในอดีต ดังนั้นท่านอาจมีอำนาจที่จะช่วยเหลือพวกเขาในตอนนี้
"ท่านเสนาบดีแห่งอาณาจักรอู๋อันยิ่งใหญ่? ได้ ข้าจะไปหาท่านผู้นั้นให้เอง!”
ด้วยความหวังอันแรงกล้าแห่งมวลชน จอมยุทธ์ผู้นี้จึงมุ่งหน้าออกจากอาณาจักรช้างเผือก สู่อาณาจักรอู๋อันยิ่งใหญ่ เพื่อตามหาหลินเป่ยฟาน เขาได้ยินมาว่าหลินเป่ยฟานมิได้อยู่ในนครหลวง แต่กำลังติดตามองค์จักรพรรดินีออกท่องอาณาจักร เขาจึงออกติดตามร่องรอยของหลินเป่ยฟานไปทั่ว เดินทางผ่านอาณาจักรอู๋อันยิ่งใหญ่ไปเกือบครึ่งหนึ่ง ตลอดเส้นทาง เขาได้พบเห็นสิ่งที่ทำให้ใจเต้นระรัว
“สามปีก่อน ครั้งข้ามาเยือนที่นี่ที่แห่งนี้ยังเป็นดินแดนอันโหดร้าย เสือสิงจ้องตะครุบเหยื่อ ราษฎรล้วนถูกกดขี่ ข้าไม่เคยคาดคิดว่าเพียงสามปี สถานที่นี้จะเปลี่ยนแปลงไปมากมายถึงเพียงนี้ ยุคแห่งศึกอ๋องสงครามจบสิ้น การฉ้อราษฎร์บังหลวงลดน้อยลง ความสงบสุขกลับคืนมา ใบหน้าของผู้คนเปื้อนยิ้มอีกครั้ง...”
“ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้นจนแทบไม่น่าเชื่อ! เมื่อเทียบกับที่นี่ อาณาจักรอื่น ๆ ดูเสื่อมโทรมลงทุกวัน น่าเศร้าใจนัก!”
“การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ ดูเหมือนจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อหลินเป่ยฟานเข้ารับตำแหน่ง!”
“บุรุษผู้นี้ช่างพิสดารยิ่งนัก! จะว่าเป็นขุนนางฉ้อฉลก็ได้ แต่เขากลับทำคุณประโยชน์ใหญ่หลวงให้แก่ปวงชน จะว่าเป็นขุนนางผู้จงรักภักดีก็ได้ แต่ความละโมบของเขากลับไร้ขีดจำกัด และผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินก็รู้ดี เรียกเขาว่าขุนนางที่โลภมากที่สุดในแผ่นดินก็คงไม่ผิดนัก!”
“เฮ้อ น่าฉงนยิ่งนัก! ช่างเถิด ข้าไม่ควรใส่ใจเรื่องนี้มากเกินไป สิ่งสำคัญตอนนี้คือต้องตามหาเขาให้พบ!”
ในที่สุดเขาก็มาถึงเหอเป่ยเหนือ และได้พบกับหลินเป่ยฟานซึ่งกำลังท่องเที่ยวอยู่บนภูเขากับองค์จักรพรรดินี
ทว่า เหล่าขุนนางที่ติดตามมาด้วยได้เข้ามาขัดขวาง ยอดฝีมือผู้นี้ไม่กล้าใช้กำลัง เพราะเกรงว่าจะทำให้หลินเป่ยฟานขุ่นเคือง
ทันใดนั้น ชายผู้นั้นก็โค้งคำนับลง "ท่านอัครเสนาบดี ข้ามีเรื่องด่วนจะกล่าว! หวังว่าท่านจะกรุณาสละเวลาสักครู่ ข้าจะจดจำพระคุณนี้ไม่มีวันลืม!”
ท่านอัครเสนาบดีหลินและองค์จักรพรรดินีมองหน้ากัน "ฝ่าบาท กระหม่อมขอทูลลาไปสักครู่ แล้วจะรีบกลับมากราบทูล"
"ไปเถิด รีบไปรีบมา"
"ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"
ท่านอัครเสนาบดีหลินสาวเท้าเข้าไปใกล้ เอ่ยถาม "เจ้าเป็นผู้ใด มีธุระอันใด หากไม่พูดให้ตรงประเด็น ระวังจะถูกตั้งข้อหาสร้างความวุ่นวาย!”
ยอดฝีมือผู้นั้นกล่าวอย่างหนักแน่น "ข้า หลิวเฮ่าเทียน เป็นจอมยุทธ์! ครานี้ ข้ามาในนามของราษฎรแห่งอาณาจักรช้างเผือก..."
หลิวเฮ่าเทียนเล่าเรื่องราวที่ประสบพบเห็นในอาณาจักรช้างเผือก ยิ่งเล่ายิ่งสะเทือนอารมณ์
"อาณาจักรช้างเผือกในบัดนี้ ภายใต้การปกครองขององค์จักรพรรดิช้างเผือก กำลังตกอยู่ในห้วงทุกข์เข็ญ ราษฎรเดือดร้อนแสนสาหัส!”
"ข้าเคยช่วยเหลือชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง แต่พวกเขากลับมาหาข้าอีก! เพราะสำหรับพวกเขา การหลบหนีคือหนทางสู่ความตาย การอยู่ต่ออาจยังมีหวัง!”
"ข้ามีวรยุทธ์ แต่ก็ไม่อาจช่วยพวกเขาได้ น่าเศร้าสลดใจยิ่งนัก!”
"พวกเขากล่าวว่า มีเพียงท่านเท่านั้นที่จะช่วยพวกเขาได้!”
หลิวเฮ่าเทียนกล่าวด้วยความเคารพ "ข้าจึงมาพร้อมกับความหวังของพวกเขา! หวังว่าท่านอัครเสนาบดีจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ข้าจะจดจำพระคุณนี้ไม่มีวันลืม!”
หลินเป่ยฟานพยักหน้ารับ "ข้าเข้าใจในเจตจำนงค์อันแรงกล้าที่นำพาเจ้ามาไกลถึงเพียงนี้ การที่เจ้าบากบั่นมาถึงที่นี่ได้ นับว่าเป็นผู้มีคุณธรรมยิ่งนัก ข้าคารวะในน้ำใจของเจ้าอย่างไรก็ตาม เรื่องที่เจ้ากล่าวถึงนั้น เป็นเรื่องภายในของอาณาจักรช้างเผือก ข้าเป็นขุนนางแห่งอาณาจักรอู๋อันยิ่งใหญ่ หากเข้าไปก้าวก่าย ย่อมไม่สมควร"
หลิวเฮ่าเทียนนิ่งงัน คำพูดติดอยู่ที่ปลายลิ้น
หลินเป่ยฟานกล่าวต่อ "หากข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว นั่นจะกลายเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของอาณาจักรอื่น! ยากนักที่จะอธิบายต่อเบื้องยุคลบาทและชาวโลก ผลที่ตามมาอาจส่งผลกระทบต่อตำแหน่งของข้า หรือร้ายแรงกว่านั้น อาจถึงขั้นต้องแลกด้วยชีวิต ข้าไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเสี่ยงภัยใหญ่หลวงเช่นนี้เพื่อผู้คนจากอาณาจักรอื่น ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ซับซ้อนยิ่งนักไม่อาจแก้ไขได้โดยง่าย ดังนั้น ข้าต้องขออภัยด้วย แต่ข้าคงไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้"
หลิวเฮ่าเทียนร้อนใจยิ่งนัก "แต่ท่านอัครมหาเสนาบดี พวกเขาบอกว่ามีเพียงท่านเท่านั้นที่ช่วยพวกเขาได้!”
หลินเป่ยฟานยังคงสงบนิ่ง "แน่นอน ข้าช่วยได้ แต่ข้าช่วยในตอนนี้ไม่ได้ ข้าได้อธิบายเหตุผลไปแล้ว อย่าได้จมปลักอยู่กับมันเลย นอกจากนี้ การพบกันของเราเป็นเรื่องบังเอิญ ใครจะรู้ว่าเจ้ามีจุดประสงค์แอบแฝงหรือไม่? ดังนั้น ทั้งเหตุผลและความรู้สึก ข้าไม่อาจช่วยเหลือได้จริง ๆ "
หลิวเฮ่าเทียนสิ้นหวังยิ่งกว่าเดิม วิงวอน "ท่านอัครมหาเสนาบดี ข้าขอสาบานด้วยชีวิตของครอบครัวข้าว่าทุกคำที่ข้าพูดเป็นความจริง! หากมิเป็นเช่นนั้น ขอให้ฟ้าผ่าลงมา!”
"แม้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดจะเป็นความจริง ข้าก็ยังช่วยไม่ได้..." หลินเป่ยฟานเว้นวรรค
ทันใดนั้น หลิวเฮ่าเทียนทรุดกายลงคุกเข่า กล่าววิงวอน "ขอท่านอัครมหาเสนาบดี โปรดเมตตา ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ปกป้องชีวิตราษฎรแห่งแดนช้างเผือก! พวกเขาสิ้นหนทางแล้ว มีเพียงท่านเท่านั้นที่ช่วยพวกเขาได้!”
หลินเป่ยฟานซาบซึ้งใจ กล่าวว่า "เข่าของบุรุษมีค่าดั่งทองคำ ท่านยอมคุกเข่าเพื่อคนต่างแดน จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ โปรดยืนขึ้นเถิด ข้ารับการแสดงออกอันสูงส่งเช่นนี้ไว้ไม่ได้"
ทว่า หลิวเฮ่าเทียนยังคงคุกเข่า "หากข้าสามารถช่วยชีวิตผู้คนนับล้านได้ การเสียหน้าเล็กน้อยของข้าจะมีความหมายอันใด? ขอท่านโปรดเมตตา!”
"ท่านเป็นจอมยุทธ์ที่แท้จริง มีคุณธรรมอันสูงส่ง จิตใจบริสุทธิ์ดุจดอกบัว ข้ายกย่องท่านยิ่งนัก ข้าก็มิใช่คนใจร้าย..."
ในที่สุด หลินเป่ยฟานก็ใจอ่อน "เอาเช่นนี้ หากท่านสามารถรวบรวมจดหมายร้องขอจากราษฎรแห่งแดนช้างเผือกได้หนึ่งล้านฉบับ ข้าจะลองเสี่ยงทูลขอฝ่าบาท ให้ส่งกองทัพไปช่วยเหลือพวกเขา"
หลิวเฮ่าเทียนดีใจจนเนื้อเต้น "ขอบพระคุณท่านอัครมหาเสนาบดี ข้าจะไปรวบรวมจดหมายร้องขอ!”
เขาก้มคำนับอีกครั้ง แล้วจากไปด้วยความปลาบปลื้ม
เมื่อเขากลับไปแล้ว องค์จักรพรรดินีทรงตรัสถามด้วยความสงสัย "พวกท่านพูดคุยเรื่องอันใดกัน? เหตุใดชายผู้นั้นจึงร้องไห้ หัวเราะ และคุกเข่าไปพร้อม ๆ กัน?"
หลินเป่ยฟานยิ้มตอบ "ฝ่าบาท ชายผู้นั้นมีนามว่า หลิวเฮ่าเทียน เขาเดินทางมาจากแดนไกล หวังให้ข้าในฐานะอัครมหาเสนาบดียื่นมือเข้าช่วยเหลือราษฎรแห่งแดนช้างเผือก แผนกลืนช้างของเรากำลังจะเป็นจริง!”
"จริงหรือ? ช่างเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ยิ่งนัก!“องค์จักรพรรดินีตรัสพลางแย้มสรวล”เราออกท่องเที่ยวมาเนิ่นนาน บัดนี้จงหวนคืนสู่พระราชวังกันเถิด"
"พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
เหล่าขบวนเสด็จจึงเคลื่อนพล หวนคืนสู่นครหลวงอันยิ่งใหญ่ ณ บัดนั้น