ตอนที่ 9 เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
ตอนที่ 9 เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
ฉู่หมิงเทียนตกตะลึงทันทีที่ได้ยินพ่อบ้านรายงานว่าผู้ใดบุกรุกเข้ามาในคฤหาสน์ เขาเป็นถึงว่าที่หัวหน้าตระกูลฉู่และผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเมธีถึงขั้นเหงื่อแตกเพียงเพราะชื่อ ‘หลี่กงกง’
โดยปกติแล้วข้าราชบริพารชั้นสูงในวังหลวงจะไม่ออกมานอกวังหากไม่มีเรื่องสำคัญจริงๆ หรือต่อให้ต้องออกมาทำธุระแทนเจ้านายในวัง เป้าหมายก็มักจะเป็นบ้านของพวกขุนนางน้อยใหญ่ กล่าวอีกนัยคือไม่เหยียบเข้ามาในบ้านพ่อค้าต่อให้พ่อค้าคนนั้นร่ำรวยเพียงใดก็ตาม
ทว่าวันนี้หลี่กงกงผู้รับใช้ใกล้ชิดฝ่าบาทถึงขั้นมาเยือนคฤหาสน์ตระกูลฉู่ สำหรับฉู่หมิงเทียนแล้วไม่ใช่นิมิตหมายอันดีแน่นอน
ที่แย่กว่านั้นคือ ‘ฉู่หลาน’ ที่ควรนอนเป็นศพอยู่ในโลงกลับเดินตามหลังหลี่กงกงมาด้วยท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่มีความกลัวหรือความเจียมตัวเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาอีกเลย
ท่าไม่ดีแล้วจริงๆ
“ข้าน้อยฉู่หมิงเทียนคารวะใต้เท้าหลี่ ไม่ทราบว่าใต้เท้าจะมาเยือนจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้เตรียมต้อนรับแล้วขอรับ” ด้วยความที่ฉู่หมิงเทียนเป็นพ่อค้าใหญ่ต้องเจรจาผลประโยชน์กับเหล่าขุนนางระดับสูงบ่อยครั้ง เขาจึงรู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ควรอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นดีที่สุด เขารีบเข้ามาคุกเข่าโดยไม่ลืมส่งสัญญาณให้ฉู่หมิงถิงสองสามีภรรยาและฉู่อี้เชินปฏิบัติตาม
“หลานเอ๋อร์ลูกแม่...” หลินซื่อคุกเข่าก็จริง แต่ความสนใจของนางพุ่งตรงมาที่ฉู่หลานซึ่งยังยืนอยู่ด้านหลังของหลี่ไจ้ นางอยากวิ่งเข้าไปกอดลูกชายที่เหมือนสวรรค์ส่งคืนมาให้ใจแทบขาด แต่นางกลับถูกสามีจับแขนเอาไว้เป็นเชิงห้ามปราม
ฉู่หมิงถิงรู้สึกว่าสถานการณ์นี้ไม่ปกติและไม่ควรตัดสินใจบุ่มบ่าม แม้ใจของเขาอยากทำไม่ต่างจากหลินซื่อ แต่เขารู้ดีว่าหลี่กงกงกับคุณชายแปลกหน้าท่านนี้ไม่ได้มาเยือนด้วยเจตนาดีต่อตระกูลฉู่แน่นอน ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ควรสงบปากสงบคำไว้ก่อนดีกว่า
“อืม ตระกูลฉู่ต้อนรับแขกเช่นนี้หรือ ยังไม่รีบไปตามหัวหน้าตระกูลและพวกผู้อาวุโสในตระกูลทั้งหมดมาพบข้าอีก!” หลี่ไจ้เชิดหน้าพลางสะบัดแขนเสื้อออกคำสั่ง แม้เขาจะอยู่ในขอบเขตกึ่งเมธีซึ่งต่ำกว่าฉู่หมิงเทียนไปหนึ่งขอบเขต แต่สถานะของเขาสูงส่งกว่าคนตระกูลพ่อค้าแห่งนี้มาก เขาจึงไม่จำเป็นต้องมองสีหน้าอีกฝ่ายก่อนทำเรื่องใด
“ขอรับ ขอรับ ใต้เท้าหลี่โปรดรอสักครู่ขอรับ” ฉู่หมิงเทียนรีบตอบรับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขาแทบจะเตะพ่อบ้านฉู่ให้ไปตามท่านพ่อและพวกผู้อาวุโสทั้งหมดในตระกูลมาด้วยซ้ำ
ในขณะที่รอบุคคลเหล่านั้นมาต้อนรับ หลี่ไจ้เพียงเดินไปนั่งที่เก้าอี้เก่าๆ ตัวหนึ่งโดยมีองครักษ์พยัคฆ์ดำเดินตามไปยืนอยู่ข้างหลัง ท่วงท่าที่องอาจผ่าเผยแบบชาววังของคนทั้งสองยิ่งทำให้ฉู่หมิงเทียนสองพ่อลูกมีเหงื่อเย็นไหลท่วมแผ่นหลัง
ใต้เท้าหลี่สุดยอดไปเลย!
ชิงเยี่ยนนึกชื่นชมหลี่ไจ้และยังนึกอิจฉาด้วยซ้ำ เฮ้อ หวนนึกถึงตอนอยู่ที่เผ่ามารแดนเหนือ เขาเองก็มีอำนาจเป็นที่น่ายำเกรงไม่ต่างกัน เพียงแต่เมื่อโผล่มายังแผ่นดินต้าโจว เขากลับต้องคอยหลบอยู่หลังหลี่ไจ้ซึ่งอยู่ในขอบเขตกึ่งเมธีขั้นปัจฉิมเท่านั้น
ยังมีฉู่หลานที่ตกอับถึงขีดสุด จักรพรรดิมังกรทองร่วงหล่นจากบัลลังก์สู่บุตรชายตระกูลสาขาที่ถูกกลั่นแกล้งจนตาย หึ! ดูสิ สีหน้าของตาเฒ่าฉู่ตอนนี้ดูไม่จืดเลย
ชิงเยี่ยนอยากเงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วอ้าปากหัวเราะเยาะใส่ฉู่หลานให้หายแค้น เพียงแต่ไม่ใช่เวลาเล่นสนุก เขาต้องอาศัยอำนาจของจวนจอมทัพซ้ายและหลี่กงกงเพื่อสร้างความสะใจให้ถึงที่สุด
ตาเฒ่าฉู่ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าต้องสำนึกบุญคุณของข้าด้วย
“ท่านลุงท่านป้า พวกท่านรีบลุกขึ้นมาก่อนเถอะ” จอมมารน้อยรีบแสดงท่าทีว่าอยู่ฝ่ายใด เขาเข้าไปช่วยพยุงหลินซื่อที่ตกอยู่ในความมึนงงจนลืมร้องไห้ขึ้นมา อีกมือหนึ่งช่วยฉู่หมิงถิงให้ลุกขึ้นยืนเช่นกัน
ทางด้านฉู่หมิงเทียนและฉู่อี้เชินเห็น ‘คนแปลกหน้า’ ที่มาพร้อมหลี่กงกงอนุญาตให้สองสามีภรรยาที่ด้อยศักดิ์กว่าลุกขึ้นได้ แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางคุกเข่าต่ออีก หากฉู่หมิงถิงกับหลินซื่อได้ยืน พวกเขาต้องได้นั่ง ไม่มีทางด้อยกว่าเด็ดขาด
“ใครอนุญาตให้พวกเจ้าลุกขึ้นมิทราบ?” ทว่าในขณะที่สองพ่อลูกกำลังตั้งท่าจะลุกขึ้น น้ำเสียงเย็นชาของชิงเยี่ยนก็ดังขัดจังหวะ
“แล้วเจ้าเป็นใครถึงมาสั่งพวกข้า?” ฉู่หมิงเทียนย้อนถามในขณะยังอยู่ในท่ากึ่งคุกเข่ากึ่งยืน เขาไม่เคยถูกเด็กเหลือขอวางอำนาจใส่เช่นนี้มาก่อนและแน่นอนว่าเขารู้สึกหงุดหงิดจนเส้นเลือดที่ขมับปูดออกมา
“บังอาจ! อย่าเสียมารยาทต่อคุณชายชิงแห่งจวนจอมทัพซ้ายผิงซี” หลี่ไจ้ใช้พลังบำเพ็ญตวาดใส่ฉู่หมิงเทียนสองพ่อลูกจนพวกเขาต้องกลับไปคุกเข่าตามเดิม
“จะ จวนจอมทัพซ้ายผิงซี...” คราวนี้ไม่ใช่แค่ฉู่หมิงเทียนที่เหงื่อแตก ทว่าฉู่หมิงถิงสองสามีภรรยาก็เหงื่อแตกไม่แพ้กัน สองขาของพวกเขาอ่อนแรงและเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ชิงเยี่ยนช่วยพยุงขึ้นมา ทั้งสองจึงยิ่งทรุดลงกับพื้น
“เฮ้ๆ พวกท่านอย่าคุกเข่าให้ข้า พี่ฉู่รีบมาประคองท่านลุงท่านป้าเร็วเข้า!” ชิงเยี่ยนอยากจะบ้าตายวันละหลายหน คนบ้านนี้น่าทุบเรียงตัว พ่อแม่ชอบคุกเข่า ส่วน ‘คนลูก’ ก็มัวแต่ยืนหน้ามึน ต้องคอยให้เขากำกับทุกอย่างเลยหรือ
ฉู่หลานเห็นสายตาจิกกัดที่พุ่งมาจากจอมมารน้อย เขาจึงทำได้เพียงถอนหายใจและเดินเข้าห้องโถงด้วยความเหนื่อยหน่าย ทว่าในจังหวะที่เขากำลังเดินผ่านด้านหลังของฉู่อี้เชิน เขากลับถูกฉู่อี้เชินยื่นมือออกมาฟาดเข้าที่หลังข้อพับเข่าโดยแรง
ฟุบ!
ฉู่หลานรับรู้ได้ถึงความเจ็บแปลบที่หลังข้อพับแล้วทรุดลงคุกเข่าข้างนั้นกับพื้นทันที
สุนัขลอบกัด!
“กล้ารังแกพี่ฉู่ของข้าหรือ” แต่ฉู่หลานไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะชิงเยี่ยนปรี่เข้ามาหยุดตรงเบื้องหน้าของฉู่อี้เชินแล้วเงื้อฝ่ามือฟาดลงที่ใบหน้าด้านๆ แบบไม่ออมแรง สร้างความตกตะลึงให้แก่บรรดาผู้อาวุโสของตระกูลฉู่ที่กำลังวิ่งมาถึงหน้าประตูห้องโถงโดยถ้วนทั่ว
“ไอ้สารเลวนี่!” ฉู่อี้เชินยกมือกุมหน้า แม้ว่าเมื่อบรรลุขอบเขตสระวิญญาณแล้วจะไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดจากการโดนตบ ทว่าตั้งแต่เกิดมาเขาเคยต้องอับอายแบบนี้หรือ ยิ่งเมื่อเห็นว่าท่านปู่หัวหน้าตระกูลมาถึงแล้ว เขาจะมีผู้หนุนหลังแน่นอน เขาจึงตั้งท่าจะลุกขึ้นตบหน้าชิงเยี่ยนคืนทันที
“คนตระกูลฉู่จงคุกเข่าลงให้หมด!” น้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยพลังบำเพ็ญของหลี่ไจ้ดังก้องไปทั้งคฤหาสน์ตระกูลฉู่และพลังกดดันจากป้ายห้อยเอวที่บ่งบอกฐานะคนสนิทขององค์จักรพรรดิได้กดข่มให้พวกผู้อาวุโสตระกูลฉู่ไม่เว้นแม้แต่หัวหน้าตระกูลต้องรีบเดินเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าของหลี่ไจ้ คงมีเพียงฉู่หมิงถิงสองสามีภรรยาที่ถูกฉู่หลานห้ามไว้
“ใต้เท้าโปรดอย่ามีโทสะเลยขอรับ” ฉู่จิ่นเทียนหัวหน้าตระกูลฉู่รีบยกมือคารวะด้วยความสั่นเทา แม้ว่าเขามีพลังบำเพ็ญในขอบเขตเมธีและมีอำนาจในคฤหาสน์หลังนี้มาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนสนิทขององค์จักรพรรดิแล้วเขาก็เป็นเพียงตาเฒ่าขี้ขลาดคนหนึ่งเท่านั้น
“พวกเจ้าไม่ไว้หน้าข้ายังพอทน แต่ถึงขั้นจะลงไม้ลงมือกับคุณชายชิงแห่งจวนจอมทัพซ้ายผิงซี คิดว่าตัวเองมีกี่ชีวิตกันเล่า?” หลี่ไจ้พูดเหมือนจริงจัง แต่ความจริงแล้วใบหน้าของเขามีรอยยิ้มผ่อนคลายเพราะสนุกกับการได้ช่วยชิงเยี่ยนแกล้งคนพวกนี้มาก
เฮ้อ...นับตั้งแต่ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ เขาไม่ได้ออกจากวังหลวงเลย เมื่อได้ออกมาแล้วขอเล่นสนุกกับพวกพ่อค้าเหิมเกริมเหล่านี้หน่อยแล้วกัน
“โอ้ คุณชายชิง คุณชายชิงโปรดอย่าถือสาอี้เชินที่ทำไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์เลยขอรับ” หัวหน้าตระกูลฉู่รีบหันมายกมือคารวะทางชิงเยี่ยนด้วยอาการสั่นกว่าตอนพูดกับหลี่ไจ้
ชิงเยี่ยนถึงขั้นเลิกคิ้วมองพลางนึกสงสัยว่าจวนจอมทัพซ้ายผิงซีน่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“ได้โปรดอย่าให้เรื่องนี้ถึงหูท่านจอมทัพซ้ายเลยขอรับ” หัวหน้าตระกูลยกมือปาดเหงื่อที่ไหลใส่ลูกตา
จอมทัพซ้ายผิงซีหรือผู้บัญชาการใหญ่ 5 กองธงที่เกรียงไกรของต้าโจว อำนาจในขอบเขตมหาเมธีที่แม้แต่องค์จักรพรรดิยังต้องไว้หน้าและเกรงกลัวจนห้ามจอมทัพซ้ายเดินทางเข้าวังหลวงโดยไม่ได้รับพระราชทานพระอนุญาตก่อน
กระนั้นจวนจอมทัพซ้ายผิงซีที่ไม่มีหัวหน้าตระกูลพักอยู่ก็ไม่มีใครกล้าทำให้ขุ่นเคือง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงตระกูลพ่อค้าเช่นพวกเขาเลย
“ข้าจะไม่บอกท่านพ่อก็ได้ แต่พวกเจ้าต้องให้คำอธิบายเรื่องที่เดรัจฉานตัวนี้วิ่งมาทำลายพิธีไว้อาลัยแก้เคล็ดของพี่ฉู่” ชิงเยี่ยนเชิดหน้าพลางชี้ไปทางฉู่อี้เชิน บัดนี้เขายิ่งมั่นใจแล้วว่า ‘ท่านพ่อ’ ของเขาคนนั้นเป็นที่ยำเกรงมากจริงๆ เขาจึงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าคนที่น่าหมั่นไส้ขนาดนี้อีก
“พิธีไว้อาลัยแก้เคล็ด?” คนตระกูลฉู่หันมองหน้ากันด้วยความสับสน เพราะพวกเขารู้ดีแก่ใจว่าฉู่อี้เชินสังหารฉู่หลานเองกับมือและแน่นอนว่าพวกเขาเลือกมองข้ามชีวิตของสมาชิกในตระกูลสาขาที่ไร้ค่าอยู่แล้ว
“ทำไม? จะบอกว่านี่ไม่ใช่พิธีไว้อาลัยแก้เคล็ดแต่เป็นพิธีศพจริงๆ และเจ้า! เจ้าฆ่าพี่ฉู่เองกับมืองั้นหรือ” ชิงเยี่ยนหรี่ตามองคนตระกูลฉู่และสุดท้ายนิ้วมือของเขามาหยุดอยู่ที่ฉู่อี้เชินตัวต้นเรื่อง
“มะ ไม่ ไม่ใช่” ฉู่อี้เชินเหงื่อแตกพลั่กและปฏิเสธเสียงสั่น เขาไม่ค่อยมั่นใจว่าคนกลุ่มนี้ได้ยินเรื่องราวก่อนหน้านี้มากน้อยเพียงใด แต่ในเมื่อถามว่าเขาลงมือฆ่าฉู่หลานจริงหรือเปล่า เขาจึงต้องยืนกรานปฏิเสธไว้ก่อน
ฉู่หลานไปเป็น ‘พี่ฉู่’ ของดอกฟ้าคนนี้ตั้งแต่เมื่อใด!
“แล้วเจ้าบุกมาก่อกวน มาทำลายพิธีนี้ทำไม พี่ฉู่ของข้ากำลังแก้เคล็ดเพื่อนับจากนี้จะได้มีชีวิตดีๆ กลับต้องมาพังทลายเพราะเจ้า” ชิงเยี่ยนพยายามเอ่ยย้ำถึงการแก้เคล็ดให้ฉู่หมิงถิงสองสามีภรรยาได้ยินมากที่สุด เพราะแม้ว่าคนตระกูลฉู่ต่างรู้ดีว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่พวกเขาจะไม่กล้าพูดออกมาตามตรงเพื่อทำให้จวนจอมทัพซ้ายและหลี่กงกงขุ่นเคืองเด็ดขาด ดังนั้นตัวแปรสำคัญคือฉู่หมิงและหลินซื่อที่ต้องไหลตามน้ำเพื่อให้หลี่ไจ้เชื่อเรื่องที่เขาสร้างขึ้นมา
ตึก!
ทันใดนั้นหลินซื่อทรุดลงกับพื้นพลางร้องไห้เอามือทุบพื้นด้วยความชอกช้ำใจสุดพรรณนา
“ฮือ...หลานเอ๋อร์ ชีวิตเจ้าอาภัพนัก แม้แต่การจัดพิธีไว้อาลัยเพื่อแก้เคล็ดและมีแต่โลงเปล่า คุณชายอี้เชินก็ยังไม่ละเว้นเจ้า ฮือ...”
ท่านแม่ ต้องให้ได้แบบนี้สิ!