ตอนที่ 76 สุนัขกัดกัน
เมื่อได้ยินคำพูดของเซวียนเหอเซวียนอี้หันมองไปยังทิศทางดินแดนหวงโจว กล่าวด้วยความสงบว่า "ทิศทางสุดท้ายที่เส้นแห่งโชคชะตาของเขาหายไป ก็คือที่ดินแดนหวงโจว"
"บางทีเขาอาจจะมาจากดินแดนหวงโจวจูวก็ได้"
"ข้าพึ่งเกิดกรรมร่วมกับเขาเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าผลยังไม่ปรากฏ ซึ่งหมายความว่าโชคชะตาของพวกเรายังไม่จบ เราจะได้พบกันอีก"
เมื่อสิ้นคำเซวียนอี้หันกลับมามองเซวียนเหอและจางหยุนเทียนแล้วกล่าวว่า "แจ้งให้ทุกคนกลับไปเถอะ ที่เหลือข้าจะจัดการเอง"
"นำสิ่งเหล่านี้ไปติดไว้กับตัว พลังแห่งโชคชะตาจะสลายไป แล้วค่อยกลับเข้าสำนัก"
ขณะที่กล่าว เซวียนอี้หยิบยันต์หนาปึกออกมา นับรวมกันได้หลายร้อยแผ่น ซึ่งยันต์เหล่านี้เขาได้ใช้เส้นโชคชะตาและเส้นกรรมผูกพันกันวาดเป็นยันต์พิเศษ หากติดไว้กับตัว เส้นโชคชะตาล่าสุดจะถูกซ่อน และกรรมจะถูกตัดขาด หากไม่ใช่กรรมที่รุนแรงมาก ก็จะหายไปทันที
เซวียนเหอรับยันต์มาพร้อมกับแปะติดตัวเองไว้หลายสิบแผ่น เซวียนอี้กล่าวเตือนว่า "แปะเยอะๆ หน่อย อย่าให้เส้นโชคชะตาและกรรมเหล่านี้ติดตัวกลับสำนัก มันไม่ดี"
"หลังจากนี้ให้กลับสำนักตามเส้นทางที่ข้ากำหนดไว้ ข้าจะตามหลังไปเพื่อลบล้างซ้ำอีกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้สำนักสุริยันจันทราใช้อาวุธจักรพรรดิ์ในการคำนวณหาเบาะแส"
แม้ว่าเซวียนอี้จะมีพรสวรรค์สูงในด้านโชคชะตาและกรรม แต่เมื่อเผชิญหน้ากับอาวุธจักรพรรดิ์ขาก็ยังคงระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจนำปัญหามาเพิ่ม
เมื่อได้ผลักความรับผิดชอบไปให้สำนักสุริยันจันทราแล้ว ก็จะไม่ยอมให้ความรับผิดชอบนั้นกลับมาหาเรา ต้องให้พวกเขารับไปอย่างมั่นคง
"ส่งข้อมูลการเคลื่อนไหวของคนอื่นมาให้ข้า ข้าจะไปทำลายหลักฐาน เพราะพลังของพวกเจ้าไม่สามารถปิดบังได้ทั้งหมด"
ตามคำสั่งของเซวียนอี้ เซวียนเหอและจางหยุนเทียนจึงออกจากที่นั่น พร้อมกับบรรดาผู้อาวุโสของสำนักที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
เมื่อเห็นว่าฮั่วหยุนเฟยยังยืนอยู่ที่นั่น เซวียนอี้ถามว่า "ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอยู่หรือ?"
ฮั่วหยุนเฟยพยักหน้ากล่าวว่า "ท่านบรรพบุรุษไปจัดการเถิด ข้าจะกลับสำนักทีหลัง"
เทียนจีเจินเหรินหยิบยันต์สามแผ่นออกมาติดบนตัวฮั่วหยุนเฟยแล้วกล่าวว่
า "เวลาอยู่ข้างนอก ระวังตัวด้วย ในยันต์ทั้งสามแผ่นนี้มีเศษเสี้ยวพลังของข้า หากเจอเรื่องที่จัดการไม่ได้ ให้บอกข้า"
เมื่อสิ้นคำ ร่างของเซวียนอี้ก็เลือนหายไป ปรากฏอยู่ไกลออกไปในพริบตา
ฮั่วหยุนเฟยเหลือบมองยันต์สามแผ่นที่ติดอยู่บนตัว หัวใจรู้สึกอบอุ่น เขารู้สึกดีต่อสำนักเกาซานมาก ด้วยเหตุผลนี้แหละ ทำให้เขาชอบสำนักนี้ แม้ว่าเขาอาจจะไม่ต้องใช้พลังของยันต์เหล่านี้ แต่ฮั่วหยุนเฟยก็ไม่ได้เอาออก ปล่อยให้ติดไว้อย่างนั้น เขาหันไปมองไปที่เย่ปู้ฝานและคนอื่นๆ จากนั้นจึงมองไปที่เจียต้าเป่า แล้ว
กล่าวว่า "สิ่งที่ข้ากำชับไปก่อนหน้านี้ เจ้าคงไม่ลืมนะ?"
เจียต้าเป่าพยักหน้ากล่าวว่า "ข้าได้กดระดับพลังของตัวเองลงไปจนถึงระดับตันเถียนขั้นเจ็ดแล้ว"
ก่อนหน้านี้ฮั่วหยุนเฟยได้บอกกับเขาว่า พลังของตัวเองที่แท้จริงอยู่ในระดับต้นๆ ของเทียนเหริน ไม่สามารถเปิดเผยการรับศิษย์ที่อยู่ในระดับเทียนเหรินได้ แม้ว่าจางหยุนเทียนและคนอื่นๆ จะไม่สงสัยอะไร แต่เขาเองกลับรู้สึกแปลกๆ จึงตัดสินใจให้เจียต้าเป่ากดระดับพลังลงไปจนถึงระดับตันเถียน แล้วซ่อนพลังไปเล็กน้อย!
เดิมทีฮั่วหยุนเฟยคิดว่าระดับพลังที่กดลงไปยังน้อยเกินไป แต่เมื่อนึกถึงอายุของเจียต้าเป่า จึงต้องหยุดความคิดนั้น อย่างไรก็ตาม ที่เขายังไม่กลับไปสำนักในทันที ก็เหมือนกับเซวียนอี้ ที่ยังไม่ไว้วางใจบรรดาผู้อาวุโสของสำนัก กังวลว่าจะมีหลักฐานหลงเหลืออยู่
แม้ว่าเซวียนอี้จะทำลายหลักฐานรอบสองแล้ว แต่ฮั่วหยุนเฟยก็ยังไม่สบายใจ เรื่องแบบนี้ต้องให้เขาลงมือเองจึงจะวางใจได้ ต้องมั่นใจมากๆ ถึงจะปลอดภัยมากขึ้น
หลังจากนั้น ฮั่วหยุนเฟยใช้พลังของ "จัรกวาลในแขนเสื้อ" รับเย่ปู้ฝานและคนอื่นๆ เข้าไปในแขนเสื้อของเขา จากนั้นก็ตามเซวียนอี้ไป มองดูเขาทำงานอย่างหนัก ทำลายช่องโหว่ที่ลูกศิษย์ลูกหาทิ้งไว้ ฮั่วหยุนเฟยก็อดไม่ได้ที่จะยิ่งเคารพท่านผู้อาวุโสของสำนักมากขึ้น ท่านต้องเป็นที่เคารพนับถือในสุสานบรรพชนมากแน่ๆ ทุกคนคงให้ความเคารพท่านมาก
ทุกครั้งที่เซวียนอี้จัดการกับสถานที่หนึ่ง ฮั่วหยุนเฟยจะตามไปจัดการอีกครั้ง โดยเฉพาะที่สนามรบกับวังเทพคุนหลุน ที่นี่เคยมีพลังจักรพรรดิ์แผ่ซ่าน เซวียนอี้กลับไปซ้ำหลายครั้ง เพื่อซ่อมแซมเส้นโชคชะตาและกรรมที่นี่
ต้องยอมรับว่าเขามีพรสวรรค์สูงมากในด้านการทำนาย ความสามารถของเขาในด้านนี้เกินกว่าระดับพลังของเขาไปมาก นอกจากนี้เขายังละเอียดรอบคอบมาก ตรวจสอบซ้ำหลายครั้งก่อนที่จะจากไป ในที่สุด เซวียนอี้ก็กลับไปตามเส้นทางที่จางหยุนเทียนและคนอื่นๆ ออกเดินทาง และทำลายเส้นโชคชะตาตลอดทางที่ผ่านไป
ฮั่วหยุนเฟยเดินตามเส้นทางของเขาไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มาถึงดินแดนที่ประตูมิติลับ ซึ่งภายนอกดูเหมือนไม่ได้เป็นทรัพย์สินของสำนักเกาซาน สองคนเจอหน้ากันเพียงแค่ยิ้มให้กันโดยไม่พูดอะไรเลย... หลังจากทั้งสองจากไป ไม่นานนัก หลัวหยางเหล่าจู่ก็มาถึงด้วยความโกรธ เขาถืออาวุธจักรพรรดิ์มาด้วย เดิมทีเขาไม่ตั้งใจจะใช้อาวุธจักรพรรดิ์ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ เพราะมันจะทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทร์ทราดูน่าขัน ที่ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ก็ต้องพึ่งพาแต่อาวุธจักรพรรดิ์ แต่คราวนี้ เขาไม่มีทางเลือกจริง ๆ สถานศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ในแดนดาวเป่ยโต้วกำลังโต้เถียงกันจนเขาแทบจะปวดหัวหนัก ทั้งที่อายุขัยของเขาเหลือ
น้อยเต็มที แทบจะถูกพวกนั้นทำให้โกรธจนตาย และยิ่งไปกว่านั้น การเรียกร้องค่าชดเชยที่สูงจนน่าเวียนหัว ทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทร์ทราต้องเจ็บปวดใจ ทรัพยากรที่สถานศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเรียกร้อง เมื่อรวมกันแล้วก็มีปริมาณมหาศาลจนเรียกว่า "มหาศาล" ยังถือว่าน้อยไป ไม่มีทางเลือก ในที่สุดก็ต้องทำตามคำแนะนำของจ้าวแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทร์ทรา ให้เขาถืออาวุธจักรพรรดิ์ไปยังสถานที่เกิดเหตุ เพื่อทำนายและรื้อฟื้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อคืนความบริสุทธิ์ให้กับแดนศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทร์ทราแต่ถึงแม้หลัวหยางเหล่าจู่จะถืออาวุธจักรพรรดิ์ไปยังสถานที่ต่าง ๆ เขาก็ไม่สามารถทำนายอะไรได้เลย อดีตที่เขาพยายาม
ทำนายกลับเบลอมาก มองไม่เห็นอะไรเลย สุดท้ายเขามาถึงสนามรบระหว่างสำนักสุริยันจันทราและหลัวหนิงเหล่าจู่ ที่นี่ เขาได้ทำนายจนเห็นภาพหนึ่งภาพ เขาเห็นอดีต และเห็นหลัวหนิงเหล่าจู่ แต่เมื่อเขายังคงกระตุ้นให้ตราสุริยันจันทร์ทราเผยความจริงต่อไป ภาพของหลัวหนิงเหล่าจู่เริ่มเปลี่ยนไป และใบหน้าที่ปรากฏขึ้นทำใหหลัวหยางเหล่าจู่หน้าซีดเผือด
"แดนศักดิ์สิทธิ์เหย่ากวง เจ้าพวกน่ารังเกียจเอ๊ย!" หลัวหยางเหล่าจู่ด่าทอด้วยความโกรธอย่างไม่มีภาพลักษณ์ของผู้สูงศักดิ์
"ข้ายังไม่เชื่อคำพูดของเจ้าสำนักจริง ๆ ไม่คิดว่ามันจะเป็นจริง!"
"ดี! ดีจริง ๆ!"
"ครั้งนี้ เจ้ายอมรับหรือไม่ก็ช่าง แต่เรื่องนี้ แดนศักดิ์สิทธิ์เหย่ากวงจะต้องรับผิดชอบ!"
หลังจากที่หลัวหยางเหล่าจู่ทำนายต่อไปเรื่อย ๆ จนเริ่มรู้สึกหมดแรง เขาก็ยืนยันได้ว่าผู้ที่ทำเรื่องนี้ก็คือผู้หนึ่งในอาวุโสของแดนศักดิ์สิทธิ์เหย่ากวง เมื่อเขาทำนายเสร็จ เขาก็จากไป ทันทีที่เขาจากไป เงาร่างขาวหนึ่งปรากฏขึ้นจากมุมมืด แล้วรอยยิ้มแผ่วเบาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าก่อนที่ร่างนั้นจะหายไปในอากาศ
“ปล่อยให้พวกมันกัดกันเองเถอะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างเบา ๆ โดยไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนพูด...
ยังไม่ทันที่แดนศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทร์ทราจะจัดการกับปัญหาเสร็จ แต่ละกลุ่มยังคงวุ่นวายกันต่อไป ที่ฝั่งสุสานจักรพรรดิ์ ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างเจิดจ้าขึ้น ทั้งสุสานสว่างไสวขึ้น ท้องฟ้าเบื้องบนปรากฏชั้นฟ้าสามสิบสามชั้นอีกครั้ง จักรพรรดิ์ปรากฏตัวขึ้น และกฎเกณฑ์แห่งจักรพรรดิ์ก็กำลังโบยบิน ร่างสูงตระหง่านเสมอฟ้าได้ปรากฏขึ้นในที่นั้น เขาเดินไปข้างหน้า มองดูดินแดนอันไกลโพ้น ดวงดาวรายล้อมอยู่รอบกายของเขา เหนือศีรษะเป็นชั้นฟ้าสามสิบสามชั้น เมื่อเขาปรากฏตัว สรรพสิ่งในโลกเริ่มส่งเสียงเสียดสีกันและกัน เสียงแห่งสรรพสิ่งดังขึ้นไปทั่ว ทุกสิ่งในจักรวาลกำลังประสานเสียง!
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ร่างนั้นเริ่มเคลื่อนที่ มีถนนทองคำปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของเขา เขาเดินราวกับกำลังเดินเล่น ผ่านทะเลทราย มาถึงดินแดนรกร้าง แล้วเข้าสู่ดินแดนชิงโจว จากนั้นเข้าสู่ทางใต้...แผ่นดินหลายหมื่นไมล์ถูกย่อให้เล็กลงอย่างมากใต้ฝ่าเท้าของเขา แผ่นดินกว้างใหญ่ของทางใต้ถูกเดินผ่านภายในไม่กี่ก้าว เขาเข้าสู่ดินแดนจงโจวที่เต็มไปด้วยสถานศักดิ์สิทธิ์
ไม่รู้ว่าใครเปิดปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เสวียน...เสวียนหวงต้าตี้!”