ตอนที่ 7 บุตรชายของตระกูลสาขา
ตอนที่ 7 บุตรชายของตระกูลสาขา
กระดาษในมือของหลี่ไจ้แผ่นนั้นคือภาพวาดพู่กันที่เป็นภาพเหมือนของคนสองคน แม้ไม่ใช่ภาพสีแต่เมื่อพิจารณาให้ดีจะพบว่าคนหนึ่งในภาพมีช่วงคิ้วเหมือนชิงเยี่ยนไม่ผิดเพี้ยน ส่วนผู้ชายอีกคนในภาพก็มีใบหน้าหล่อเหลาและดูสง่างามไม่ต่างจากบุคคลทื่ยืนอยู่ข้างกายชิงเยี่ยนเลย แตกต่างกันเพียงว่าทั้งสองคนในภาพวาดแต่งกายด้วยชุดแต่งงาน
เป็นชุดแต่งงานแน่นอน!
คุณชายเจ้าสำราญชิงเยี่ยนจริงจังกับคนข้างกายขนาดนี้เชียวหรือ?
หลี่ไจ้แอบคิดในใจเช่นนั้น เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าคนที่เปลี่ยนคู่นอนไม่ซ้ำหน้าแบบคุณชายชิงแห่งจวนจอมทัพซ้ายผิงซีจะแอบมาทำเรื่องที่หวานเลี่ยนเช่นนี้ได้
อืม แต่หากประเมินจากรูปลักษณ์ของบุรุษทึ่มๆ แต่หล่อเหลาและไม่พูดไม่จาคนนี้ก็พอเข้าใจคุณชายชิงอยู่บ้าง
“ก็ตามที่เห็นนี่แหละ พวกข้าจ้างให้จางเหวินวาดรูปแทนใจเพราะไม่รู้ว่าชาตินี้จะมีวาสนาได้ครองคู่กันหรือเปล่า” ชิงเยี่ยนเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา เขาแสดงท่าทางเขินอายพลางหันไปหาฉู่หลานโดยยกมือวางไว้ที่แผงอกแกร่งและเอนศีรษะซบลงไปด้วย “บังเอิญว่าบรรยากาศพาไป พวกเราจึง...”
เสียงหวานหยดย้อยหยุดลงแค่นั้น ทว่านิ้วเรียวดุจหยกยังไม่หยุดลูบไล้แผงอกกว้างและด้วยท่าทางนี้จึงทำให้หลี่ไจ้กระจ่างว่าเหตุใดหนุ่มรูปงามจึงอยู่ในสภาพแต่งกายไม่เรียบร้อย
“อะแฮ่ม คุณชายชิงโปรดให้เกียรติจวนจอมทัพซ้ายผิงซีด้วย” หลี่ไจ้หน้าแดงและกระแอมไอเพื่อให้มือซุกซนของชิงเยี่ยนหยุดอยู่แค่เหนือสะดือของเจ้าหนุ่มนั่นก็พอ
สมชื่อเสียงคุณชายผู้ฉาวโฉ่นัก!
“ก็แหม กล้ามหน้าท้องของพี่ฉู่ลูบสนุกนี่นา” ชิงเยี่ยนผละออกจากฉู่หลานที่กลายเป็นหุ่นดินปั้นแข็งทื่อไปเสียแล้ว
ตลอดสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา เขากับชิงเยี่ยนมีแต่ปะทะฝีปากไม่เคยปะทะร่างกายใกล้ชิดขนาดนี้เลย พอถูกจู่โจมเช่นนี้เขาจึงเพิ่งรู้ว่ามือเล็กๆ ของจอมมารนิ่มขนาดไหน ส่วนสูงของจอมมารที่มักเชิดหน้าใส่เขาราวกับตัวเองสูง 1.8 เมตรแท้จริงอยู่เท่าหน้าอกของเขาเท่านั้น
และเขาเพิ่งรู้ว่าจอมมารตัวหอมมากด้วย
อะแฮ่ม ฉู่หลานเจ้าโปรดตั้งสติ ในสถานการณ์เช่นนี้สมควรมานั่งวิเคราะห์ ‘เรื่องไม่เป็นเรื่อง’ หรือไร
จักรพรรดิมังกรฉู่หลานตั้งสติใหม่ แม้ว่าสถานการณ์จะน่าตกตะลึงจนทำตัวไม่ถูก แต่ในอีกด้านหนึ่งเขายังนึกชื่นชมชิงเยี่ยนที่มีไหวพริบสูงจึงสามารถแก้ไขสถานการณ์และอุดรอยรั่วได้อย่างแนบเนียน ชั่วครู่หนึ่งเขานึกอายที่เคยปรามชิงเยี่ยนเรื่องรื้อค้นสิ่งของในห้องคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ไม่นึกเลยว่าภาพวาดที่ชิงเยี่ยนเปิดเจอในหีบใบเก่านั้นจะสามารถนำมาใช้เอาตัวรอดได้จริง
เกรงว่ามันเป็นภาพวาดที่จางเหวินวาดประกอบนิยายเรื่อง ‘มังกรสวรรค์พิชิตจอมมาร’
สำหรับเหตุผลที่เขาและชิงเยี่ยนสวมชุดแต่งงานนั้นไม่อาจรู้ได้
เพียงแต่มันทำให้มุมปากของจักรพรรดิมังกรโค้งขึ้น
“พวกข้ารักกันด้วยใจจริง แต่ด้วยฐานะของข้าจึงกลัวเหลือเกินว่าจะไม่สมหวัง ดังนั้นเราคงทำได้แค่บันทึกความทรงจำนี้ไว้กระมัง” เสียงของชิงเยี่ยนเจือความเศร้าหมอง กิริยาที่อ่อนหวานราวกับบัวกลีบบางทำให้ใครได้เห็นเป็นต้องสะเทือนใจ “บัดนี้จางเหวินก็ตายไปแล้ว ไม่มีใครรู้ความลับของพวกเราอีกนอกจากใต้เท้า”
เมื่อพูดเช่นนี้สามารถมองได้ว่าเขาดีใจที่จางเหวินถูกฆ่าปิดปากและใต้เท้ากงกงเป็นผู้กุมความลับสำคัญของคุณชายชิงแห่งจวนจอมทัพซ้ายผิงซี แน่นอนว่าเป็นการทำให้หลี่ไจ้ได้หน้าด้วย
“คุณชายชิงให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว” แต่หลี่ไจ้แค่ยิ้มพอเป็นพิธี เขาไม่ได้หลงกลคำหวานของชิงเยี่ยนและบัดนี้จิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาสัมผัสได้แล้วว่าคนที่ไปสืบภูมิหลังของยอดดวงใจคุณชายชิงกลับมาแล้ว
ฟึบ!
ร่างที่เอ่อล้นด้วยพลังในขอบเขตเมธีมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของหลี่ไจ้ เขาสวมเครื่องแบบองครักษ์ลายปักพยัคฆ์ดำเหมือนชายร่างสูงกำยำคนก่อนหน้านี้ไม่ผิดเพี้ยน เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ยกมือขึ้นคารวะและรายงานด้วยเสียงชัดเจน
“ข้าน้อยพร้อมรายงานหลี่กงกง”
“อืม พูดมา” หลี่ไจ้เอามือไพล่หลังและใช้จิตศักดิ์สิทธิ์สื่อสารกับคนผู้นั้น
ชิงเยี่ยนพยายามเงี่ยหูฟังด้วยความใส่ใจ แต่โชคร้ายที่เขาไม่เหลือพลังบำเพ็ญสักนิดและยิ่งเห็นคิ้วของหลี่ไจ้ที่ยิ่งฟังยิ่งขมวดมุ่น หัวใจของคนรอก็รัดแน่นไม่ต่างกัน
ตาเฒ่าฉู่บังเอิญหน้าเหมือนใครในโลกนี้กันนะ!
“อืม” หลี่ไจ้หลุดออกจากความเงียบและพยักหน้าพร้อมช่วงคิ้วที่ยังไม่คลาย ทันใดนั้นเขาตวัดสายตามาจ้องมองฉู่หลาน “ที่แท้ก็เป็นหลานชายของเถ้าแก่ห้าตระกูลฉู่ มิหนำซ้ำย่าของเจ้ายังเป็นสาวใช้ที่ได้ปีนขึ้นเตียงเจ้านายจนกลายเป็นอนุ ไม่แปลกใจที่ข้าจะไม่รู้จัก”
น้ำเสียงของหลี่ไจ้มีแต่ความดูถูกเหยียดหยามเพราะฐานะของฉู่หลานไร้ค่ายิ่งกว่ามด ตระกูลฉู่เป็นแค่ตระกูลพ่อค้าที่ไร้ข้าราชการอยู่ในตระกูล แม้ว่าหัวหน้าตระกูลจะเป็นเมธี แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแค่พ่อค้ารายใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงที่ต้องคอยจ่ายสินบนให้เหล่าขุนนางใหญ่เพื่อความอยู่รอด กล่าวอีกนัยคือมีเงินแต่ไร้อำนาจ ทุกการกระทำต้องคอยมองสีหน้าขุนนางเสมอ
หัวหน้าตระกูลฉู่มีน้องชายสี่คนซึ่งเถ้าแก่ห้าคือท่านปู่ของฉู่หลาน ทว่าท่านย่าของฉู่หลานเป็นเพียงสาวใช้ในคฤหาสน์ แทบไม่ได้รับความโปรดปรานจากเถ้าแก่ห้าด้วยซ้ำ จึงยิ่งทำให้ฐานะของบ้านฉู่หลานต้อยต่ำที่สุดในตระกูล เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นแค่ตระกูลสาขาที่ไร้ความหมาย ไม่มีส่วนแบ่งในทรัพยากรที่ใช้ในการบำเพ็ญจึงทำให้ฉู่หลานอายุยี่สิบปีแล้วยังไม่บรรลุขอบเขตก่อกำเนิดด้วยซ้ำ
ฐานะของฉู่หลานไม่อาจเสมอรองเท้าของชิงเยี่ยนได้ด้วยซ้ำ
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ต้องสนใจเพราะมีประเด็นสำคัญที่หลี่ไจ้ไม่อาจละเลยได้มากกว่า
“คนของข้ารายงานว่าบ้านเจ้ากำลังจัดพิธีไว้อาลัยอยู่ด้วย” เขาหรี่ตามองขณะที่พูดเช่นนั้นราวกับว่าต้องการสังเกตปฏิกิริยาของฉู่หลานทั้งหมด “เป็นงานศพของเจ้าน่ะ”
อา...
ตาเฒ่าฉู่ตัวซวย ตายวันไหนไม่ตายดันมาตายวันนี้!
เหมือนว่าชิงเยี่ยนจะมีปฏิกิริยามากกว่าฉู่หลานตัวต้นเหตุที่เน้นใช้ความนิ่งสงบสยบทุกสิ่ง เขาพยายามนึกถึงวิธีแก้ไขสถานการณ์นับพันประการภายในเวลาไม่กี่อึดใจแต่ก็นึกไม่ออก
อาจกล่าวได้ว่าทั้งเขาและฉู่หลานในโลกนี้ได้ตายลงในวันนี้จริงๆ จึงทำให้พวกเขาโผล่จากโลกนิยายมาเช่นนี้
แต่จะบอกเหตุผลนี้กับหลี่กงกงหน้าเหี่ยวได้อย่างไร
จังหวะซวยแท้ๆ
“นั่นเป็นเพียงการจัดงานศพแก้เคล็ด”
ในขณะที่ชิงเยี่ยนแทบอยากจิกทึ้งดึงหัวตัวเองเพราะคิดไม่ออก น้ำเสียงราบเรียบของฉู่หลานดังขึ้นมาพร้อมคำพูดที่ไร้ความน่าเชื่อถือโดยสิ้นเชิง
จัดงานศพแก้เคล็ด?
โอ๊ย ตาเฒ่าฉู่ ใครเชื่อก็บ้าแล้ว!
“อืม แก้เคล็ดเรื่องใด?” หลี่ไจ้ยกมือลูบเคราแพะพลางจดจ้องฉู่หลานด้วยท่าทางสนอกสนใจมากขึ้น เขารู้สึกแปลกใจที่มนุษย์ธรรมดาไร้แม้กระทั่งพลังลมปราณสามารถเปล่งน้ำเสียงที่แข็งแกร่งขนาดนี้ออกมาได้
แม้แต่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
“เคยมีหมอดูข้างถนนทำนายว่าข้าจะอายุสั้นและหากต้องการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเอง ข้าต้องผ่านความตายก่อนหนึ่งหน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่มีการจัดงานศพแก้เคล็ดขึ้นมา” ฉู่หลานพูดมากที่สุดตั้งแต่มาปรากฏในต้าโจวแห่งนี้ เขาสามารถพูดโกหกได้โดยไม่กะพริบตาจนน่าสงสัยว่าชิงเยี่ยนเป็นตัวอย่างของการแสดงที่ดีเกินไปหรือเปล่า
แต่ใครจะเชื่อเรื่องที่ไม่มีหลักฐานและดูงมงายสุดๆ นี้เล่า
ชิงเยี่ยนได้แต่นึกในใจว่า ‘จบเห่แล้ว’ การแสดงละครของเขาอย่างน้อยยังมีภาพวาดในชุดแต่งงานมาอ้างอิง มีการแต่งกายที่ไม่เรียบร้อยของฉู่หลานประกอบจึงมีความน่าเชื่อถือ แต่คำพูดลอยๆ ของฉู่หลานนั้นคนที่เป็นถึงบ่าวคนสนิทขององค์จักรพรรดิจะเชื่อได้อย่างไร
“เจ้าอยากเปลี่ยนแปลงโชคชะตาอย่างไร?” แต่เมื่อคำถามนี้หลุดออกจากปากของหลี่ไจ้ก็ทำให้จอมมารชิงเยี่ยนได้ตระหนักว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
โลกเข้าข้างแต่คนหล่อ!
“เรียนใต้เท้า ข้าอยากเป็นขุนนาง” ครานี้ฉู่หลานมีความนอบน้อมในน้ำเสียงมากขึ้น ขณะที่ท่าทียังองอาจผ่าเผยไม่เปลี่ยน
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เป็นแค่ลูกชายของตระกูลสาขาและแม่ของเจ้ายังเป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดาด้วยซ้ำ อย่าพูดถึงพลังบำเพ็ญเลย แม้แต่พลังลมปราณเจ้ายังไม่มีแล้วเจ้าจะเอาคุณสมบัติใดไปเข้าสอบขุนนาง ไม่ฝันสูงไปหน่อยหรือไอ้หนู”
ไอ้หนู...
ตรงหว่างคิ้วของฉู่หลานมีเส้นสีดำปรากฏหลายเส้น เขาไม่ต้องเหลือบมองก็รู้ว่าบัดนี้ชิงเยี่ยนกำลังกลั้นหัวเราะหนักขนาดไหน
ตาเฒ่าหลี่ ฝากไว้ก่อนเถอะ!
“ข้ายอมรับว่ามันอาจเป็นเพียงฝันกลางวัน แต่เพราะเยี่ยนเอ๋อร์จึงทำให้ข้าอยากเปลี่ยนความฝันเป็นความจริง ข้าอยากเป็นคนที่คู่ควรกับเยี่ยนเอ๋อร์” ขณะที่พูด เขายังไม่ลืมคว้ามือหยกที่อยู่ข้างๆ มากุมไว้ สายตาอ่อนโยนเปี่ยมด้วยรักลึกซึ้งจับจ้องใบหน้าหวานล้ำที่กำลังกลั้นหัวเราะแทบขาดใจตาย ทำให้จอมมารน้อยเปลี่ยนจากยิ้มขบขันมาเป็นยิ้มค้างด้วยความตกตะลึงทันที
ตาเฒ่าฉู่พูดจาหวานเลี่ยนได้ขนาดนี้เลยหรือ
“ยาก” สำหรับหลี่ไจ้สามารถให้คำจำกัดความได้เพียงเท่านี้จริงๆ “การบ่มเพาะพลังบำเพ็ญต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากซึ่งตระกูลหลักของเจ้าไม่มีวันเจียดให้เจ้าอยู่แล้ว คนของข้ายังสืบมาด้วยว่าแม้แต่เสื้อผ้าเจ้ายังต้องซักเองเพราะพวกบ่าวไม่อยากลดตัวลงมารับใช้เจ้า เฮอะเฮอะ”
หลี่ไจ้พูดพลางส่ายหน้าด้วยความเหยียดหยาม ยังมีใครที่ต่ำต้อยกว่ามดได้เท่าฉู่หลานอีก
“หากต้องการสอบขุนนาง นอกจากความรู้แล้วยังต้องมีพลังบำเพ็ญสูงส่ง เกรงว่าชาตินี้เจ้าไม่อาจคู่ควรกับคุณชายชิงได้เลย”
ฉู่หลานตอบรับด้วยการก้มหน้าลงนิดๆ คล้ายคนที่ผิดหวัง แต่ในใจของเขาไม่ยอมรับเพราะไม่เชื่อว่าจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของโลกนี้ไม่ได้และการเป็นขุนนางใหญ่เท่านั้นถึงจะทำให้เขาสามารถเข้าใกล้ ‘คนผู้นั้น’ ได้
“เอาล่ะ เสียเวลาอยู่ในที่ซอมซ่อนี้นานเกินไปแล้ว ไปเถอะ ข้าจะไปส่งพวกเจ้าถึงบ้านเอง” ทันใดนั้นหลี่ไจ้ผู้สูงส่งก็แสดงน้ำใจออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ “อยากรู้เหมือนกันว่าในโลงศพที่ตั้งอยู่นั้นเป็นโลงเปล่าจริงหรือไม่”