ตอนที่ 6 คุณชายแห่งจวนจอมทัพ
ตอนที่ 6 คุณชายแห่งจวนจอมทัพ
หลังจากที่ร่างของจางเหวินกลายเป็นหมอกควัน ทั่วบริเวณนั้นปรากฏความเงียบที่น่าขนลุกขึ้นมา มันไม่เคยมีแม้แต่เสียงกรีดร้องของจางเหวินสักครึ่งคำด้วยซ้ำ
แต่ฉู่หลานกับชิงเยี่ยนที่ซ่อนอยู่หลังตู้รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าจางเหวิน ‘สหาย’ คนแรกในต้าโจวของพวกเขาไม่อยู่แล้ว
จางเหวินจากไปโดยที่จักรพรรดิมังกรฉู่หลานและจอมมารชิงเยี่ยนผู้ยิ่งใหญ่ช่วยอะไรไม่ได้เลย
น่าสมเพช!
ฉู่หลานกำหมัดแน่น นัยน์ตาของเขาจ้องเขม็งไปที่ประตูห้องราวกับว่าจะส่องทะลุบานไม้แล้วแทงร่างของ ‘คนผู้นั้น’ จนพรุนได้
ถึงแม้ระหว่างเขากับจางเหวินไม่ได้มีมิตรภาพที่ลึกซึ้งต่อกัน เป็นเพียงคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงครึ่งคืน แต่การใช้อำนาจฆ่าผู้บริสุทธิ์ง่ายๆ เช่นนี้มันเกินรับไหว
ทันใดนั้นมีสัมผัสอบอุ่นทาบทับหลังมือของเขาไว้ ความอ่อนโยนนั้นได้เรียกสติของเขาให้ตระหนักถึงสถานะที่ไม่เอาไหน ณ ขณะนี้ให้เด่นชัด
ฉู่หลานเบนสายตาไปมองเจ้าของฝ่ามืออ่อนนุ่มที่อยู่ข้างกาย เขาสบเข้ากับสายตาเป็นกังวลของชิงเยี่ยนและรู้ดีว่าจอมมารก็มีความอัดอั้นตันใจไม่ด้อยกว่ากัน แต่จะทำอันใดได้ในเมื่อคนผู้นั้นแผ่รัศมีความโหดเหี้ยมและความหยิ่งผยองออกมาชัดเจน
พวกเขาที่หล่นจากสถานะปรมาจารย์ แม้ใจอยากวิ่งออกไปสู้แต่สมองไม่กล้าอนุมัติจึงได้แต่หลบอยู่หลังตู้เหมือนคนขี้ขลาดเช่นนี้
น่าตลกสิ้นดี!
แต่จางเหวิน เจ้าไปอย่างสงบเถิด พวกข้าได้จดจำ ‘คนผู้นั้น’ ไว้ขึ้นใจแล้ว รอให้พวกข้าหาวิธีปลุกพลังบำเพ็ญคืนมาแล้วพวกข้าสัญญาว่าจะอัญเชิญดวงวิญญาณของเจ้ามาร่วมชมบทลงโทษที่สาสมแน่นอน
......
เหตุการณ์เหล่านี้กินเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าบัดนี้ร่างในชุดคลุมดำแสดงสีหน้าเช่นไรอยู่ แต่เสียงหัวเราะแสดงความสะใจที่เพิ่งจบลงนั้นบ่งบอกว่าเขาไม่ได้รู้สึกเสียใจกับการลงมือฆ่าอดีตคนรักเลยสักนิด
“โง่เองก็ช่วยไม่ได้” เสียงแจ่มชัดนั้นมีความประชดประชันและเย็นชา “คิดว่าข้าต้องลดตัวมาเอาอกเอาใจเจ้าหรือ แค่มาเหยียบที่นี่ก็เป็นเสนียดติดฝ่าเท้าข้ามากพอแล้ว”
พูดจบ ร่างนั้นจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปที่ประตูหน้าบ้านเพื่อสมทบกับอีกสองคนที่ยืนรออยู่
“จัดการอีกสองคนนั่นซะ”
เมื่อน้ำเสียงเยือกเย็นจบลง ร่างในชุดคลุมดำจึงหายวับไปจากจุดนั้นพร้อมชายร่างกำยำที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด หลงเหลือไว้เพียงชายมีอายุที่ยืนหลังค่อมคนเดียว
ทันใดนั้นเขายืดแผ่นหลังให้ตั้งตรงเผยท่วงท่าสง่าผ่าเผยก่อนจะเดินเอามือไพล่หลังเข้าไปในบ้าน จิตศักดิ์สิทธิ์กวาดมองจึงพบว่า ‘อีกสองคน’ ที่เจ้านายเอ่ยถึงได้ซ่อนอยู่หลังตู้ไม้ผุผังในห้องนอน เมื่อสัมผัสได้ว่าทั้งสองคนเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังลมปราณด้วยซ้ำ เขาจึงไม่ได้เดินไปหาแต่ยืนอยู่ข้างเศษซากของโต๊ะไม้และใช้พลังลมปราณเอ่ยว่า
“เจ้าสองคนออกมารับโทษเสียเถิด” น้ำเสียงแหบแห้งมีอายุก็จริง ทว่ากลับมีพลังบำเพ็ญที่ทรงพลังแทรกอยู่ทุกอณูและฉู่หลานชิงเยี่ยนตระหนักได้ดีว่าหลบไปก็เปล่าประโยชน์
ฉู่หลานถอดเสื้อคลุมมังกรทองตัวนอกทิ้งไว้หลังตู้ไม้ด้วยความแนบเนียน จากนั้นแค่หันไปมองด้านข้างก็เห็นชิงเยี่ยนมองมาด้วยสีหน้าอึดอัดกับสถานการณ์เช่นกัน กระนั้นทั้งสองก็ยอมเดินออกไปแต่โดยดี
เพียงแวบแรกที่หลี่ไจ้ได้เห็นร่างสองร่างที่เดินผ่านประตูห้องนอนออกมา นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ชีวิตหดเกร็งทันที ตอนแรกเขาจ้องบุรุษในร่างอรชรภายใต้อาภรณ์สีแดงหรูหราก่อน แต่เพียงครู่เดียวเขาก็เบนสายตาไปจับจ้องบุรุษแปลกหน้าที่มีรูปร่างสูงสง่า หน้าตาหล่อเหลาเกินกว่าที่เคยเห็นและท่วงท่าการเดินนั้นไม่ธรรมดา เพียงแต่การแต่งกายไม่ค่อยเรียบร้อยจึงทำให้หลี่ไจ้รีบออกคำสั่งผ่านจิตศักดิ์สิทธิ์ไปยังลูกน้องมือดีทันที
เขาไม่มีทางไม่รู้จักบุรุษในอาภรณ์สีแดงประณีต แต่เขาไม่รู้ที่มาที่ไปของบุรุษที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาไร้พลังลมปราณแต่กลับดูไม่ธรรมดาคนนี้เลย
เป็นแค่คนไร้ความสามารถแต่เหตุใดถึงแสดงความเย่อหยิ่งได้มากขนาดนี้
เขาจึงสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ซ่อนอยู่ข้างนอกไปสืบภูมิหลังของบุรุษคนนี้โดยด่วน
ชิงเยี่ยนยอมรับว่าคาดเดาอารมณ์จากสีหน้าที่มีริ้วรอยของหลี่ไจ้ไม่ได้เลยและในขณะที่เขากำลังคิดหนักอยู่ว่าต้องคุกเข่านอบน้อมให้คนที่น่าจะเป็นกงกงจากวังหลวงหรือเปล่า ทันใดนั้นอีกฝ่ายได้ยกมือขึ้นมาคารวะเสียก่อน
“ที่แท้ก็เป็นคุณชายชิงแห่งจวนท่านจอมทัพซ้าย”
คุณชาย? จวนท่านจอมทัพซ้าย?
ขนาดนั้นเชียว
ชิงเยี่ยนงัดทุกทักษะการแสดงออกมาเพื่อไม่ให้ตัวเองเผยความตื่นตระหนกผ่านแววตาและสีหน้า ต่อให้สมองโล่งจนไม่รู้จะตั้งรับอย่างไร เขายังรู้แค่ว่ายิ้มเข้าไว้เป็นพอ
สำหรับฉู่หลานก็รู้สึกโล่งใจเพราะแม้ว่าสถานการณ์จะน่าสับสนแต่อย่างน้อยเขารู้ว่าไม่ต้องคุกเข่าให้คนผู้นี้แล้ว
“ต้องขอโทษด้วยที่ตอนแรกข้าเสียมารยาท” หลี่ไจ้เปลี่ยนสีหน้าจากเย็นชาเย่อหยิ่งมาเป็นยิ้มทักทายด้วยความเป็นมิตร
“โอ้ ไม่ต้องมากพิธีหรอก ล้วนเป็นคนกันเองทั้งนั้น” ชิงเยี่ยนฉีกยิ้มกว้างจนเหมือนคนโง่เขลา ในเมื่ออีกฝ่ายให้เป็นคุณชายจวนจอมทัพ เขาก็จะเป็น เพราะยังดีกว่าลอยไปลอยมาแบบไร้จุดหมายเหมือนจอกแหน
“คุณชายชิงใจกว้างจริงๆ” หลี่ไจ้ไม่คุกคามแต่ไม่ได้ลดตัวมากจนเกินงาม เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นกงกงระดับสูงที่สุดของวังหลวงและยังเป็นผู้บำเพ็ญในขอบเขตกึ่งเมธีขั้นปัจฉิม นอกจากเจ้านายในวังแล้วเขาไม่จำเป็นต้องไว้หน้าใครเลย
ทว่าต่อให้คุณชายชิงผู้นี้จะขึ้นชื่อว่าเป็นหนุ่มเจ้าสำราญที่ไม่เอาไหนของเมืองหลวง แต่สถานะบุตรชายสุดที่รักของจวนจอมทัพซ้ายผิงซีก็ทำให้ชิงเยี่ยนสมควรได้รับการให้เกียรติ
ถ้าไม่อยากให้จอมทัพซ้ายบันดาลโทสะย่อมไม่สามารถเอาชีวิตชิงเยี่ยนได้เด็ดขาด
แต่สำหรับอีกคนนั้น...
หลี่ไจ้เบนสายตาไปยังฉู่หลานที่ยืนเอามือไพล่หลังไม่พูดไม่จาอยู่ตรงนั้น เขาหรี่ตามองประเมินอีกฝ่ายอยู่นานสองนาน จากการแต่งกายที่ไม่เรียบร้อยกอปรกับการปรากฏตัวพร้อมชิงเยี่ยนก็สามารถคาดเดาได้ว่าบุรุษรูปงามผู้นี้คือนายบำเรอ ‘อีกคน’ ของคุณชายชิงกระมัง
“มิทราบว่าท่านนี้คือ...”
“แหะแหะ ใต้เท้า คือบางเรื่องข้าก็ลำบากใจที่จะพูดจริงๆ” ชิงเยี่ยนสังเกตเห็นสายตาที่ห่างเหินของบุคคลผู้นี้ที่มีต่อฉู่หลานจึงแอบคาดเดาในใจว่าฉู่หลานไม่เป็นที่รู้จักของขุนนางชั้นสูง เขาจึงรีบพูดด้วยท่าทางลำบากใจ
“อ้อ คุณชายพูดเช่นนี้ข้าพอเข้าใจได้” หลี่ไจ้ไม่ได้เค้นเอาคำตอบเพราะอีกสักครู่คำตอบจะมาหาเขาเอง ดังนั้นเขาจึงพูดเข้าประเด็น “ปกติคุณชายชิงมักอยู่ที่หอเซียนหยวน เหตุใดวันนี้จึงมาอยู่ในที่...เช่นนี้ได้เล่า?” หางเสียงมีความเยือกเย็น ประกายตาคมกริบพุ่งใส่ชิงเยี่ยนคล้ายกำลังจับผิด
ปกติชิงเยี่ยนผู้ไม่เอาไหนมักไปหมกตัวเสพความสำราญอยู่ที่หอเซียนหยวนสถานที่รวมตัวของพวกชาวยุทธกระจอก แต่วันนี้มาเสพความสำราญอยู่ในบ้านหลังซอมซ่อของจางเหวินเสียได้ ช่างขัดกับอุปนิสัยที่รักสบายและรักความสะอาดเหลือเกิน
มิหนำซ้ำโดยปกติแล้วจางเหวินไม่มีสหาย
“พวกเราแค่มา...” ชิงเยี่ยนเห็นสายตาของอีกฝ่ายแล้วย่อมตระหนักได้ถึงสถานการณ์ที่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นความตายได้ดี เพียงแต่ตอนนี้ไม่มีจางเหวินคอยแนะนำว่าคนผู้นี้มีความปรานีมากน้อยเพียงใด แต่เมื่อพิจารณาจากเจ้านายของกงกงแล้ว ชิงเยี่ยนเลือกไม่เสี่ยงดีกว่า
นัยน์ตากระจ่างใสเหลือบมองไปทางฉู่หลานเพียงแวบเดียว จากนั้นจึงตัดสินใจเองโดยไม่ถามความเห็นใคร
“ใต้เท้า หากข้าบอกความจริง ท่านสัญญาได้หรือไม่ว่าจะไว้ชีวิตพวกเราทั้งสองจากเหตุการณ์เมื่อครู่”
ไม่ต้องอธิบายก็รู้กันดีว่าเหตุการณ์เมื่อครู่คือตอนที่ ‘คนผู้นั้น’ ลงมือสังหารจางเหวินและพวกเขาดันโชคร้ายเป็นผู้เห็นเหตุการณ์เข้าพอดี
“คุณชายชิงพูดเกินไปแล้ว ด้วยสถานะของท่านย่อมไม่มีใครกล้าเอาชีวิตท่านหรอก แต่สำหรับอีกคน...” ประกายตาคมกริบของหลี่ไจ้ฟาดไปทางฉู่หลาน หากตัวตนของคนผู้นี้ไร้ค่ากว่ามด เขาจะลงมือสังหารโดยไม่ต้องเสียเวลากะพริบตาด้วยซ้ำ
ตุบ!
ทันใดนั้นบังเกิดเสียงคล้ายวัตถุขนาดใหญ่กระทบพื้น เมื่อเหลือบมองลงไปจึงเห็นว่าเป็นชิงเยี่ยนที่คุกเข่าลงกับพื้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยนั่นเอง
“คุณชายชิงจะทำอะไร รีบลุกขึ้นเถิด” หลี่ไจ้ไม่อาจรับเกียรตินี้จากจวนจอมทัพซ้ายได้จริงๆ เขารีบก้าวไปข้างหน้าโดยตั้งใจจะช่วยประคองชิงเยี่ยนขึ้นมา
“ใต้เท้าโปรดฟังคำอธิบายจากข้าก่อน” ชิงเยี่ยนแสดงความดื้อรั้นและไม่ยอมลุก “พวกข้ามาที่นี่เพราะได้ยินชื่อเสียงบัณฑิตตกอับของจางเหวินที่โด่งดังในตลาดผีแห่งนี้จึงมาหาเขาเพื่อจ้างงานเขาน่ะ”
“จ้างงาน?” หลี่ไจ้เลิกคิ้ว ฉู่หลานเองก็เลิกคิ้วเพียงแวบเดียวเพราะตอนนี้ไม่รู้ว่าจอมมารน้อยจะมาไม้ไหน
“ฝีมือวาดภาพด้วยพู่กันของจางเหวินไม่เป็นสองรองใคร เกรงว่าใต้เท้าน่าจะทราบดีเหมือนกัน” ชิงเยี่ยนไม่เผยความลังเลในยามทำการแสดง เขายิงคำถามเชิงวาทศิลป์ใส่ชายสูงวัยเพราะมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องทราบเบื้องลึกเบื้องหลังระหว่างจางเหวินกับคนผู้นั้นเช่นกัน ดังนั้นการที่ครั้งหนึ่งจางเหวินเคยเป็นถึงจิ้นซื่อ อีกฝ่ายย่อมรู้ดี
“แล้วเกี่ยวข้องกับการที่คุณชายชิงลดตัวมาที่นี่อย่างไร?” หลี่ไจ้ยังคงสุขุมเยือกเย็น
“เกี่ยวมากเชียวล่ะ ใต้เท้าจะเป็นคนเดียวที่ได้เห็นความลับสำคัญของข้าด้วย” ชิงเยี่ยนลุกขึ้นยืนทันทีที่เบนความสนใจของอีกฝ่ายออกจากฉู่หลานได้ จากนั้นล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าใต้แขนเสื้อแล้วดึงม้วนกระดาษหนึ่งออกมายื่นให้หลี่ไจ้
“หืม?” หลี่ไจ้ชะงักไปอึดใจหนึ่ง แต่สุดท้ายยังเอื้อมมือออกไปรับ
เมื่อเขาคลี่เปิดม้วนกระดาษแผ่นนั้นออกและได้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน สายตาที่สงบนิ่งจึงมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย