ตอนที่ 5 คนผู้นั้น
ตอนที่ 5 คนผู้นั้น
จางเหวินมีลางสังหรณ์ไม่ดีสุดๆ ในใจ หากเป็นช่วงเวลาปกติ เขารู้ดีว่าทุกเดือนจะมีคนผู้หนึ่งมาเคาะประตูเพื่อเจรจาบางเรื่อง เพียงแต่ครั้งนี้ยังไม่ถึงกำหนดก็มีเสียงเคาะประตูในจังหวะหนักเบาเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน ดังนั้นมันต้องไม่ใช่การมาเยือนก่อนเวลาที่ดี
ถึงแม้ฉู่หลานกับชิงเยี่ยนมีพลังบำเพ็ญไม่ด้อยกว่าใคร แต่เขายังไม่อยากให้คนทั้งสองถูกค้นพบทั้งที่ยังไม่ได้วางแผนจัดการกับคนผู้นั้นด้วยซ้ำ
จางเหวินรีบดันหลังฉู่หลานชิงเยี่ยนให้ไปซ่อนตัวอยู่หลังตู้ไม้เก่าในห้องนอนพลางกำชับว่า “รีบผนึกพลังบำเพ็ญรวมถึงพลังลมปราณของพวกเจ้าซะ จากนี้ไม่ว่าได้ยินเสียงใดหรือเกิดเรื่องใดขึ้น พวกเจ้าห้ามออกไปเด็ดขาด”
แน่นอนว่าฉู่หลานไม่เคยถูกปฏิบัติด้วยความหยาบคายเช่นนี้มาก่อน แต่เมื่อเขาเห็นสายตาเป็นกังวลและหวาดกลัวของจางเหวิน เขาจึงคิดว่าจางเหวินมีประสบการณ์ในโลกใบนี้มากกว่าและผู้มาเยือนอาจเป็นศัตรูที่มีพลังบำเพ็ญแข็งแกร่ง ด้วยสถานะของเขาตอนนี้ไม่อาจช่วยเหลือได้จริง มิหนำซ้ำยังจะเป็นการสร้างความเดือดร้อน เขาจึงยอมคุกเข่าลงข้างหนึ่งและซ่อนตัวอยู่หลังตู้ไม้โดยมีชิงเยี่ยนที่หลบอยู่เงียบๆ โดยไม่พูดไม่จา
ชิงเยี่ยนกวาดสายตามองรอบกาย ทันใดนั้นเขาพบเข้ากับหีบไม้ฝุ่นเขลอะใบหนึ่งวางอยู่ใต้ชั้นวางหนังสือเก่า ความจริงมันไม่ได้เตะตาเลย เพียงแต่ด้วยสัญชาตญาณชอบสอดรู้สอดเห็นจึงทำให้เขาตัดสินใจเอื้อมไปหยิบมันออกมาดู
“อย่าเสียมารยาท” ฉู่หลานเอ่ยปราม ปัญญาชนย่อมไม่รื้อค้นสิ่งของในบ้านผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
“ตาเฒ่าฉู่ ถึงขั้นนี้แล้วอย่าเคร่งมารยาทนักเลย เน้นเอาตัวรอดก่อนดีกว่า” ชิงเยี่ยนพูดเสียงกระซิบพลางขยิบตาให้อีกฝ่ายด้วยความขี้เล่น จากนั้นก้มหน้าก้มตาเปิดหีบด้วยความเบามือที่สุด
ฉู่หลานได้แต่ทอดถอนใจด้วยความระอา จากนั้นเขาปล่อยให้ชิงเยี่ยนทำตามใจ ส่วนตัวเองตั้งใจฟังเหตุการณ์ผ่านช่องประตูที่ผุพังนั้น
‘ผู้มาเยือนมีพลังบำเพ็ญไม่ธรรมดา’
นัยน์ตามังกรหดเกร็ง ร่างกายเพิ่มความระมัดระวังโดยอัตโนมัติและในสภาพไร้พลังบำเพ็ญเช่นนี้เขาได้แต่ภาวนาว่าตัวเองกับชิงเยี่ยนจะสามารถผ่านพ้นไปได้
......
ไม่รู้ว่าเพราะผู้มาเยือนมีมารยาทจึงไม่พังประตูเข้ามาเองหรือเพราะอยากให้จางเหวินประหลาดใจกันแน่ เมื่อเสียงเคาะประตูเพียงสามครั้งเงียบลง คนกลุ่มนี้จึงยืนรอด้วยความสงบอยู่ที่หน้าประตู
ในห้วงราตรีกาลอันมืดมัว กลุ่มคนเพียงสามคนยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น คนที่ยืนอยู่ข้างหลังสุดเป็นชายร่างสูงกำยำแผ่นหลังตั้งตรงแต่งกายด้วยเครื่องแบบองครักษ์ลายปักพยัคฆ์ดำ เปิดเผยฐานะองครักษ์พยัคฆ์ดำโดยไม่ปิดบัง พลังในขอบเขตเมธีแผ่ออกมากดดันไม่ให้มีสิ่งใดเข้าใกล้รัศมีที่พวกตนยืนอยู่
ถัดมาข้างหน้าคือบุรุษมีอายุที่ร่างผอมแห้งในเครื่องแบบข้าราชบริพารชั้นสูงของวังหลวง พลังในขอบเขตกึ่งเมธียิ่งเสริมให้ความสุขุมเยือกเย็นของเขาเด่นชัดมากขึ้น แม้ลักษณะการยืนจะหลังค่อมลงเล็กน้อยก็ไม่ทำให้เขาดูด้อยกว่าผู้ใดเลย
สำหรับเงาร่างภายใต้ชุดคลุมสีดำสนิทกลืนไปกับบรรยากาศที่อยู่ด้านหน้าสุดนั้นยังมองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง เพียงแต่ความสูงไม่แตกต่างจากบุรุษคนที่สองไปสักเท่าไร พลังบำเพ็ญที่เผยออกมาอยู่ในขอบเขตวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น แต่แปลกเหลือเกินที่เขาดูมีอำนาจเหนือกว่าผู้แข็งแกร่งอีกสองคนมากโข
เมื่อจางเหวินเปิดประตูหน้าบ้านออกแล้วพบกับร่างในชุดคลุมดำที่ปกปิดไม่ให้เห็นกระทั่งดวงตา
นัยน์ตาที่หวาดระแวงอยู่แล้วของเขาเบิกโพลง อาการสั่นลุกลามตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นสู่ศีรษะจนยืนแทบไม่ไหว เพราะต่อให้คนตรงหน้ากลายเป็นขี้เถ้า เขาก็ไม่มีวันลืม
ให้ฉู่หลานกับชิงเยี่ยนจัดการเลยดีหรือไม่?
ชั่ววูบหนึ่งจางเหวินมีความคิดนี้แวบขึ้นมา แต่ทันใดนั้นเขารีบลบมันทิ้งแล้วเตือนตัวเองว่าคนผู้นี้ถือครองบางสิ่งที่ทำให้ใช้พลังในขอบเขตมหาเมธีได้ นอกจากนี้ต้องมีพวกองครักษ์ระดับเมธีซ่อนตัวอยู่อีกจำนวนไม่น้อย เกรงว่าความหุนหันพลันแล่นจะทำให้ตัวเองรวมถึงพวกฉู่หลานเดือดร้อนตั้งแต่วันแรกเสียมากกว่า
จางเหวินที่ตัวสั่นหน้าซีดยังฉายแววเจ็บปวดและโกรธแค้นออกมาด้วย ร่างผอมแห้งเซถอยหลังเข้าไปในบ้านคล้ายเป็นการเชิญให้ผู้มาเยือนก้าวเข้ามาโดยปริยาย
ร่างในชุดคลุมดำก้าวเข้ามาเพียงคนเดียวและปล่อยให้ผู้ติดตามอีกสองคนรออยู่หน้าประตู
จางเหวินสัมผัสได้ถึงรัศมีที่กดดันถึงขีดสุดจากคนผู้นี้ แม้อยู่ในชุดคลุมสีดำที่ปกปิดตัวตนทว่าเมื่ออีกฝ่ายก้าวเข้ามาในบ้านที่ซอมซ่อช่างดูสูงส่งจนเกินเอื้อม เขาได้แต่ยืนให้ห่างมากที่สุดแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเก่งของฉู่หลาน ความเงียบจนแทบได้ยินเสียงเข็มหล่นกระทบพื้นแผ่ปกคลุมทั้งห้องเอาไว้และจางเหวินยังสับสนว่าต้องคุกเข่าหรือเปล่า
หัวใจสั่งไม่ให้เขาคุกเข่าต่อศัตรู เพียงแต่ด้วยสถานะของร่างในชุดคลุมดำ เขาสามารถทำตามเสียงหัวใจได้หรือ
“ไม่เจอกันนานเลย” น้ำเสียงชัดเจนคล้ายระฆังแก้วภายใต้ชุดคลุมดำเอื้อนเอ่ยขึ้นมาก่อน ราวกับมีดที่ซุกอยู่ใต้น้ำแข็งกรีดเข้าหัวใจของจางเหวินให้เจ็บเป็นทวีคูณ
ถ้าเช่นนั้นเขาคงไม่ต้องคุกเข่า
“สภาพของเจ้าตอนนี้ดูไม่ได้เลย” เสียงนั้นยังเอ่ยต่อ เพียงแต่จางเหวินสัมผัสได้ถึงความเย้ยหยันที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นได้ชัดเจน
ข้าเป็นแบบนี้เพราะใครล่ะ
“หน้าผากมีเลือดออกเยอะเชียว” ร่างในชุดคลุมดำพูดต่อ แม้เอ่ยเหมือนสนใจแต่ไม่ได้เอื้อมมือมาสัมผัสเพราะนึกรังเกียจเลือดของผู้ต่ำต้อย “อย่าบอกว่ากำลังฆ่าตัวตายอยู่พอดี”
จางเหวินไม่พูด เพราะทุกถ้อยคำที่เขาอยากจะพูดไม่ใช่คำที่น่าฟังเลย
รอวันที่ฉู่หลานทำให้เจ้าคลานเป็นสุนัขก่อนเถอะ
“ยังโกรธข้าอยู่หรือ?” น้ำเสียงนั้นถามขึ้นมา
เหอะ ยังจะกล้าถาม
จางเหวินอยากตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายไปเลยด้วยซ้ำว่าโกรธเกลียดจนอยากฆ่าให้ตายทุกลมหายใจเข้าออก เพียงแต่เขายังเลือกที่จะเม้มปากและยืนก้มหน้ามองพื้นเท่านั้น
“ข้าไม่น่าถามเลย” น้ำเสียงนั้นกลับมาเรียบนิ่งและเจือความเศร้าเบาบางไว้ด้วย “หากเจ้าไม่โกรธ เจ้าคงยอมกลับไปพร้อมคนของข้าตั้งนานแล้ว”
ถูกต้อง ตลอดเวลาที่ผ่านมาบุคคลนี้ส่งคนมาเชิญจางเหวินเข้าไปอยู่ในวังทุกเดือน แน่นอนว่าถูกจางเหวินผู้เย่อหยิ่งและเคียดแค้นไล่ตะเพิดกลับไปทุกครั้งเช่นกัน
“ครั้งนี้ข้าจึงมาด้วยตัวเอง” ร่างในชุดคลุมดำเอ่ยด้วยเสียงที่ไม่ดังและไม่เบาแต่มั่นคง “จางเหวิน กลับวังพร้อมข้าเถิด”
“กลับไปพร้อมเจ้า?” นี่เป็นครั้งแรกที่จางเหวินพูดโต้ตอบกับอีกฝ่าย อาการสั่นทั่วร่างกายของเขาเหมือนเบาบางลงและน้ำเสียงติดประชด “กลับไปเป็นสุนัขรับใช้ของเจ้าหรือ”
“เจ้าพูดแรงไปหน่อยกระมัง” น้ำเสียงกระจ่างใสของอีกฝ่ายเจือไปด้วยการหัวเราะเยาะ “ไปอยู่กับข้าในวังย่อมดีกว่าอยู่ในที่โกโรโกโสแบบนี้”
“เหอะ ข้าอยู่กับคนที่ทรยศหักหลัง คนที่แย่งชิงพลังบำเพ็ญของข้าเพื่ออำนาจไม่ได้หรอก” จางเหวินยิ่งพูดยิ่งแข็งกร้าว คล้ายว่าทุกคำพูดได้ตอกย้ำให้เขาหวนนึกถึงอดีตที่แสนเจ็บปวด “ที่ชีวิตข้าตกต่ำแบบนี้ไม่ใช่ฝีมือเจ้าหรือ”
“แต่ข้าไม่คิดว่าตัวเองทำผิด” ร่างในชุดคลุมดำยังคงสงบและทำคล้ายว่าจางเหวินกำลังพูดเรื่องตลก “เจ้าควรภูมิใจที่พลังบำเพ็ญเพียงน้อยนิดของเจ้าช่วยให้ข้าได้ครอบครองพลังที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้”
ระหว่างที่พูด ร่างในชุดคลุมดำหยิบวัตถุชิ้นหนึ่งออกจากใต้แขนเสื้อและทำให้จางเหวินเบิกตากว้างด้วยความโกรธยิ่งขึ้น
หากเจ้าไม่พรากพลังบำเพ็ญของข้าไป เจ้าจะมีคุณสมบัติได้ครอบครองมันหรือ!
“สิ่งที่ทำให้ข้าสามารถใช้พลังในขอบเขตมหาเมธีได้สบายๆ” ร่างในชุดคลุมดำแค่นเสียงหัวเราะด้วยความสะใจ พลังบำเพ็ญแท้จริงของเขาอยู่ในขอบเขตใดไม่จำเป็นต้องรู้ แต่ทั่วหล้าต่างรู้ดีว่าเขาคือผู้ถือครองสิทธิ์ในการใช้พลังมหาเมธีจากสิ่งนี้แต่เพียงผู้เดียว
ทันใดนั้นสิ่งที่อยู่ในมือของเขาสั่นระริกอย่างน่าประหลาดซึ่งมันเกิดขึ้นครั้งแรก เพราะตอนที่เขาได้ถือสิทธิ์ครอบครองมันครั้งแรก มันยังไม่แสดงปฏิกิริยาต้อนรับมากเท่านี้
หรือพลังบำเพ็ญของเขากำลังจะก้าวหน้าไปอีกขั้น หรือเพราะมันยินดีรับใช้เขาด้วยความจริงใจเสียที?
ขณะนี้ฉู่หลานที่ซ่อนอยู่หลังตู้ไม้เกิดอาการใจสั่นขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
ทั้งที่เขาไม่เห็นภาพเหตุการณ์ข้างนอก ได้ยินแต่เสียงเท่านั้น ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดเขาจึงนึกถึงป้ายมังกรทองที่ห้อยติดเอวตลอดเวลาขึ้นมา ทำให้เขารีบก้มมองที่เอวเพื่อพบกับความว่างเปล่า
ป้ายมังกรทองอยู่ที่ใด?!
ด้วยความเคยชินเขาจึงเข้าใจว่าป้ายมังกรทองที่ทำให้เขาใช้พลังมหาเมธีได้เป็นสองเท่ายังอยู่ติดเอวตลอดเวลา ตอนนี้มันกลับอันตรธานไปโดยไม่รู้ว่าเผลอทำหล่นตอนอยู่แดนเหนือ หรือตอนอยู่ในรอยแยกลึกลับหรือว่าตกอยู่ในบ้านของจางเหวิน
อืม อาจหล่นอยู่ในบ้านของจางเหวินเพราะเขารู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยโดยประหลาดจากบางสิ่งบางอย่างในระหว่างที่จางเหวินคุยกับคนผู้นั้น
ฉู่หลานได้แต่นึกทอดถอนใจและเฝ้ารอด้วยความใจเย็นอยู่ตรงนั้น เขาได้ยินจางเหวินพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า
“หึ ถ้าไม่ใช่เพราะเหลือเจ้าอยู่คนเดียว ข้าก็อยากรู้ว่าคนเช่นเจ้าจะมีคุณสมบัติได้ครอบครองมันหรือเปล่า”
ปัง!
“บังอาจ!” เสียงตบโต๊ะจนพังเป็นสองซีกตามมาด้วยเสียงตวาดของร่างในชุดคลุมดำ “เห็นข้าลดตัวมาหาถึงที่แล้วนึกทะนงตนหรือไร”
“ข้าไม่ควรทะนงต่อหน้าผู้ที่ครองพลังบำเพ็ญของตัวเองอยู่หรือ” จางเหวินเหมือนคนเสียสติที่ไม่กลัวฟ้ากลัวดินและพูดเย้ยหยันขึ้นเรื่อยๆ “เจ้าน่ะไร้ค่ากว่าใครในใต้หล้า!”
“จางเหวิน คุกเข่าให้เจิ้นเดี๋ยวนี้!” ร่างในชุดคลุมดำตวาดลั่น พลังจากสิ่งที่เขาถือครองอยู่ทำให้พื้นเบื้องล่างสั่นสะเทือน แม้มองไม่เห็นสีหน้าและแววตาของเขา กระนั้นยังสามารถบอกได้ว่าเขาโกรธมากเพียงใด
“ไม่!” ดวงตาของจางเหวินแดงก่ำ เขาเคียดแค้นชิงชังจนร้องไห้ออกมาโดยไม่สนเหตุผลใดแล้ว “ต่อให้ตายข้าก็ไม่ยอมก้มหัวให้สวะเช่นเจ้า!”
ซี้ด~
ผู้ติดตามทั้งสองที่อยู่หน้าประตูได้ยินแล้วถึงขั้นกลั้นหายใจและขนลุกไปทั้งกาย
“เช่นนั้นจงตายซะ!” ร่างในชุดคลุมดำตะคอกพลางโบกมือเพียงครั้งเดียว
ฟึบ!
ร่างของจางเหวินกลายเป็นหมอกควัน