ตอนที่ 4 ทำลายหลักฐาน
ตอนที่ 4 ทำลายหลักฐาน
“คนผู้นั้นคือจักรพรรดิแห่งต้าโจว!”
สิ้นเสียงของจางเหวินจึงบังเกิดความเงียบขึ้นในห้องเล็กโทรมแห่งนี้ครู่หนึ่ง
ฉู่หลานแค่เลิกคิ้วมองอีกฝ่าย ส่วนชิงเยี่ยนรู้สึกกังวลใจเพราะเขารู้ตัวดีว่าบัดนี้ไม่เหลือพลังบำเพ็ญแล้ว หากจะให้บุกเข้าวังหลวงไปสังหารจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน แม้ว่าพลังยุทธของเขายังอยู่ในระดับเหนือกว่าเจ้าสำนัก แต่ปราการที่ป้องกันวังหลวงแห่งนั้นเอาไว้ ใช่ว่าจอมยุทธคนหนึ่งจะบุกเข้าไปได้ง่ายและสามารถพูดได้เลยว่า ‘เป็นไปไม่ได้’
ดังนั้นจอมมารขอไม่ยุ่ง
“ตาเฒ่าฉู่ เรื่องจักรพรรดิก็ให้จักรพรรดิจัดการแล้วกัน” ชิงเยี่ยนโยนภาระใส่บ่าจักรพรรดิมังกรฉู่หลานทันที ต่อให้ร้อยวันพันปีเขาไม่เคยยกย่องความยิ่งใหญ่ของฉู่หลาน แต่ถ้าเป็นเรื่องถึงชีวิตเช่นนี้ เขายอมถอยให้ฉู่หลานครึ่งก้าว
“ไม่ได้หรอก แค่ฉู่หลานคนเดียวคงต้านกลุ่มบรรพชนมหาเมธีที่เฝ้าคุ้มกันวังหลวงไม่ไหว ดังนั้นชิงเยี่ยน เจ้าต้องช่วยเป็นแรงหนุนให้ฉู่หลานด้วย” จางเหวินยกมือปาดน้ำตาและพูดด้วยท่าทางจริงจัง
ต้องยอมรับว่าเขาไม่ได้มีความมั่นใจเต็มร้อย เพียงแต่เขาหวังว่าร่างมังกรทองของฉู่หลานนั้นจะเอาชนะบรรพชนมหาเมธีเหล่านั้นได้
‘หลุดข้อมูลมาทีละน้อยแล้ว’
ฉู่หลานและชิงเยี่ยนแอบคิดในใจ บัดนี้พวกเขาได้ตระหนักแล้วว่าโลกใบใหม่นี้ก็เป็นโลกแห่งการบำเพ็ญเช่นกันและในวังหลวงมีบรรพชนมหาเมธีคอยปกปักรักษาไม่ต่างจากวังหลวงต้าหลงที่ฉู่หลานคุ้นเคย
ฉู่หลานไม่เคยนึกทอดถอนใจเช่นนี้มาก่อน เขาต้องยอมรับว่าด้วยร่างกายที่ไร้พลังบำเพ็ญนั้นสู้ไม่ไหวจริงๆ
เรื่องนี้เจิ้นจะไม่ยุ่ง
“เจ้ากำลังบอกว่าที่นี่ก็เป็นโลกแห่งการบำเพ็ญหรือ?” แต่การเก็บข้อมูลยังต้องดำเนินต่อไป
“ถูกต้อง พูดให้เข้าใจง่ายคือโลกนี้มีสำนักต่างๆ มีวิทยายุทธทุกแขนงและขอบเขตของพลังบำเพ็ญเหมือนในนิยายที่ข้าเขียนทั้งหมด เพียงแต่เปลี่ยนจากแคว้นต้าโจวเป็นต้าหลงเท่านั้น” จางเหวินกระตือรือร้นที่จะอธิบายขึ้นมาเพราะเขาคิดว่าความสนใจของฉู่หลานหมายความว่าเห็นด้วยกับคำขอ “มีแค่ความแตกต่างตรงเผ่าพันธุ์น้อยใหญ่รอบด้านและลักษณะภูมิประเทศของต้าโจวกับต้าหลง”
“อืม แล้วในเมืองหลวงแห่งนี้มีผู้บำเพ็ญกับชาวยุทธในอัตราส่วนเท่าใด” ฉู่หลานถามด้วยความสงบ
“ครึ่งต่อครึ่งเลยล่ะ เพียงแต่ในเมืองหลวงแห่งนี้มีเมธีผู้ภักดีต่อราชวงศ์ซ่อนตัวอยู่มากมาย พวกวิญญาณบริสุทธิ์และกึ่งเมธีก็เดินกันให้ควั่ก ข้าจึงต้องพึ่งพาพวกเจ้าเท่านั้น” จางเหวินกลับมาอ่อนแรงอีกครั้งเพราะเมื่อได้ทบทวนถึงความแข็งแกร่งของกลุ่มผู้บำเพ็ญที่ภักดีต่อ ‘คนผู้นั้น’ ก็เหมือนเป็นการตอกย้ำถึงความอ่อนแอของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เหมือนต้าหลงของข้าจริงๆ” น้ำเสียงของฉู่หลานแผ่วเบาราวกับตกอยู่ในห้วงความคิดถึงอดีต เพราะเมืองหลวงของต้าหลงก็มีทั้งชาวยุทธและผู้บำเพ็ญอยู่ร่วมกันแทบจะครึ่งต่อครึ่ง วังหลวงมีบรรพชนมหาเมธีคอยปกปักรักษาด้วย
ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกขุนนางเฒ่าดูแลราชสำนักดีหรือเปล่า
“แต่จักรพรรดิแห่งต้าโจวไม่มีสิ่งใดเทียบเจ้าได้!” อารมณ์ของจางเหวินพลิกกลับอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าวและสายตายังจ้องเขม็งไปในทิศทางที่บัดนี้ฉู่หลานกับชิงเยี่ยนพอจะเดาได้ว่าเป็นสถานที่ตั้งของวังหลวง “มีแค่พลังบำเพ็ญที่แย่งชิงจากคนอื่นแบบหน้าด้านๆ แต่สติปัญญาในการบริหารบ้านเมืองเป็นศูนย์ คุณธรรมตกต่ำยิ่งกว่าเดรัจฉาน พวกเจ้าต้องออกไปเห็นโลกที่อยู่หลังประตูบานนี้แล้วจะได้รู้ว่าพวกชาวยุทธที่ไร้พลังบำเพ็ญถูกกลั่นแกล้งและมีความเป็นอยู่ต่ำต้อยกว่าสัตว์วิญญาณของขุนนางพวกนั้นอีก!”
นิ้วมือของจางเหวินที่ชี้ไปทางวังหลวงสั่นระริก บ่งบอกถึงอารมณ์โกรธ เกลียดและแค้นจนแทบระเบิดออกมา ที่เขาตั้งใจพูดความจริงตั้งแต่ต้นเพราะอยากกระตุ้นพลังของจักรพรรดิผู้ทรงธรรมของฉู่หลาน
“อืม แย่กว่าที่คิด” ฉู่หลานไม่ได้คิดเช่นนั้น ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ดินแดนของเขาและบัดนี้เขาไม่มีอำนาจมากพอจะต่อกรกับขุนนางระดับล่างด้วยซ้ำแล้วเขาจะเอาปัญญาที่ใดไปโค่นบัลลังก์จักรพรรดิต้าโจว
“ไม่แย่ ไม่แย่ขนาดนั้นหรอก” จางเหวินหันกลับมาโต้ตอบฉู่หลานด้วยดวงตาเป็นประกายแห่งความหวัง “ด้วยพลังในร่างมังกรทองของเจ้าเมื่อรวมกับค่ายกลเมฆาโรยของชิงเยี่ยน การบุกเข้าวังหลวงแล้วทำให้คนผู้นั้นคลานเหมือนสุนัขย่อมไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน”
เหอะ เหอะ เพ้อฝันโคตรๆ
“เอาล่ะ ไม่แย่ก็ไม่แย่” ชิงเยี่ยนยกมือกอดอกเพื่อแสดงความมั่นใจที่แสนจอมปลอม จากนั้นเขาเดินเยื้องย่างมาหาจางเหวิน มือเรียวงามเชยคางของจางเหวินขึ้น เมื่อพิจารณาใกล้ๆ และตัดความมอมแมมบนใบหน้ารวมถึงเสื้อผ้าที่ซอมซ่อทิ้ง จางเหวินถือเป็นบุรุษหน้าคมที่ดูมีเสน่ห์มากคนหนึ่ง
ในยุคที่เขายังเป็นอัจฉริยะผู้บำเพ็ญจะต้องเนื้อหอมสุดๆ
“อะแฮ่ม!” เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขัดจังหวะความคิดของชิงเยี่ยน “จอมมารชิงโปรดสำรวมกิริยาด้วย” แน่นอนว่าเป็นเสียงของฉู่หลาน
“ชิ” ชิงเยี่ยนตวัดสายตามองจิกตาเฒ่าขี้บ่น จากนั้นเก็บไม้เก็บมือเรียบร้อยพลางหรี่ตามองและพูดกับจางเหวินต่อ “เอาล่ะ จางเหวิน ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าเอาแต่บอกให้พวกข้าช่วยแก้แค้น แต่เจ้าไม่เคยบอกว่าจะมอบหลักประกันใดให้พวกข้าเลย”
“ข้า...” จางเหวินเห็นท่าทางทอดถอนใจของชิงเยี่ยนและเมื่อเบนสายตาไปมองฉู่หลานที่ดูเฉยชาต่อเลือดบนหน้าผากของเขามาก หัวใจของเขาพลันห่อเหี่ยวเกินบรรยาย “ข้าไม่มีสมบัติ ไม่มีสิ่งใดรับประกันแล้วนอกจากชีวิต”
“ข้าไม่ต้องการชีวิตน้อยๆ ของเจ้าหรอก” ชิงเยี่ยนทำหน้ายู่ เห็นเขาเป็นจอมมารชอบคร่าชีวิตมนุษย์เช่นพวกเจ้านักหรือ
“เช่นนั้น เช่นนั้นข้าจะเขียนคำรับประกันให้พวกเจ้าเดี๋ยวนี้เลย!” จางเหวินพยายามคิดแล้วว่าชีวิตตัวเองมีสิ่งใดที่สามารถตอบแทนทั้งสองได้บ้างซึ่งคำตอบคือไม่มี
“ไม่เลวนะ” ดวงตาทรงเสน่ห์ของชิงเยี่ยนเป็นประกาย เขารีบจับแขนของจางเหวินแล้วลากไปทางโต๊ะที่ฉู่หลานนั่งอยู่ด้วยความกระตือรือร้น “เจ้าหลีกไปสิ”
สะโพกกลมมนเบียดจักรพรรดิมังกรฉู่หลานให้ลุกจากเก้าอี้และฉู่หลานยอมลุกด้วยความเบื่อหน่ายเพราะเขารู้ดีว่าจุดประสงค์ของชิงเยี่ยนคือสิ่งใด
แม้ไม่อาจรับประกันว่าจางเหวินจะส่งพวกเขากลับได้จริง แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ลองทำ
“เขียนเลย เขียนเลย” ชิงเยี่ยนส่งแรงผลักดันอยู่ด้านข้าง เขายังช่วยฝนหมึกให้ด้วยซ้ำ
“อืม” จางเหวินเปิดต้นฉบับนิยาย ‘มังกรสวรรค์พิชิตจอมมาร’ ไปยังหน้ากระดาษว่างที่อยู่ถัดจากคำอัญเชิญโลหิต มือที่รับพู่กันจากชิงเยี่ยนสั่นนิดๆ เพราะประหม่าที่ถูกสายตาของ ‘ตัวละคร’ ทั้งสองจับจ้อง
แต่ด้วยหัวใจที่ปรารถนาจะแก้แค้นเหนือสิ่งอื่นใด เขาจึงหลับตาลงเพื่อเรียกสมาธิ สูดหายใจเข้าลึกพลางหวนนึกถึงวันที่เขียนคำอัญเชิญครั้งแรก
เมื่อปลายพู่กันจรดแผ่นกระดาษสีน้ำตาลอ่อนเก่าๆ ราวกับว่าเวลาระหว่างสองโลกคู่ขนานได้หยุดหมุน
‘ข้าจางเหวิน ผู้เขียนนิยายเรื่องมังกรสวรรค์พิชิตจอมมารขอวิงวอนแทนฉู่หลานและชิงเยี่ยน หากทั้งสองช่วยข้าแก้แค้นจักรพรรดิองค์ปัจจุบันของต้าโจวได้สำเร็จ เมื่อวันนั้นมาถึง ขอฟ้าดินประทานโอกาสเปิดรอยแยกมิติขึ้นมาอีกคราและส่งฉู่หลานชิงเยี่ยนคืนสู่แผ่นดินต้าหลงด้วยเถิด’
เมื่อเขียนตัวอักษรสุดท้ายเสร็จ จางเหวินไม่ลังเลโดยรีบยกปลายนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปากและกัดปลายนิ้วจนเลือดซิบ จากนั้นหยดเลือดสามหยดลงในคำวิงวอนนั้นด้วย
‘ใจถึงไม่เบา’
ชิงเยี่ยนนึกชื่นชมในใจและในจังหวะที่เกิดความเงียบเข้าปกคลุมทั่วทั้งห้อง เขาได้คว้าเอาหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา มือเรียวฉีกหน้ากระดาษที่เพิ่งเขียนเสร็จหมาดๆ ออกแล้วพับใส่กระเป๋าอกเสื้อ จากนั้นคว้าเชิงเทียนที่ตั้งอยู่ใกล้กันก่อนจะเดินดุ่มๆ ไปทางหลังบ้าน
“เฮ้ เจ้า เจ้าจะทำอะไร” จางเหวินตกตะลึงและลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะเดินตามชิงเยี่ยนไปติดๆ
“ต้องทำลายหลักฐานการมีตัวตนประหลาดของพวกข้า” ฉู่หลานเดินตามมาด้านหลังด้วยท่าทางสบายๆ และตอบคำถามด้วยเสียงผ่อนคลายไม่ต่างกัน “หนังสือที่มีรอยฉีก ถึงอย่างไรก็มีพิรุธ ดังนั้นต้องเผาทำลายให้สิ้นซาก”
“ตะ แต่...” จางเหวินอยากประท้วง เพราะนั่นคือต้นฉบับนิยายที่กลายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเดียวในชีวิตของเขา แต่เมื่อตระหนักได้ว่าเขานำเนื้อเรื่องไปขายทำเงินได้ตั้งนานแล้ว การจะเขียนตอนใหม่แค่เปลี่ยนมาใช้กระดาษชุดใหม่แทน เขาจึงยอมตามใจคนทั้งสองเพราะกลัวว่าหากทำให้ขัดเคืองแล้วจะไม่มีใครช่วยแก้แค้น
เขาทำได้แค่ยืนมองต้นฉบับ ‘มังกรสวรรค์พิชิตจอมมาร’ ถูกไฟเผาไหม้ต่อหน้าต่อตา เมื่อเห็นว่าชิงเยี่ยนใช้พลังลมปราณซัดใส่กองขี้เถ้าให้ปลิวหายไปตามสายลมจนไม่เหลือร่องรอยใดไว้อีก เขาจึงนึกชื่นชมในใจว่าจอมมารผู้นี้รอบคอบเหลือเกิน
ในเมืองหลวงที่มีกลุ่มผู้ใช้จิตศักดิ์สิทธิ์กวาดมองทะลุสรรพสิ่งได้ย่อมอันตรายหากไม่รอบคอบพอ
“เอาล่ะ จางเหวิน ตอนนี้เจ้าควรได้รับฟังความจริงข้อหนึ่งจากปากพวกข้าบ้าง” ฉู่หลานเรียกสติของจางเหวินและเดินนำกลับมาในห้อง
เมื่อเล็งเห็นความจริงใจของจางเหวิน แม้ว่าเกิดจากความอยากแก้แค้นที่ฝังลึกก็ตาม ถึงอย่างไรพวกเขาสมควรบอกความจริงเรื่องพลังบำเพ็ญที่หายไปเช่นกัน
แน่นอนว่าต้องทำให้จางเหวินผิดหวังมาก เพียงแต่พวกเขาทั้งสองก็ไม่นึกฝันว่ามันจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ถ้าจะโทษคงต้องโทษสวรรค์ที่ไร้เมตตาต่อเจ้า
หากจางเหวินไม่ผิดหวังเรื่องพลังบำเพ็ญของพวกเขาจนเป็นบ้าไปเสียก่อน เขาก็อยากสอบถามต่อไปด้วยว่าเหตุผลใดที่ทำให้ ‘คนผู้นั้น’ ลงมือโหดเหี้ยมต่อจางเหวินได้ถึงเพียงนี้
“ขะ ความจริง?” จางเหวินเดินตามหลังฉู่หลานโดยมีชิงเยี่ยนเดินปิดท้าย เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจักรพรรดิมังกรฉู่หลานที่กลับไปครอบครองเก้าอี้ตัวนั้นจะพูดเรื่องใด
“เกี่ยวกับพลังบำ...”
ปัง ปัง ปัง!
ฉู่หลานยังไม่ทันพูดจบก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตูที่เจือความไม่เป็นมิตรเต็มเปี่ยม
“เจ้าสองคนรีบไปซ่อนเดี๋ยวนี้!” จางเหวินเบาเสียงลงสุดอัตราแต่ยังมีความร้อนรนที่เผยออกมาชัดเจนมาก