ตอนที่ 3 มังกรสวรรค์พิชิตจอมมาร
ตอนที่ 3 มังกรสวรรค์พิชิตจอมมาร
“ข้าแซ่จางนามเหวิน ข้าเป็นนักเขียนนิยายเรื่องมังกรสวรรค์พิชิตจอมมารและเป็นผู้อัญเชิญพวกเจ้าทั้งสองออกมาจากหนังสือเล่มนี้เอง” จางเหวินเอ่ยพลางเดินไร้เรี่ยวแรงเพื่อไปหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมายื่นให้ฉู่หลาน
ฉู่หลานก้มหน้าลงและกวาดตามองกระดาษที่มีตัวหนังสืออัดแน่นในนั้นซึ่งชิงเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างก็ชะเง้อหน้าเข้ามาอ่านเช่นกัน
‘ข้าจางเหวิน ผู้เขียนนิยายเรื่องมังกรสวรรค์พิชิตจอมมารขออัญเชิญจักรพรรดิมังกรฉู่หลานและจอมมารชิงเยี่ยนจากโลกแห่งนิยายมายังโลกความเป็นจริงนี้’
“เจ้ากำลังบอกว่าพวกข้าไม่มีตัวตนจริงๆ งั้นหรือ?” นัยน์ตาของฉู่หลานหดลง เพราะความจริงที่กำลังเปิดเผยเรื่อยๆ นี้ดูเหลือเชื่อเกินไป
เห็นๆ กันอยู่ว่าพวกเขามีเลือดเนื้อ มีพลังลมปราณและความทรงจำตั้งแต่เยาว์วัยยังชัดเจน แล้วพวกเขาจะไม่มีตัวตนได้อย่างไร
แต่เมื่อพิจารณาถึงรอยแยกลึกลับและพลังบำเพ็ญที่หายสิ้นก็ดูสมเหตุสมผล
“นั่นไม่ใช่ประเด็น” ชิงเยี่ยนย่อมวิเคราะห์ได้เหมือนฉู่หลานอยู่แล้ว เพียงแต่ประเด็นที่เขาสนใจไม่ใช่เรื่องการมีตัวตนหรือพลังบำเพ็ญสูญสลายอะไรนั่น เพราะประเด็นที่เขาสนใจมีเพียงหนึ่งเดียว
‘มังกรสวรรค์พิชิตจอมมาร’
ชื่ออัปมงคลแบบใด!
“เจ้าเอาสมองส่วนไหนตั้งชื่อนิยายที่ไม่เป็นมงคลเช่นนี้มิทราบ” ชิงเยี่ยนตวัดสายตามาทางจางเหวินพร้อมยิงคำถามในเชิงข่มขู่ว่าหากตอบไม่ตรงใจเป็นได้เห็นดีกันแน่
“กะ ก็” แน่นอนว่าจางเหวินไม่ทันตั้งรับกับสถานการณ์นี้ เพราะเดิมทีบทสนทนาคือการนึกถึงเหตุผลที่เขาอัญเชิญทั้งสองตัวละครนี้มาต่างหาก
“ยังต้องถามอีกหรือ?” คราวนี้เป็นเสียงของฉู่หลานเอ่ยขึ้น เขามองชิงเยี่ยนด้วยแววตาขี้เล่นและความรู้สึกแห่งชัยชนะ “ชื่อเรื่องนิยายบ่งบอกบทสรุปของเรื่องไงเล่า สุดท้ายมังกรย่อมชนะจอมมาร”
“เหอะ ตาเฒ่าฉู่ เจ้าไม่เคยได้ยินคำว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอนหรอกหรือ” ชิงเยี่ยนยกมือกอดอกแล้วพูดประชด จากนั้นเบนสายตาไปทางจางเหวิน “จริงหรือไม่เจ้านักเขียน”
“เอ่อ คือ...” จางเหวินไม่ได้ตั้งตัวกับสถานการณ์นี้เลย แต่เขายอมรับว่าสองตัวละครที่สร้างมากับมือ พอมาอยู่ต่อหน้าแบบตัวเป็นๆ แล้วดูรับมือยากไม่เบา ราวกับว่ามีความนึกคิดเป็นของตัวเองและแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่ตัวละครทะลุมิติออกมาได้จริงนี้ เขาไม่เคยได้วางโครงเรื่องไว้ด้วยซ้ำ “ความจริงข้ายังไม่ได้วางเส้นเรื่องตอนท้ายๆ ไว้หรอก ไม่รู้ว่าจะได้อยู่เขียนจนจบหรือเปล่าด้วย”
ท้ายเสียงมีความแผ่วเบาแต่ยังได้ยินชัดเจน ให้ความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังแปลกๆ
“แต่ตอนนี้มีพวกเจ้าอยู่ ข้าค่อยมีหวังหน่อย”
“มีหวัง?” ฉู่หลานเลิกคิ้วมองจางเหวินเล็กน้อย “เกรงว่าความหวังของเจ้าคือเหตุผลที่อัญเชิญพวกข้ามากระมัง”
ฉู่หลานพอคาดเดาได้รางๆ จากคำพูดและอากัปกิริยาของอีกฝ่าย เขานึกสงสัยในใจว่าจางเหวินกลายเป็นคนที่ดูสิ้นหวังเช่นนี้แต่แรกเลยหรือ
ฉู่หลานดึงสายตากลับมามองหน้ากระดาษนั้นอีกครั้ง ตั้งแต่รอบแรกที่ได้อ่านคำอัญเชิญ เขาก็เห็นแล้วว่ามีรอยคล้ายหยดเลือดสามหยดแต้มอยู่ด้วย เพียงแต่ถูกชิงเยี่ยนหยิบยกเรื่องชื่อนิยายมาเอ่ยก่อน
“รอยเลือดนี้เหมือนเกิดขึ้นนานแล้ว” ฉู่หลานวิเคราะห์
“ใช่ ข้าหลั่งเลือดอัญเชิญนี้ไว้เมื่อสามปีก่อน” เมื่อพูดเช่นนี้แววตาของจางเหวินมีความแข็งกร้าวและหวนนึกถึงอดีตครานั้นขึ้นมาทันที
เมื่อสามปีก่อน
จางเหวินอดีตอัจฉริยะผู้บำเพ็ญแห่งต้าโจว ผู้ที่ก้าวสู่ขอบเขตวิญญาณบริสุทธิ์ขั้นปฐมด้วยเวลาเพียง 15 ปีเท่านั้น
ฉากหน้าของเขาคืออัจฉริยะผู้บำเพ็ญ ฉากหลังของเขาคือนักเขียนนิยายเรื่อง ‘มังกรสวรรค์พิชิตจอมมาร’ ซึ่งโด่งดังมากๆ ในตลาดผีของเมืองหลวงแห่งต้าโจว แม้กระทั่งผู้สูงศักดิ์ยังให้คนรับใช้ปลอมตัวมารอซื้อทุกครั้งที่ตอนใหม่ออกวางจำหน่าย แต่ทุกคนจะได้ซื้อผ่านนายหน้าเท่านั้น จึงไม่มีผู้ใดรู้เลยว่านักเขียนตัวจริงเป็นใคร
ทว่าบัดนี้เขากลายเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่ถูกพรากกระดูกเซียนออกไป แม้แต่ปฐมปราณก็ถูกทำลายสิ้น สมองที่เปี่ยมจินตนาการมีแต่ความมืดมิด ความสดใสของชีวิตจางหายและเขาไม่สามารถจรดปลายพู่กันรังสรรค์ผลงานตอนใหม่ๆ ได้อีกต่อไป ต้นฉบับที่ทำค้างไว้และสามารถขายเอามาประทังชีวิตได้เหลือเพียงตอนที่มังกรทองฉู่หลานนัดประลองค่ายกลเมฆาโรยกับจอมมารชิงเยี่ยนเท่านั้น
เรื่องนี้มีนายหน้าเป็นผู้จัดการนำออกวางขายทีละตอน ทีละตอน จนกว่าจะถึงตอนค่ายกลเมฆาโรยก็น่าจะกินเวลา 2-3 ปีได้เลย
ส่วนจางเหวินถูกความสิ้นหวังครอบงำจิตใจโดยสมบูรณ์
ในห้วงเวลาแห่งความมืดมิดของชีวิต จางเหวินคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา สุดท้ายคงเพราะไร้แสงสว่างให้ไขว่คว้า ทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดได้ว่าหากเส้นทางการบำเพ็ญของตนสูญสลายไปแล้วการมีอัจฉริยะที่ทรงอำนาจเช่นฉู่หลานมาช่วยเหลือคงจะดีไม่น้อย
แล้วถ้ารวมพลังของจอมมารชิงเยี่ยนด้วยล่ะ?
ด้วยจินตนาการเพ้อฝันนั้น เขาได้มีความคิดที่จะอัญเชิญตัวละครเอกทั้งสองจากนิยาย ‘มังกรสวรรค์พิชิตจอมมาร’ มายังต้าโจวเพื่อช่วยเขาแก้แค้นบุคคลที่ทรยศหักหลังให้สาสม
จางเหวินเดินโซซัดโซเซไปนั่งลงที่โต๊ะทำงานตัวหรู คงไม่มีใครสามารถจินตนาการได้เลยว่าในอีกสามปีต่อมามันจะถูกขายเพื่อประทังชีวิตและกลายเป็นเพียงโต๊ะไม้ผุพังที่ฉู่หลานกำลังนั่งอยู่
เขาเปิดหนังสือนิยาย ‘มังกรสวรรค์พิชิตจอมมาร’ เล่มต้นฉบับ พลิกเปิดไปถึงตอนล่าสุดที่มังกรทองฉู่หลานนัดประลองค่ายกลเมฆาโรยกับจอมมารชิงเยี่ยนซึ่งยังมีหน้ากระดาษเปล่าถัดจากนั้นอีกหนาเตอะ ทว่าเขาไม่มีอารมณ์จะเขียนเรื่องราวต่อจากนั้นอีกเลย
มือที่หยิบพู่กันสั่นเทา เขาจุ่มปลายพู่กันลงในจานฝนหมึกคุณภาพต่ำ
เหอะ อดีตจิ้นซื่อ (บัณฑิตชั้นสูง สอบหน้าพระที่นั่งผ่าน) เคยใช้จานฝนหมึกคุณภาพต่ำเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด
จากนั้นเขาเริ่มเขียนด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ ‘ข้าจางเหวิน ผู้เขียนนิยายเรื่องมังกรสวรรค์พิชิตจอมมารขออัญเชิญจักรพรรดิมังกรฉู่หลานและจอมมารชิงเยี่ยนจากโลกแห่งนิยายมายังโลกความเป็นจริงนี้’
เมื่อจิตคิดฟุ้งซ่านไปเช่นนี้แล้ว เมื่อจรดปลายพู่กันถึงคำสุดท้ายแล้วยังเงียบกริบ ไม่เกิดกระแสลมแรง ไม่มีแสงสว่างวาบหรือประตูมิติใดๆ ปรากฏขึ้นมา เขาจึงคิดว่าพลังแห่งการอธิษฐานยังไม่ศักดิ์สิทธิ์พอ
ถ้าเป็นแรงอธิษฐานเลือดล่ะ?
โดยไม่เสียเวลาไตร่ตรอง จางเหวินหยิบมีดกริชขึ้นมากรีดลงที่ปลายนิ้วชี้และหลั่งเลือดสามหยดลงไปบนตัวอักษรเหล่านั้น
นับจากคืนนั้นก็กินเวลายาวนานกว่าสามปีแล้ว จางเหวินที่เฝ้ารอแล้วเฝ้ารอเล่าก็ไม่สมหวังจึงเลิกหวังและจมอยู่กับชีวิตอัปยศอดสูไปวันๆ เท่านั้น
ใครจะรู้ว่าวันนั้นได้มาถึงจริงๆ
วันที่คำอธิษฐานของเขาเป็นจริง วันที่มังกรทองฉู่หลานผู้ทรงพลังในขอบเขตมหาเมธีขั้นปฐมกับจอมมารชิงเยี่ยนผู้มากเล่ห์ในขอบเขตเมธีขั้นสมบูรณ์มายืนอยู่ตรงเบื้องหน้าของเขาจริงๆ
“ฮึ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ทันใดนั้นจางเหวินระเบิดเสียงหัวเราะที่แหบแห้งและไร้เรี่ยวแรงออกมาด้วยความสะใจ
บัดนี้เขามีปรมาจารย์มหาเมธีและเมธีผู้แข็งแกร่งเป็นพวกแล้วยังต้องกลัวว่าจะแก้แค้นไม่ได้อีกหรือ
“ตามที่เล่ามาคือเจ้าเรียกพวกข้ามาช่วยแก้แค้น?” ชิงเยี่ยนไม่ได้กังวลหรือตื่นตกใจกับประเด็นแก้แค้นจนเกินเหตุ เพราะลำพังแค่ว่าตัวเองกลายเป็นตัวละครในนิยายเรื่องหนึ่งเท่านั้นมันน่าสะพรึงเกินพอแล้ว
“ถูกต้อง หากแก้แค้นให้ข้าสำเร็จ ข้าสัญญาว่าจะส่งพวกเจ้ากลับไป”
“ส่งกลับอย่างไร?” ชิงเยี่ยนเดินออกจากข้างกายของฉู่หลานแล้วมาเดินวนรอบจางเหวินพร้อมสายตาจับผิด “เจ้าต้องใช้เวลากว่าสามปีในการอัญเชิญพวกข้ามาที่นี่ แล้วรับประกันได้อย่างไรว่าพวกข้าจะได้กลับไปจริงๆ”
เหตุผลเต็มเปี่ยมและแน่นอนว่าจางเหวินไม่ได้นึกถึงประเด็นนี้เช่นกัน
แต่ในเมื่ออัญเชิญมาได้ ต้องส่งกลับไปได้!
“เหอะ จางเหวิน เจ้าน่ะถูกความแค้นบังตา ถูกความอัปยศกลืนกินสมอง ตอนนี้ยังไม่มีสิ่งใดรับประกันด้วยซ้ำว่าการที่พวกข้ามาโผล่ที่นี่เป็นเพราะคำอัญเชิญโลหิตของเจ้า” ชิงเยี่ยนแค่นเสียงประชด โผล่มาอีกโลกหนึ่งก็โผล่สิ จอมมารชิงเยี่ยนต้องกลัวจนรับปากช่วยแก้แค้นให้ใครแบบส่งเดชด้วยหรือ
“ตะ แต่ถ้าพวกเจ้าไม่ช่วย ข้า ข้าจะ...”
“จะเขียนให้พวกข้าตายหรือ” คราวนี้เป็นฉู่หลานที่พูดขึ้นมาด้วยเสียงเยือกเย็น “เขียนสิ ถ้าคิดว่าเขียนทัน” เขาเอ่ยพลางยกมือขึ้น
“อย่านะ อย่าฆ่าข้า!” ในพริบตาเดียวจางเหวินรีบยกแขนขึ้นป้องกันใบหน้าโดยสัญชาตญาณ เพราะเขารู้ดีว่าเพียงมหาเมธีโบกมือครั้งเดียวก็พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้แล้ว
‘ชายผู้นี้ยังไม่รู้ว่าพวกข้าสูญสิ้นพลังบำเพ็ญไปแล้ว’
ฉู่หลานตระหนักถึงความจริงได้อีกข้อและเขามั่นใจว่าจางเหวินไม่หลงเหลือแม้กระทั่งปฐมปราณจริงๆ เขาลดฝ่ามือลงแล้วแสร้งส่ายหน้าว่าไม่อยากถือสามดตัวจ้อย
ตุบ!
ทันใดนั้นจางเหวินที่รอดพ้นจากความตายมาแบบหวุดหวิดก็คุกเข่าลงกับพื้นด้วยความสิ้นหวัง เขาโขกศีรษะคำนับพร้อมกับหลั่งน้ำตาออกมา
“ฮือ...ได้โปรดเถอะ โปรดช่วยแก้แค้นให้ข้าด้วย ฮือ...”
ตุบ ตุบ ตุบ!
เสียงโขกศีรษะยังดังต่อเนื่องคลอไปกับเสียงสะอื้นไห้ของชายคนหนึ่งที่หมดสิ้นทุกสิ่งในชีวิตแม้กระทั่งศักดิ์ศรี
“ได้โปรดช่วยข้าแก้แค้น ขอเพียงแก้แค้นได้ ข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไป แต่ถ้าส่งกลับไม่สำเร็จข้ายินดีเอาชีวิตชดใช้ ฮึก ฮือ...”
ตุบ ตุบ ตุบ!
“ขอเพียง ขอเพียงพวกเจ้าฆ่ามันให้ข้าก็พอ!”
หน้าผากหมองคล้ำเริ่มปริแตกจนมีเลือดซึมติดพื้น แต่เหมือนว่าจางเหวินไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกแล้ว เกรงว่าเขาจะด้านชาไปทั้งร่างกายและจิตใจ แม้แต่ชีวิตก็ไม่นึกเสียดาย
“เอาล่ะ หยุดทำร้ายตัวเองได้แล้ว ลุกขึ้นมาคุยกันดีๆ ก่อน” ฉู่หลานทอดถอนใจพลางเอ่ย เขาก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่อาจเป็นลักษณะนิสัยของเจ้าแผ่นดินที่อัดแน่นอยู่ในสายเลือดทุกอณูจึงทำให้เขาทนมองราษฎรทำร้ายตัวเองและอ้อนวอนขอความช่วยเหลือทั้งน้ำตาไม่ไหว อย่างน้อยเขาอยากลองสอบถามความจริงให้กระจ่างเสียก่อน
ผิดกับจอมมารชิงเยี่ยนที่ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะอยู่หรือตาย เพราะเขารู้สึกว่าในเมื่อจางเหวินไม่มีพลังบำเพ็ญไว้ให้พวกเขาได้พึ่งพิงในโลกที่แปลกประหลาดนี้ ทั้งยังดูอ่อนแอเป็นภาระอีกต่างหาก เขาจึงไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะช่วยให้กลับไปโลกเดิมได้หรือเปล่าและการเอาตัวรอดในโลกใบนี้เองก็คงไม่ยากนัก
“มัวแต่ร้องไห้อ่อนแอน่ารำคาญ เจ้าบอกจะให้พวกข้าช่วยแก้แค้น บอกให้ไปฆ่าคน เช่นนั้นบอกหน่อยสิว่าศัตรูของเจ้าเป็นใคร” ชิงเยี่ยนกอดอกพร้อมใช้สายตาจิกกัดจางเหวินจนพรุน
“คน...คนผู้นั้น...คือ...” คราวนี้จางเหวินหยุดสะอื้นและหยุดโขกศีรษะ เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นและหันไปมองยังทิศทางหนึ่งด้วยสายตาที่มีไอสังหารชัดเจน ท่าทีอ่อนแอเมื่อครู่กลับดูแข็งกร้าวขึ้นทันตา
“คนผู้นั้นคือจักรพรรดิแห่งต้าโจว!”