ตอนที่ 2 รอยแยกลึกลับ
ตอนที่ 2 รอยแยกลึกลับ
คลื่นเสียงคำรามนั้นทำให้กองทัพมารนับแสนล้มระเนระนาดไม่เป็นท่า
“ตายแล้ว ตายแน่แล้วงานนี้” เสียงทหารมารหลายนายอุทานออกมาด้วยความหวาดกลัว
“ยังไม่ตายโว้ย” นายทหารมารอีกส่วนพยายามยันกายลุกขึ้นพลางตวัดสายตามองเพื่อนร่วมเผ่าที่ปากเสีย
“หนีเร็ว ต้องหนีแล้วงานนี้ ขืนอยู่ต่อไม่รู้จะโดนลูกหลงอย่างไรบ้าง”
“ไม่ได้ ไม่ได้ พวกเจ้ารีบเข้าแถวตามเดิม ลืมที่ท่านจอมมารสั่งไว้แล้วหรือ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต้องยืนหยัดแสดงความสง่า...”
ตูม!
หินขนาดยักษ์กลิ้งลงจากหน้าผา
“อ๊าก! ใครจะอยู่ก็อยู่ไปเถอะ ข้าไม่เอาด้วยแล้ว”
“ท่านจอมมารเอ๋ยท่านจอมมาร รู้ทั้งรู้ว่าพวกเราฝีมือต่ำต้อยก็ยังจะเรียกมายืนเสริมความน่าเกรงขามให้อีก คราวนี้ได้ตายกันหมดไหมเล่า”
เกิดความโกลาหลขนาดใหญ่ขึ้นในกองทัพเผ่ามาร มีทั้งคนที่ตัดพ้อท่านจอมมารพลางวิ่งนี้และแม่ทัพนายกองที่พยายามปลุกขวัญกำลังใจของผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ไม่ผ่อนฝีเท้าที่วิ่งหนีเลย
หาเรื่อง นับว่าหาเรื่องโดยแท้
ทางด้านค่ายกลเมฆาโรย ชิงเยี่ยนไม่สะท้านต่อมังกรสวรรค์ เขาชูมือขึ้นและกำแพงหมอกขยายตัวออกเพื่อกลืนกินมังกรทองเข้าไปในความมืด
อืม ค่ายกลนี้หากใช้กับเผ่ามังกรที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตมหาเมธีก็สามารถกำราบได้แน่นอน
ฉู่หลานประเมินในใจ ทว่าเขายังไม่ได้แสดงพลังแท้จริงที่สามารถทำลายค่ายกลเมฆาโรยออกมา เขาเพียงแต่ใช้เวลาอยู่ในค่ายกลนั้นจนกว่าชิงเยี่ยนจะเหนื่อยไปเอง
นี่หรือความพยายามหลายร้อยปีของเจ้า?
ไร้ประโยชน์สิ้นดี
จากตะวันสู่จันทรา จากเดิมที่ท้องฟ้ามืดมิดเพราะค่ายกลเมฆาโรยกลายเป็นความมืดจากกาลเวลาที่ผันผ่าน ฉู่หลานในร่างมังกรทองยอมรับว่าพลังของค่ายกลอาจทำให้เขาไม่สบายตัวไปบ้างเมื่อติดอยู่เป็นเวลานาน แต่สำหรับชิงเยี่ยนถือว่าพอใจ
ถ้าทำให้ฉู่หลานไม่สบายตัวได้ก็ถือว่าได้ผลดังคาด เพราะเขารู้ฝีมือตัวเองดี แต่เขาก็ตระหนักได้ถึงสัจธรรมที่ว่าเรื่องราวเปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน
ครานี้เขารู้แล้วว่าควรเสริมควรลดตรงจุดใดของค่ายกลเมฆาโรย ขอเวลาอีกสักร้อยหรือสองร้อยปี ไม่แน่ว่าชัยชนะอาจตกเป็นของจอมมารชิงเยี่ยนและต้าหลงต้องยอมศิโรราบต่อเผ่ามารแดนเหนือก็ได้
มุมปากอิ่มกระตุกยิ้มพอใจ มือบางปัดผ่านอีกเพียงครั้ง เสียงท่องคาถามารโบราณเบาลง หมอกทมิฬเริ่มเบาบางลงทีละน้อย ขณะที่ฉู่หลานกลับคืนร่างมนุษย์ดังเดิมเพราะเขาไม่เคยมีความตั้งใจจะเอาชีวิตอดีตสหายร่วมสำนักคนนี้เช่นกัน
เปรี้ยง!
ขณะที่สถานการณ์กำลังคลี่คลายลง ทันใดนั้นก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น สายฟ้าสีทองฟาดลงมาจากฟากฟ้าที่มืดมิดเสียดแทงทะลุหินผาระหว่างฉู่หลานและชิงเยี่ยน ตามมาด้วยพายุหมุนขนาดใหญ่เข้าโอบล้อมคนทั้งสองเอาไว้
“มารน้อย เจ้าใช้เล่ห์กลใดอีก” ฉู่หลานมีลางสังหรณ์ไม่ดีในใจเป็นครั้งแรก เนื่องจากพลังนี้ดูแปลกแยกกว่าที่โลกแห่งการบำเพ็ญเคยมีมา
ราวกับไม่ได้เกิดจากโลกนี้
“ใช้เล่ห์กลกับผีน่ะสิ ข้าก็ยืนเฉยๆ เนี่ย” ชิงเยี่ยนกลายเป็นฝ่ายหวาดระแวงขึ้นมาด้วยซ้ำ เพราะการที่ฉู่หลานยอมอ่อนข้อให้เขาเสมอไม่ได้รับประกันว่ามังกรเฒ่าจะยึดมั่นในเส้นทางเดิมตลอดไป
“ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ทั้ง...”
ฟึบ!
ฉู่หลานยังไม่ทันได้แสดงบทบาทวีรบุรุษช่วยโฉมงามด้วยซ้ำ เพราะเขากับชิงเยี่ยนถูกรอยแยกลึกลับกลางพายุหมุนดูดเข้าหาทันที
“หรือจะเป็นพวกกบฏเผ่ามังกรของเจ้า!” ชิงเยี่ยนเรียกใช้คาถาเร้นเมฆาซึ่งเป็นคาถาหลบหนีขั้นสูงของเผ่ามาร แต่เหมือนว่าระยะทางที่ควรจะห่างจากรอยแยกลึกลับนั้นไม่ลดลงเลย
มีแต่กระชั้นขึ้น
“เป็นไปไม่ได้ พลังนี้อยู่นอกเหนือการรับรู้ของขอบเขตมหาเมธีด้วยซ้ำ” ฉู่หลานพยายามตั้งสติขณะที่ร่างถูกดูดเข้าไปเรื่อยๆ เขาพยายามกลายร่างเป็นมังกรทองแต่ไม่สามารถทำได้เลย
จักรพรรดิมังกรทองผู้องอาจเคยต้องอับอายเช่นนี้หรือ
“หรือจะเป็นปรมาจารย์มหาอมตะในตำนาน” ชิงเยี่ยนกัดฟันพลางรวบรวมพลังบำเพ็ญในขอบเขตเมธีให้เป็นหนึ่งเพื่อเตรียมระเบิดรอยแยกลึกลับนั้น
“เยี่ยนเอ๋อร์ อย่าวู่วาม!” ฉู่หลานรู้ดีว่าชิงเยี่ยนคิดทำสิ่งใด เขาขมวดคิ้วพร้อมตะโกนห้ามด้วยใจที่เป็นกังวล เพราะถ้าเหตุการณ์นี้เป็นฝีมือของปรมาจารย์มหาอมตะสักคนหนึ่งจริงๆ ทั้งเขาและชิงเยี่ยนร่วมมือกันย่อมไม่สามารถต่อกรได้
แต่มันไม่ใช่!
พลังนี้แปลกแยกจากโลกเกินไป
“ปล่อยเป็นหน้าที่ข้าเอง” ฉู่หลานใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายดาราในการเข้าประชิดตัวชิงเยี่ยนได้สำเร็จ จากนั้นเขารวบรวมพลังเวทที่ทรงอานุภาพเหนือใครในต้าหลงมาที่ฝ่ามือแล้วซัดใส่รอยแยกลึกลับนั้นทันที
ตูม!
เมื่อลำแสงรูปมังกรทองโผทะยานออกจากฝ่ามือของเขาและปะทะกับทางเข้ารอยแยกลึกลับนั้น มันจึงเกิดแรงระเบิดที่มีพลังทำลายล้างมหาศาล
ค่ายกลเมฆาโรยสูญสิ้นทันตาและเงาร่างของบุคคลทั้งสองที่เดิมทีต่อต้านแรงดูดของรอยแยกลึกลับก็หายวับไปจากสายตาเช่นกัน
“ตาเฒ่าฉู่ ปล่อยเป็นหน้าที่เจ้ากับผีน่ะสิ!”
ชิงเยี่ยนก่นด่าขณะที่ร่างของเขาและฉู่หลานลอยเคว้งหมุนวนจนอยากอาเจียนอยู่ในรอยแยกลึกลับนั้น ราวกับว่าการกระทำของฉู่หลานเป็นการเร่งให้พวกตนพลาดท่าเสียทีมากกว่า
……
ท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรีกาล ในบ้านหลังเล็กๆ ซอมซ่อบังเกิดเสียงกระดาษกรอบแกรบขึ้นโดยกะทันหัน เกิดกระแสลมที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้พัดหนังสือเล่มหนึ่งบนโต๊ะราวกับมีมนตร์สะกดก็ไม่ปาน
ในพริบตา แสงสีทองสว่างวาบพุ่งออกจากหน้ากระดาษและร่างสองร่างปรากฏตัวขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
ร่างแรกคือชายหนุ่มรูปงามในชุดคลุมสลักลายมังกรทองอันวิจิตร ส่วนอีกร่างคือชายร่างบอบบางในอาภรณ์สีแดงดูซุกซน
ตุบ!
ตุบ!
“อูย...” ชิงเยี่ยนยกมือลูบบั้นท้ายที่กระแทกกับพื้นโดยแรง ขณะเดียวกันศีรษะก็รู้สึกมึนงงไปหมด นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
“เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง โอย...” ฉู่หลานที่มีสภาพไม่ต่างกันนักรีบลุกขึ้นไปดูอาการจอมมารชิงเยี่ยนทันที แต่แล้วเขาต้องพบว่าบั้นท้ายของตนเจ็บปวดไม่เบา
เจ็บหรือ?
ทว่านับตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญจนบรรลุขอบเขตสระวิญญาณ ร่างกายของพวกเขาจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เกิดจากการกระแทกหรือบาดแผลเพียงเล็กๆ น้อยๆ อีกเลย
กว่าสองร้อยปีแล้วที่ทั้งสองไม่ได้สัมผัสกับความเจ็บปวดเช่นนี้ คงมีก็เพียงตอนที่พวกเขายังเป็นชาวยุทธธรรมดาที่ไม่มีพลังบำเพ็ญเท่านั้น
ขวับ!
จักรพรรดิมังกรฉู่หลานและจอมมารชิงเยี่ยนหันมองหน้ากันด้วยแววตาตกตะลึง
หรือว่า...
เพล้ง!
ขณะที่กำลังนึกถึงความเป็นไปได้ประการหนึ่ง บังเกิดเสียงกระเบี้องตกกระทบพื้นและมันดึงดูดให้คนทั้งสองหันมามองอีกด้านโดยพร้อมเพรียง
ภาพที่เห็นตรงหน้าคือบุรุษในชุดฮั่นฝูซอมซ่อคนหนึ่งที่กำลังจ้องมองพวกเขาด้วยดวงตาเบิกโพลง ริมฝีปากไล่ลงไปจนถึงมือและขาสั่นระริกแบบสามัคคี
“ผะ โผล่มาจริงหรือเนี่ย!”
นี่คือคำทักทายแรกของบุรุษแปลกหน้าคนนี้
“เจ้าพูดเหมือนรู้ว่าพวกเราต้องโผล่มาที่นี่” ชิงเยี่ยนลุกพรวดแม้เจ็บบั้นท้าย เพราะคำพูดของชายแปลกหน้าคนนี้บ่งบอกว่ารู้สาเหตุที่เขาและฉู่หลานต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
“ขะ ข้าไม่รู้ ไม่สิ ข้ารู้ ไม่ไม่ ข้า โธ่เอ๊ย!” ชายในชุดซอมซ่อยกมือกุมศีรษะด้วยความอับจนหนทาง เขาตกตะลึงก็จริง แต่ที่เขาไม่กลัวแล้วรีบวิ่งหนีออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือเพราะเขารู้จักผู้บุกรุกทั้งสองคนนี้ดีพอ
ถูกต้อง เขาสร้างมากับมือย่อมต้องจำได้ดี
ลวดลายของชุดคลุมมังกรทองอันวิจิตรนั้น อาภรณ์ของจอมมารที่ดูคล่องแคล่วแต่ก็เย้ายวน เขาจรดปลายพู่กันวาดหมึกสีดำไว้ประกอบนิยายเรื่อง ‘มังกรสวรรค์พิชิตจอมมาร’ ด้วยตัวเอง เพียงแต่ไม่คิดว่าเมื่ออาภรณ์เหล่านี้มาอยู่บนตัวคนจริงๆ แล้วมันจะงดงามหรูหราถึงเพียงนี้
“มีพิรุธนะเจ้า” ชิงเยี่ยนหรี่ตามอง เพียงเท่านั้นก็ทำให้ชายชุดซอมซ่อผวาจนเซถอยหลัง
“อย่า อย่าฆ่าข้าเลย” เขายกมือปัดป้องด้วยความสิ้นหวัง เพราะเค้ารู้ดีว่าสองตัวละครจากนิยายนี้มีพลังบำเพ็ญแข็งแกร่งเพียงใด
และนี่คือเหตุผลที่เขาอัญเชิญทั้งสองมายังต้าโจวแห่งนี้ เพียงแต่ไม่คิดว่าคำอัญเชิญจะสัมฤทธิ์ผล
‘คนผู้นี้ไร้พลังบำเพ็ญเช่นกัน’ ฉู่หลานคิดในใจ
กว่าที่เขาจะบรรลุขอบเขตมหาเมธีได้ต้องผ่านความยากลำบากตั้งเท่าไร เริ่มตั้งแต่การเป็นชาวยุทธธรรมดาที่มีแค่พลังลมปราณและวิชาตัวเบา หากอีกฝ่ายมีพลังบำเพ็ญแม้เพียงขอบเขตก่อกำเนิดขั้นปฐม พลังบำเพ็ญจะต้องกดข่มจนพวกเขาที่เป็นชาวยุทธรับรู้ได้
หรือว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่โลกแห่งการบำเพ็ญ?
หรืออาจไม่ได้อยู่ในต้าหลงด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นฉู่หลานลองขับเคลื่อนพลังลมปราณทั้งหมดในร่างกายมาไว้ที่จุดตันเถียนจึงได้ค้นพบว่านอกจากพลังบำเพ็ญที่สูญหายไปแล้ว พลังลมปราณของเขายังอยู่ครบถ้วน เมื่อนึกย้อนกลับไปครานั้นเขาเองก็ขึ้นชื่อว่าเป็นปรมาจารย์แห่งวิชาสายกระบี่และเมื่อไตร่ตรองว่าตัวเขายังมีพลังลมปราณครบถ้วน แสดงว่าชิงเยี่ยนก็ไม่ต่างกัน
“เอาล่ะ เจิ้นคิดว่าเรามานั่งคุยกันดีๆ เถอะ” เขายันกายลุกขึ้นจากพื้น แม้ยังรู้สึกเจ็บบั้นท้าย แต่เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไร้พลังบำเพ็ญเหมือนกัน เขาจึงวางมาดของจักรพรรดิมังกรทองแห่งต้าหลง สะบัดแขนเสื้อด้วยท่วงท่าเย่อหยิ่งและนั่งลงที่เก้าอี้ไม้เก่าๆ ข้างกาย
“ชิ ล้มก้นจ้ำเบ้าขนาดนั้นยังคิดว่าตัวเองเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อยู่หรือ” ชิงเยี่ยนแค่นเสียงประชดแต่ก็ยอมทำตามฉู่หลานโดยการย้ายตัวเองมานั่งเก้า...เอ่อ ห้องนี้นอกจากซอมซ่อ เล็ก แคบแล้วยังมีโต๊ะกับเก้าอี้แค่อย่างละหนึ่งตัว! ในเมื่อตาเฒ่าฉู่แย่งนั่งไปแล้วเขาจะยืนด้วยความสง่างามแทนแล้วกัน “เอาล่ะ ฉู่หลาน เจ้าอยากซักไซ้เรื่องใดจากคนผู้นี้ก็ตามสบายเลย”
ถึงแม้ชิงเยี่ยนจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับฉู่หลานมาโดยตลอด แต่เขายังมีสติและตระหนักได้ดีว่าหากมีฉู่หลานอยู่ด้วย ทุกปัญหาย่อมมีทางออกและเขาวางใจให้ฉู่หลานทำหน้าที่ได้ตามสมควร
“เจ้าน่ะจงอธิบายมาให้กระจ่าง” ฉู่หลานหรี่นัยน์ตามังกรคมกริบใส่เจ้าบ้านพลางเอ่ย “เจ้าเป็นใคร ชื่ออะไรและเรื่องราวบ้าๆ นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”
คำถามสั้นๆ แต่ครอบคลุมภายใต้น้ำเสียงทุ้มลึกของจักรพรรดิมังกรทองทำให้ชายในชุดซอมซ่อเผลอกลืนน้ำลายลงคอ กอปรกับสายตาที่เฉียบคมนั้นราวกับจะบอกว่าหากเขากล้าเล่นลิ้น จุดจบของเขาคือความตายเท่านั้น เขารู้สึกขนลุกไปทั้งกายพลางยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผากและเริ่มอธิบายเรื่องราวให้กระจ่าง
เพราะเขาเองก็ใจร้อนเต็มทน ในเมื่ออัญเชิญมาได้สำเร็จ เขาก็อยากบรรลุจุดมุ่งหมายที่เฝ้ารอมานานเสียที
“ข้าแซ่จางนามเหวิน ข้าเป็นนักเขียนนิยายเรื่องมังกรสวรรค์พิชิตจอมมาร...”