ตอนที่แล้วตอนที่ 9 เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 11 หนีพ้นวันพระ แต่หนีไม่พ้นวันเพ็ญ

ตอนที่ 10 ตีสุนัขต้องดูเจ้าของ


ตอนที่ 10 ตีสุนัขต้องดูเจ้าของ

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของผู้อาวุโสตระกูลฉู่ หลินซื่อไม่ตื่นตระหนกและไม่นึกหันหลังกลับ แม้นางไม่รู้ว่าฉู่หลานฟื้นคืนชีพได้อย่างไร แต่สัญชาตญาณของความเป็นแม่เมื่อพบหนทางช่วยลูกชายและพบโอกาสดีๆ ที่บุคคลชนชั้นสูงลดตัวลงมาช่วยเหลือเช่นนี้ นางจะไม่ปล่อยให้มันสูญเปล่าเด็ดขาด

“อาสะใภ้หลิน ท่านพูดเหลวไหลอันใด!” ฉู่อี้เชินที่สัมผัสได้ถึงคราวซวยย่อมไม่มีทางนิ่งเฉยให้อีกฝ่ายใส่ร้ายได้

เพียะ!

“หุบปาก! ใครสั่งให้เจ้าพูดแทรก” หลี่ไจ้ใช้ฝ่ามือเวทตบหน้าฉู่อี้เชินจนอีกฝ่ายนึกโกรธแต่ไม่กล้ามองด้วยความแค้นด้วยซ้ำ “เชิญหลินฟูเหรินพูดต่อ”

เมื่อทางสะดวกเช่นนี้ หลินซื่อจึงเริ่มประณามความชั่วช้าของคนตระกูลฉู่ทันที

“นึกถึงปีนั้น ตอนที่ข้าคลอดหลานเอ๋อร์ หมอดูประจำตระกูลหลินทำนายว่าเมื่อหลานเอ๋อร์อายุครบยี่สิบปี ชะตาชีวิตของเขาจะเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือ จากตกต่ำสู่รุ่งโรจน์และเรื่องนี้ไม่มีผู้อาวุโสคนใดในตระกูลฉู่ไม่ทราบ”

“โอ้ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” หลี่ไจ้ฟังด้วยความสนใจ

“วันนี้หลานเอ๋อร์อายุครบยี่สิบปี เราสองสามีภรรยาจึงตั้งใจจัดพิธีไว้อาลัยแก้เคล็ดตามที่ได้ฟังเมื่อยี่สิบปีก่อน แต่ไม่นึกเลยว่าคุณชายอี้เชินจะถูกความริษยาบดบังศีลธรรมและตั้งใจทำร้ายหลานเอ๋อร์ถึงตาย!”

“บ้าไปแล้ว! อาสะใภ้หลินเสียสติถึงขั้นกล่าวหาข้าพล่อยๆ หากข้าทำร้ายฉู่หลานจริงแล้วมันจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร” คราวนี้ฉู่อี้เชินรู้สึกดีใจที่ฉู่หลานยังไม่ตายจริงๆ เพราะอย่างน้อยก็สามารถใช้เป็นข้ออ้างเพื่อเอาตัวรอดได้

“หากพี่ฉู่ไม่ได้รับยาแก้สรรพโรคของจวนจอมทัพซ้าย พวกเจ้าคิดหรือว่าเขาจะยังมายืนอยู่ตรงนี้ได้” ชิงเยี่ยนยกมือขึ้นเท้าสะเอวพลางตอกกลับฉู่อี้เชินโดยยกอำนาจของจวนจอมทัพซ้ายขึ้นมาอ้าง ขึ้นชื่อว่ายาแก้สรรพโรคของจวนจอมทัพซ้ายจะมีสรรพคุณธรรมดาได้อย่างไร ทั้งยังเป็นการยืนยันว่าก่อนหน้านี้ฉู่หลานถูกทำร้ายเจียนตายจริงๆ ทว่าเขาได้รับยาแก้สรรพโรคที่ชิงเยี่ยนพกติดตัวไว้ใช้ยามฉุกเฉินจึงรอดพ้นจากความตายและไป ‘พลอดรัก’ กันที่บ้านของจางเหวินได้

“ผ่านมายี่สิบปีที่หลานเอ๋อร์ทนแบกรับชีวิตขื่นขม ในที่สุดเขาก็มีโอกาสได้พบสหายที่ดีเช่นคุณชายชิง ชีวิตของเขานับจากนี้อาจเป็นไปตามคำทำนายได้ แต่ไม่นึกเลยว่าคนตระกูลฉู่ไม่อยากเห็นเขาได้ดีจนถึงขั้นสนับสนุนให้คุณชายอี้เชินมาทำลายพิธีไว้อาลัยแก้เคล็ดเช่นนี้ ฮือ....” หลินซื่อทำการแสดงเพื่อเสริมคำพูดของชิงเยี่ยนได้โดยสมบูรณ์

“หมิงถิง เจ้าสั่งสอนภรรยาให้พูดเหลวไหลได้ขนาดนี้เชียวหรือ!” คราวนี้เป็นฉู่จิ่นอี้หรือท่านปู่ของฉู่หลานที่พูดขึ้นมาด้วยความโกรธ ที่ผ่านมาเขาละเลยบุตรชายคนนี้มาโดยตลอดแต่ก็ไม่คิดว่าลูกของสาวใช้คนหนึ่งจะปีกกล้าขาแข็งได้ขนาดนี้

“เรียนท่านพ่อ การพูดความจริงไม่จำเป็นต้องสอนขอรับ” ฉู่หมิงถิงยกมือทำความเคารพไปทางบิดาและเอ่ยด้วยความไม่เกรงกลัวเป็นครั้งแรกเช่นกัน เขาเพิ่งผ่านการสูญเสียลูกชายและได้ลูกชายกลับคืนมาหมาดๆ เขาจึงตระหนักได้แล้วว่าการยอมจำนวนไม่ได้ประโยชน์อันใด

และเขาไม่ขอปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม

“อกตัญญู เจ้า เจ้ามันเลี้ยงไม่เชื่อง พวกเจ้าสามคนล้วนแต่อกตัญญู!” ฉู่จิ่งถิงรู้สึกเสียหน้าสุดๆ จึงทำให้เขายิ่งบันดาลโทสะและพร้อมซัดพลังบำเพ็ญในขอบเขตกึ่งเมธีใส่ลูกชายนอกคอกคนนี้

ปัง!

“เฮ้อ!” ท่ามกลางความวุ่นวายภายในตระกูล หลี่ไจ้ยกมือตบโต๊ะน้ำชาจนหักเป็นสองท่อนไม่ต่างจากที่ ‘คนผู้นั้น’ กระทำที่บ้านของจางเหวิน พลังในขอบเขตเมธีแผ่ออกมากดดันทั่วห้องโถงคับแคบ “คนตระกูลฉู่พูดจาไม่รู้เรื่องจริงๆ เอาล่ะ คุณชายชิง ข้าจำเป็นต้องกลับวังแล้ว ท่านรีบพูดมาเถอะว่าจะให้จัดการกับคนที่รังแกไอ้หนูอย่างไร”

“ในเมื่อเขากล้าทำลายวันดีๆ ของพี่ฉู่ เช่นนั้นก็ทำลายชีวิตดีๆ ของเขาซะ” ชิงเยี่ยนตัดสินใจง่ายมากเพราะเขาได้เห็นแล้วว่าคนผู้นี้เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่ ‘รกหูรกตา’ ไปวันๆ เท่านั้น

“ชะ ช้าก่อนคุณชายชิง ในเมื่อฉู่หลานไม่ได้เป็นอันตรายด้วยซ้ำแล้วจะตัดสินว่าอี้เชินทำเหมือนที่ถูกกล่าวหาได้อย่างไร” ฉู่หมิงเทียนรีบปกป้องลูกชายคนรองด้วยสัญชาตญาณของความเป็นพ่อ

“พวกเจ้าก็พูดง่ายสิ พวกเจ้าไม่ได้เห็นสภาพของพี่ฉู่ที่บาดเจ็บสาหัสเหมือนข้านี่” ชิงเยี่ยนแค่นเสียงเย้ยหยัน ถึงอย่างไรวันนี้เขาต้องสร้างความน่ายำเกรงผ่านทางหลี่ไจ้ให้ได้ เพื่อที่ว่าชีวิตในดินแดนที่ไม่คุ้นเคยนับจากนี้ของเขาและฉู่หลานจะไม่ลำบากจนเกินไป “หรือต่อให้เดรัจฉานนี้ไม่ได้ทำผิด ถ้าข้าอยากจัดการแล้วผู้ใดจะโต้แย้งได้?”

ความเงียบที่ตามมาคือคำตอบเพราะไม่มีใครกล้าโต้แย้งคนของจวนจอมทัพซ้ายผิงซี

“หลี่กงกง ท่านช่วยจัดการทีเถอะ ข้าไม่อยากรบกวนท่านพ่อจริงๆ” ชิงเยี่ยนแสร้งทำเป็นทอดถอนใจและให้เกียรติหลี่ไจ้เป็นผู้ใหญ่จัดการแทนตน เช่นนี้คนตระกูลฉู่โกรธแค้นก็ทำอะไรไม่ได้

“อืม เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว ไม่อาจเก็บฉู่อี้เชินคนนี้ให้เป็นภัยต่ออารมณ์ของคุณชายชิงอีก” หลี่ไจ้ไม่ต้องเสียเวลาคิดและฐานะของเขายิ่งใหญ่ปานนี้จึงไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผล เขายกมือขึ้นแล้วโบกเพียงครั้งเดียว องครักษ์พยัคฆ์ดำที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ซัดลำแสงสีดำซึ่งเต็มไปด้วยพลังในขอบเขตเมธีใส่ฉู่อี้เชินโดยตรง

ฟึบ!

“ไม่!!!”

ภาพของฉู่อี้เชินที่กลายเป็นหมอกโลหิตเกิดขึ้นพร้อมเสียงร้องโหยหวนของฉู่หมิงเทียนผู้เป็นบิดา กระนั้นนายท่านหมิงเทียนผู้ที่มักเย่อหยิ่งเสมอกลับไม่กล้าแม้แต่จะลุกขึ้น เขาทำได้แค่มองหมอกโลหิตค่อยๆ สลายหายไปจนไม่เหลือร่องรอยด้วยดวงตาแดงก่ำ สองมือกำแน่นจนเส้นเลือดปูดออกมา หัวใจแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี

“มีปัญหากับการสั่งสอนของข้าหรือไม่?” หลี่ไจ้หรี่ตามองไปทางผู้อาวุโสตระกูลฉู่ที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงแล้วถามด้วยท่าทางสบายๆ

“ใต้เท้าหลี่สั่งสอนได้ดีแล้วขอรับ เป็นพวกข้าน้อยที่อบรมลูกหลานไม่ดีเอง” หัวหน้าตระกูลฉู่รีบพูดเอาใจผู้สูงศักดิ์ แม้ว่าหัวใจของเขาเจ็บปวดและโกรธแค้นไม่ต่างกัน เพราะฉู่อี้เชินเป็นหลานคนโปรดคนหนึ่ง ทว่าเขาทราบฐานะของตัวเองดี

“อืม ไม่มีปัญหาก็ดีแล้ว แต่ถ้ามีปัญหาพวกเจ้าก็ไปทวงถามกับจวนจอมทัพซ้ายเองเถิด” หลี่ไจ้พอใจกับคำตอบ เขาลุกขึ้นยืนราวกับหมดเรื่องสนุกให้เล่นแล้วจริงๆ “คุณชายชิงต้องการกลับจวนหรือไม่?”

“ขอบคุณใต้เท้าที่ใส่ใจ แต่คืนนี้ข้าเหนื่อยมากเหลือเกิน ขอค้างคืนที่นี่เลยดีกว่า” ชิงเยี่ยนตอบด้วยความสัตย์จริง เพราะนี่คือยามโฉ่ว (01.00 – 02.59 น.) หากไม่มีพลังบำเพ็ญเขาจะมีความรู้สึกง่วงนอนเหมือนคนธรรมดาทั่วไปและถ้าต้องไปทำความคุ้นเคยกับจวนจอมทัพซ้ายตอนนี้อีกคงไม่ไหวจริงๆ ดังนั้นขอนอนเอาแรงก่อนดีกว่า

“เช่นนั้นข้าขอตัวกลับวังก่อน คุณชายชิงโปรดรักษาตัวด้วย คนของข้าจะแจ้งให้จวนจอมทัพซ้ายมารับท่านพรุ่งนี้เช้า” หลี่ไจ้ยกมือคารวะพร้อมบอกลาซึ่งชิงเยี่ยนและฉู่หลานก็ยกมือคารวะตอบกลับ ทว่าก่อนที่เขาจะหายไปจากสถานที่แห่งนั้นพร้อมองค์รักษ์ เขายังไม่ลืมตวัดสายตามองหัวหน้าตระกูลฉู่เพื่อย้ำเตือนว่าหากชิงเยี่ยนเป็นอันตรายภายในเขตบ้านตระกูลฉู่ก็รอต้อนรับจอมทัพซ้ายได้เลย

เมื่อร่างของหลี่ไจ้และองครักษ์พยัคฆ์ดำหายไปแล้ว คนตระกูลฉู่กลับไม่ได้หายใจคล่องขึ้นแม้แต่น้อย ฉู่จิ่นเทียนแทบหันไปพูดกับชิงเยี่ยนทั้งน้ำตา

“คุณชายชิง ข้าน้อยจะรีบให้คนไปจัดเตรียมห้องรับแขกเดี๋ยวนี้เลย”

“ไม่ต้อง ไม่ต้อง ข้าจะนอนบ้านพี่ฉู่นี่แหละ พวกเจ้าแยกย้ายกันได้แล้ว อย่ามาทำวุ่นวายแถวนี้” เมื่อแสดงอำนาจไปมากพอแล้วชิงเยี่ยนจึงกลับมาวางมาดเหมือนตอนเป็นจอมมารแดนเหนือได้อีกครั้ง เขาโบกมือไล่ตาเฒ่าเหล่านี้ออกไปด้วยความรำคาญเพราะตอนนี้เขาง่วงเหลือเกิน

“เช่นนั้นคุณชายชิงต้องการสิ่งใดก็สั่งได้ทุกเมื่อ พวกข้าน้อยขอตัวก่อนขอรับ” หัวหน้าครอบครัวเข้าใจดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้ทุกคนอยากออกจากที่นี่เต็มทน เขาจึงไม่โน้มน้าวชิงเยี่ยนอีกและรีบพาพวกน้องชายออกไปทันที

“คุณชายชิง บุญคุณครั้งนี้...”

“หยุด! หยุดเลยท่านลุงท่านป้า พวกเราไม่จำเป็นต้องมากพิธีต่อกันและตอนนี้ข้าง่วงนอนมากจริงๆ” ชิงเยี่ยนรีบยกมือห้ามสองสามีภรรยาที่กำลังจะคุกเข่าขอบคุณอีกครั้ง “สำหรับเรื่องวันนี้เป็นตามที่ข้าพูดไปทั้งหมด พี่ฉู่หนีออกจากโลงศพด้วยสภาพทุลักทุเลเพื่อไปพบข้าตามนัดหมาย โชคดีที่เขาได้กินยาแก้สรรพโรคของจวนข้าจึงทำให้รอดจากความตายกลับมาหาพวกท่านได้อีกครั้ง”

“ท่านพ่อท่านแม่ไปพักผ่อนเถิด” ฉู่หลานที่นานครั้งจะมีจังหวะได้พูดจึงรีบบอกสองสามีภรรยาให้ไปพักผ่อนเพราะตัวเขาเองก็หมดพลังไม่ต่างจากชิงเยี่ยน

“แต่เราไม่มีห้องรับรองแขกเลย” หลินซื่อยังไม่วางใจเพราะคุณชายชิงสูงส่งเกินกว่าจะนอนในบ้านธรรมดาของพวกนาง

“ข้านอนห้องพี่ฉู่ได้ ท่านลุงท่านป้าได้โปรดวางใจเถิด ข้าเหนื่อยมากจริงๆ”

“อ่า ถ้าเช่นนั้นหลานเอ๋อร์ดูแลคุณชายชิงให้ดีด้วย” หลินซื่อกับฉู่หมิงถิงไม่กล้าพูดมากอีก เพราะสภาพของทั้งลูกชายและคุณชายน้อยดูอิดโรยมากจริงๆ ทั้งสองจึงยอมกลับเข้าห้องแต่โดยดี

......

บรรยากาศตอนดึกสงัดของคฤหาสน์ตระกูลฉู่นับว่าเงียบเหงาผิดปกติ คงเพราะเหตุการณ์สะเทือนใจที่เพิ่งผ่านพ้นไปทำให้พวกผู้อาวุโสเก็บตัวอยู่ในบ้านด้วยความขุ่นเคืองเงียบๆ ทว่าบรรยากาศเช่นนี้ฉู่หลานชอบเป็นพิเศษ

เขายืนกรานว่าจะนั่งเอาหลังพิงเตียงโดยยกพื้นที่บนเตียงแคบๆ ให้ชิงเยี่ยนครอบครอง ฝ่ายจอมมารน้อยก็ไม่ได้เกรงใจมากนัก ในเมื่อฉู่หลานเต็มใจเขาไม่จำเป็นต้องเรื่องมาก อีกอย่างชิงเยี่ยนรู้สึกว่าการนอนหลับในโลกที่ไม่คุ้นเคยโดยมีจักรพรรดิมังกรฉู่หลานนั่งหลับอยู่ใกล้ๆ มันก็อุ่นใจดี

“เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าคงรู้ว่าเมื่อหลี่ไจ้กลับเข้าวังไปรายงานต่อคนผู้นั้น ชีวิตเราสองอาจไม่สามารถแยกจากกันได้อีก” เสียงทุ้มเอ่ยคล้ายพึมพำทว่าแฝงด้วยความจริงจัง

“อืม...ค่อยว่ากันทีละก้าวเถอะ” เสียงพึมพำตอบรับมาจากคนที่นอนบนเตียงด้านหลัง

“เกรงว่าข้าอยู่ในเมืองหลวงไม่ได้แล้ว...”

“...”

ไม่มีเสียงตอบรับจากจอมมารน้อยอีกเลยซึ่งฉู่หลานรับรู้ได้ดีว่าอีกฝ่ายเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว เขาจึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหลับตาพาตัวเองเข้าสู่นิทราไม่ต่างกัน

......

“คุณชาย คุณชายของบ่าว ฮึก ฮือ...บ่าวมารับแล้วเจ้าค่ะ!”

ยามเฉิน (07.00 – 08.59 น.) ของเช้าวันต่อมา มีเสียงสะอื้นของสตรีดังขึ้นที่หน้าประตูห้องนอนของฉู่หลาน

5 3 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด