ตอนที่ 1 ฉู่หลานชิงเยี่ยน
ตอนที่ 1 ฉู่หลานชิงเยี่ยน
นครศักดิ์สิทธิ์ต้าหลง เผ่าพันธุ์มังกรทองอยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิ ‘ฉู่หลาน’ ผู้มีพลังบำเพ็ญบรรลุขอบเขตมหาเมธีขั้นปฐมได้ในเวลาเพียง 225 ปีเท่านั้น
ในโลกแห่งการบำเพ็ญนี้ แบ่งระดับการบำเพ็ญออกเป็น 9 ขอบเขตจากต่ำไปสูง ได้แก่ ขอบเขตก่อกำเนิด, ขอบเขตผันวิญญาณ, ขอบเขตสระวิญญาณ, ขอบเขตทะเลวิญญาณ, ขอบเขตวิญญาณบริสุทธิ์, ขอบเขตกึ่งเมธี, ขอบเขตเมธี, ขอบเขตมหาเมธีและขอบเขตมหาอมตะซึ่งไร้ตัวตน
ครานั้นเมื่อฉู่หลานบรรลุขอบเขตวิญญาณบริสุทธิ์ขั้นปฐม ร่างมังกรทองของจักรพรรดิหนุ่มปรากฏขึ้น สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงไปทั่วดินแดนที่เชื่อมต่อกับแผ่นดินต้าหลงยิ่งนัก
จักรพรรดิเผ่ามนุษย์แดนประจิมและจักรพรรดิเผ่ามนุษย์แดนบูรพาที่เดิมทีสวามิภักดิ์ต่อเผ่ามังกรทองอยู่แล้วยังเร่งรุดมาแสดงความภักดีสุดซึ้งถึงนครศักดิ์สิทธิ์ต้าหลง
เผ่าปีศาจแดนใต้เดิมทีเหมือนจำนนแต่ก็ไม่จำนน ครานี้ถึงขั้นยอมดำรงเผ่าพันธุ์ด้วยความสงบเสงี่ยมเจียมตัวให้มากที่สุด
คงมีก็เพียงเผ่ามารแดนเหนือที่ต่อให้ต้าหลงเกรียงไกรมากเท่าไร ราวกับว่าพวกเขายิ่งเหิมเกริมมากขึ้นเท่านั้น
เล่าลือกันว่าฉู่หลานในวัยเยาว์เคยเป็นสหายร่วมสำนักกับ ‘ชิงเยี่ยน’ จอมมารแดนเหนือ
สุดท้ายขัดแย้งกันด้วยวิถีที่เลือกเดิน คนหนึ่งเลือกวิถีเซียนอีกหนึ่งฝักใฝ่ในวิถีมาร สำหรับเหตุผลนั้นคงไม่มีผู้ใดรู้ดีเท่าคนทั้งสอง เพียงแต่แน่ชัดว่านับจากนั้นฉู่หลานชิงเยี่ยนเสมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ
เป็นไม้เบื่อไม้เมากันนาน 224 ปี หากจะบอกว่าผู้ที่ทำให้ฉู่หลานโกรธได้มากที่สุดคือชิงเยี่ยนนั้นไม่ผิด หากพูดว่าฉู่หลานอยากกำราบใครมากที่สุดคือชิงเยี่ยนก็ถูกอีก
และหากจะบอกว่าผู้ใดรู้ใจฉู่หลานมากที่สุดคือชิงเยี่ยน
ย่อมไม่เกินจริง
เช้าวันหนึ่งของความขัดแย้งปีที่ 225 ฉู่หลานออกว่าราชการตามปกติ แน่นอนว่านอกจากรายงานเรื่องความเป็นไปในบ้านเมืองที่แก้ไขได้ด้วยกำลังและมันสมองของขุนนางผู้ชาญฉลาด ยังคงมีการรายงานเรื่องเดิมๆ ที่น่าเบื่อเช่นกัน
“ทูลฝ่าบาท เมื่อวานนี้ฎีกาจากชายแดนเหนือเพิ่งเดินทางมาถึง แจ้งว่าช่วงเดือนก่อนผู้บ่มเพาะมารทำลายม่านพลังเวทป้องกันด่านเทียนเป่ยและบุกปล้นหินวิญญาณที่ค่ายเทียนเป่ยอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีลู่เริ่มเปิดประเด็น
บังเกิดความเงียบทั่วท้องพระโรงไท่อวิ๋นทันที อาจเพราะคำว่า ‘อีกแล้ว’ เป็นการเน้นย้ำว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรกและเหล่าขุนนางย่อมรู้ดีว่ามันเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว
ใช้คำว่า ‘ครั้งแล้วครั้งเล่า’ ตลอดสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมาย่อมไม่ผิด
“อืม” คำตอบรับสั้นๆ ได้ใจความนี้ของฝ่าบาทก็นับครั้งไม่ถ้วนแล้วเช่นกัน
“ฝ่าบาท คราวนี้เราไม่ควร...”
“จะบอกว่าเจิ้นปิดหูปิดตาเช่นนั้นหรือ?” ฉู่หลานหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางเอ่ย ร่างสูงสง่าในชุดคลุมมังกรทองล้ำค่านั่งครองบัลลังก์ด้วยท่าทางมั่นคงยิ่งกว่าภูผา แม้ไม่กลายร่างเป็นมังกรทองก็ยังเปี่ยมด้วยรัศมีมหาเมธีสูงล้ำ ใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลักที่ทวยเทพเฝ้าหวงแหน อารมณ์ไม่แยแสที่แสดงออกมานั้นทำให้เหล่าขุนนางมีแต่หัวใจที่เคารพเทิดทูน
“กระหม่อมไม่บังอาจ แต่ฝ่าบาท กระหม่อมขอทูลถามว่าเรารีรออะไรอยู่พ่ะย่ะค่ะ?”
สำหรับฉู่หลานแล้วการเปิดโอกาสให้ขุนนางตั้งคำถามคือเรื่องปกติ เขาไม่ใช่จักรพรรดิที่ชอบให้ขุนนางมัวแต่สงบปากสงบคำและอ้าปากพ่นแต่คำสรรเสริญเยินยอ หากการตั้งคำถามและการถกประเด็นอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสม เขาไม่เคยโกรธ
“ใต้เท้าลู่ ผ่านมาสองร้อยปีนับตั้งแต่ฝ่าบาทครองราชย์ ท่านยังไม่รู้พระทัยฝ่าบาทอีกหรือ” อัครมหาเสนาบดีเฉินหันไปหยอกเพื่อนร่วมงาน “ฝ่าบาทรอให้ศัตรูแข็งแกร่งมากพอไงเล่า”
เหตุผลนี้ไม่แปลกนัก เพราะฝ่าบาทไม่ชอบสิ้นเปลืองเวลาทำสงครามกับพวกกระจอกและในสายตาของฝ่าบาทเห็นว่าเผ่ามารกระจอก เพียงแต่ต้องรอไปอีกกี่ร้อยกี่พันปีศัตรูจึงจะแข็งแกร่งพอให้ฝ่าบาทอยากยกทัพไปกำราบในเมื่อฝ่าบาทแข็งแกร่งมากขึ้นทุกที
“แต่ใต้เท้าเฉิน ต้องรออีกกี่ปีล่ะ บัดนี้ชิงเยี่ยนจอมมารแดนเหนือบรรลุขอบเขตเมธีขั้นสมบูรณ์ เขาหายใจรดต้นคอฝ่าบาทของเรามาติดๆ แล้วนะ”
คำพูดอาจเกินจริงไปหน่อย เพราะการบรรลุจากขอบเขตเมธีขั้นสมบูรณ์ไปสู่ขอบเขตมหาเมธีขั้นปฐมต้องใช้เวลาขั้นต่ำห้าสิบปีเข้าไปแล้วซึ่งเป็นค่ามาตรฐานที่วัดจากฉู่หลาน
“ดี! เจิ้นชอบคำนี้ เตรียมยกทัพ!”
หา?
ใต้เท้าลู่ถึงกับนึกฉงนว่าฝ่าบาทชอบคำพูดใดของตน
“ฝะ ฝ่าบาท เตรียมทัพกี่แสนดีพ่ะย่ะค่ะ?” บางคำถามไม่จำเป็นต้องหาคำตอบ แต่ถ้าไม่รีบเข้าประเด็นแล้วฝ่าบาทอาจเปลี่ยนใจ
“แค่เผ่ามารเล็กๆ เผ่าหนึ่งต้องใช้ทหารหลักแสนเชียวหรือ? แค่เจิ้นคนเดียวก็พอกระมัง” ฉู่หลานรู้สึกขัดใจใต้เท้าลู่ขึ้นมานิดๆ
“ตะ แต่ฝ่าบาทเพิ่งรับสั่งว่าให้ยกทัพ...”
“แล้วอย่างไร เจิ้นพูดให้ดูยิ่งใหญ่ไม่ได้เลยหรือ”
อ่า...
“พอๆๆ พวกเจ้ายิ่งแก่ยิ่งน่ารำคาญ จงดูแลราชสำนักแทนเจิ้นให้ดีแล้วกัน เจิ้นออกไปยืดเส้นยืดสายที่แดนเหนือสักสองสามวันจะกลับ ส่วนเหล่าใต้เท้าที่รักก็อยู่แบบแก่ๆ เหงาๆ ในเมืองหลวงไปแล้วกัน”
กัดทุกดอกแล้วบอกใต้เท้าที่รัก
สิ้นคำพูดนั้น ร่างมังกรทองน่าเกรงขามปรากฏขึ้นและโผทะยานออกจากท้องพระโรงไท่อวิ๋นไปด้วยความรวดเร็วที่มีเพียงปรมาจารย์มหาเมธีจะสัมผัสได้ ทิ้งไว้ก็แต่บรรดาขุนนางที่ยังมึนงงทว่าไม่ได้ห่วงเรื่องความปลอดภัยของฝ่าบาทเลย
ในต้าหลงนี้มีมหาเมธีเพียงไม่กี่คนและแน่นอนว่าพวกเขายอมจำนนโดยไม่ต้องสงสัย สำหรับเผ่ามารแดนเหนือนั้นไม่มีสักคน แค่ฝ่าบาทสะบัดฝ่ามือครั้งเดียว เกรงว่าแดนเหนือจะพังราบไปหนึ่งในสี่ส่วนแล้ว
......
เล่าลือกันว่าชิงเยี่ยนหลงใหลในวิถีมารอย่างสุดซึ้ง แต่ใครจะรู้ว่าเขาต่างหากคือผู้ชี้นำวิถีมารตัวจริง
ผู้ใดถูกวิถีมารมัวเมาก็ช่าง แต่ชิงเยี่ยนผู้นี้ไม่สะท้านต่อวิถีมาร มิหนำซ้ำยังเป็นผู้พัฒนาวิชามารให้ล้ำลึกอยู่เสมอ ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาเขายังได้สร้างค่ายกลใหม่ๆ ออกมา เรียกได้ว่าทำหน้าที่จอมมารไม่ขาดตกบกพร่อง
และวันนี้ ปีที่ 225 ก็มาถึง ได้เวลางัดไม้เด็ดเช่น ‘ค่ายกลเมฆาโรย’ ออกมาทดสอบสักที สำหรับเหยื่อที่จะมาช่วยเขาทดสอบนั้นคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก…
“ยิ้มเจ้าเล่ห์อะไรอีกล่ะ น่าเกลียด”
ฉู่หลานมังกรทองปากเสียคนนี้เอง
“ตาเฒ่าฉู่ วันนี้เจ้าถ่อสังขารมาถึงนี่ตัวคนเดียว คงไม่มาจิกกัดข้าอย่างเดียวกระมัง” ชิงเยี่ยนคิ้วกระตุก แต่พริบตาเดียวก็กลับมายิ้มแย้มได้อีกครั้ง
“ข้าแค่มาตามนัดหมายของเรา” ฉู่หลานยืนเอามือไพล่หลังพลางจ้องมองจอมมารแดนเหนือที่ใครก็หวาดกลัวด้วยรอยยิ้มมุมปาก ชิงเยี่ยนในสายตาของเขาเป็นแค่เด็กอวดเก่งคนหนึ่งเท่านั้นและเหตุการณ์ในท้องพระโรงอะไรนั่นเป็นแค่ข้ออ้างบังหน้าให้เขามาตามนัดหมายที่เคยให้ไว้กับชิงเยี่ยน
ถึงอย่างไรวันนี้เขาก็ต้องมา บัดนี้เขาบรรลุขอบเขตมหาเมธีขั้นปฐมแล้ว ชิงเยี่ยนเองก็อยู่ในขอบเขตเมธีขั้นปลาย ช่องว่างระหว่างสองขอบเขตไม่น้อยเลย เพียงแต่เมื่อ 225 ปีที่แล้วทั้งสองได้นัดหมายประลองพลังบำเพ็ญกันไว้ เขาจึงต้องมาตามนัด
ผู้ใดพ่ายแพ้แค่ยอมสวามิภักดิ์ต่ออีกฝ่ายและฉู่หลานมั่นใจว่าเขาไม่มีวันแพ้ เพราะขอบเขตมหาเมธีนั้นใช่ว่าเมธีขั้นสมบูรณ์รวมพลังกันสิบคนร้อยคนจะสู้ไหว แม้ว่าชิงเยี่ยนระดมกำลังเมธีและกึ่งเมธีทั้งเผ่ามาร่วมต้านก็ไม่อาจล้มเขาได้
เพียงแต่นัดหมายของอดีตสหาย มีหรือเขาจะละเลย
“ถึงเจ้าจะแก่ไปบ้างแต่ไม่ขี้ลืม นับว่าดีแล้ว” ชิงเยี่ยนมักเรียกเขาว่าตาเฒ่าฉู่ ทั้งที่อายุต่างกันไม่มาก แต่นานวันเข้าฉู่หลานกลับไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นคำด่าเพราะคุ้นชินกับมันเสียแล้ว “วันนี้ที่เจ้าพ่ายแพ้ให้แก่ข้า เจ้าก็จะได้ไม่ลืม”
ชิงเยี่ยนยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ร่างที่บอบบางกว่าบุรุษทั่วไปเมื่ออยู่ในอาภรณ์พลิ้วไหวดูทะมัดทะแมงน่ามองยิ่งนัก มือเรียวโบกเพียงคราเดียวได้พัดพาหมอกจางๆ ที่ลอยอยู่ใต้หน้าผาที่ทั้งสองยืนอยู่ให้หายไป กลายเป็นภาพกองทัพเผ่ามารนับแสนยืนเรียงแถวรอคำสั่งอยู่ตรงนั้น
“ต้องเล่นใหญ่ถึงเพียงนี้เชียว” ฉู่หลานแค่นเสียงเย้ยหยันให้แก่การเสียเวลาและสิ้นเปลืองทรัพยากรของอีกฝ่าย เพราะต่อให้ขนกันมาเป็นล้านคน เพียงเขาสะบัดหางมังกรก็ราบเป็นหน้ากลอง
“ก็ข้ารวย” ชิงเยี่ยนยักไหล่แสดงความไม่ยี่หระ
“ล้วนเป็นเงินที่ปล้นต้าหลงมาทั้งนั้น” ฉู่หลานไม่สะท้านเช่นกัน
“มีเยอะก็แบ่งๆ กันใช้ ข้ารู้ว่าเจ้าใจกว้างอยู่แล้ว” เสียงหัวเราะที่ใสดั่งระฆังแก้วของชิงเยี่ยนดังก้องอยู่ในหูของฉู่หลาน “เอาล่ะ อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย จงเตรียมสยบต่อค่ายกลเมฆาโรยของข้าซะ!”
ชิงเยี่ยนไม่รีรอเพราะหัวใจของเขาเฝ้ารอเวลานี้มานานเกินทน เขารู้ตัวว่าพลังบำเพ็ญไม่สามารถเอาชนะฉู่หลานได้ และการระดมกองทัพเรือนแสนมาเช่นนี้ก็เป็นการสนองความอยากแสดงแสนยานุภาพของตัวเองเท่านั้น
ทว่าตลอดระยะเวลาสองร้อยกว่าปีที่เขาได้ทุ่มเทชีวิตเพื่อสร้างค่ายกลเมฆาโรย วาดหวังให้มันกลายเป็นค่ายกลอันทรงพลังที่สามารถต่อกรกับเผ่าพันธุ์มังกรที่ทรงอำนาจที่สุดในตำนานได้และในที่สุดวันนี้ก็ถึงเวลาทดสอบผลงานชิ้นเอกของเขา
เพียงชิงเยี่ยนยกมือขึ้น หมอกหนาก็เริ่มหมุนวนรอบตัวเขา หมอกเหล่านั้นค่อยๆ ก่อตัวเป็นกำแพงหมอกหนาทึบที่โอบล้อมทั้งหุบเขาเอาไว้ จากนั้นเขาเริ่มร่ายคาถามารโบราณ ส่งเสียงก้องกังวานสะท้อนไปทั่วหุบเขา
หินผาสั่นสะเทือน แมกไม้โค้งคำนับ
ทันใดนั้นท้องฟ้าพลันมืดลงและก้อนเมฆดำทมิฬเคลื่อนตัวมารวมกันเป็นรูปร่างขนาดมหึมา
“ไม่เลว” ฉู่หลานเอ่ยชื่นชมด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้กัน ถ้าให้พูดตามตรงคือทั่วหล้านี้นอกจากบรรดามหาเมธีด้วยกันเองก็ไม่มีใครที่สามารถต่อกรกับเขาได้อีก เว้นเสียแต่บรรดาขอบเขตมหาอมตะมีตัวตนจริงบนโลก ชีวิตของเขาอาจไม่น่าเบื่อเช่นนี้ “ค่ายกลนี้ราวกับช่วยเสริมขอบเขตเมธีขั้นสมบูรณ์ของเจ้าให้แข็งแกร่งเกือบทัดเทียมมหาเมธีได้เลย”
สิ้นคำวิเคราะห์ของฉู่หลาน นัยน์ตาทรงเสน่ห์ฉายแววคมกริบ กระแสลมขนาดใหญ่พัดผ่านร่างกำยำของเขาเพียงพริบตาเดียวให้เปลี่ยนเป็นร่างมังกรทองขนาดมหึมาค้ำฟ้าค้ำสวรรค์ เกล็ดสีทองอร่ามส่องประกายระยิบระยับในความมืดของค่ายกล นัยน์ตาสีทองเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงแสดงความดุดัน มันส่งเสียงคำรามของมหาเมธีให้ดังสนั่นปฐพี