ตอนที่แล้วตอนที่ 32 ไก่ขอทาน สุราไผ่และคำถามของซุนเกี๋ยน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 34 แค่พูดคุยก็กำหนดชะตาบ้านเมือง

ตอนที่ 33 ความทะเยอทะยานของซุนเกี๋ยนและปัญหา


“สุรานี้ ข้าบ่มเอง ต่อให้นายท่านมีเงินก็หาซื้อไม่ได้หรอก!”

“ส่วนวิธีบ่มสุรา ข้าเป็นแค่หนอนหนังสือตัวเล็กๆ ก็ได้มาจากตำราโบราณ” ไป๋หลี่หมิงยิ้ม จิบสุราในถ้วย แววตาของเขาฉายแววเศร้าสร้อย

การดื่มและกินเนื้อสัตว์ เป็นหนึ่งในงานอดิเรกไม่กี่อย่างที่เขายังคงรักษาไว้ได้ในยุคนี้

ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เขารู้ว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความฝัน

แต่ไม่ว่าเขาจะเข้มแข็งแค่ไหน  เขาก็เป็นคนแปลกที่มาจากต่างโลก

ตอนนี้ได้ดื่มสุรา เขาก็อดรู้สึกสับสนไม่ได้

ซุนเกี๋ยนกับเตียนอุยเห็นแววตาเศร้าสร้อยของไป๋หลี่หมิง ทั้งสองคนก็รู้สึกสะเทือนใจ

คนหนุ่มไฟแรงอย่างเขา  ทำไมถึงมีแววตาแบบนั้น?

ท่านกุนซือไปประสบพบเจออะไรมากัน?

"ตอนนี้พวกเราก็กินเนื้อดื่มสุราแล้ว  นายท่านมีเรื่องอะไรรีบบอกข้ามาเถอะ"

พอเห็นว่ามันมืดแล้ว ไป๋หลี่หมิงก็เก็บซ่อนอารมณ์แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม  "ข้าว่านายท่านคงไม่ได้มาที่นี่แค่เพราะอยากกินเนื้อดื่มสุราหรอกนะ”

“ข้ารู้ว่าเรื่องอะไรก็รอดพ้นสายตาของท่านกุนซือไปไม่ได้ ที่ข้ามาหา ก็มีสองเรื่อง”ซุนเกี๋ยนยิ้ม

“เรื่องแรก กองทัพของเราได้รับข่าวว่ากองกำลังพันธมิตรพ่ายแพ้ต่อกองทัพของตั๋งโต๊ะ  พวกเขาส่งจดหมายมา  ขอให้พวกเราโจมตีเหอตง เพื่อแบ่งเบาภาระที่ด่านโสหุย! ท่านกุนซือคิดว่าพวกเราควรทำอย่างไรดี?”

พูดจบเขาก็จ้องมองสีหน้าของทั้งสองคน

พอพูดถึงเรื่องที่กองกำลังพันธมิตรพ่ายแพ้ เตียนอุยทำหน้าตกใจ  แต่ไป๋หลี่หมิงกลับนั่งดื่มอย่างใจเย็น

“เรื่องที่กองกำลังพันธมิตรพ่ายแพ้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ในเมื่อกองทัพของเราแสร้งทำเป็นโจมตีเหอตงแล้ว เราก็ไม่ต้องสนใจคำขอของพวกเขา”ไป๋หลี่หมิงตอบอย่างใจเย็น

“สิ่งที่พวกเราควรให้ความสำคัญคือทำในสิ่งที่ควรทำ!”

พูดจบเขาก็ยกจอกสุราขึ้นมา ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้ม“ตอนนี้ตั๋งโต๊ะชนะศึก ส่วนกองกำลังพันธมิตรก็หนีกลับไปตั้งหลัก ข้าว่า ตั๋งโต๊ะคงฉวยโอกาสนี้ย้ายเมืองหลวง!”

“หรือว่าเรื่องที่สองที่นายท่านจะพูดคือ เรื่องที่ตั๋งโต๊ะเริ่มย้ายเมืองหลวงแล้ว?” ไป๋หลี่หมิงถาม

"ท่านกุนซือ...ท่านนี่ทำนายเก่งจริงๆ"ซุนเกี๋ยนยิ้มอย่างขมขื่น

ทุกครั้งที่คุยกับท่านกุนซือ ไม่ต้องแกล้งทำเป็นลึกลับ พูดไปประโยคเดียว เขาก็รู้แล้วว่าจะพูดอะไรต่อ

“ท่านกุนซือพูดถูก เราได้รับข่าวจากทางใต้ของภูเขาหม่างตาง”

“ช่วงนี้ตั๋งโต๊ะเริ่มบังคับชาวบ้านแถวๆลั่วหยางไปฉางอัน ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะยังไม่ได้ย้าย แต่ตั๋งโต๊ะก็น่าจะเริ่มย้ายเมืองหลวงแล้ว!”

“ข้าอยากถามว่า  ในเมื่อตั๋งโต๊ะเริ่มย้ายเมืองหลวงแล้ว พวกเราควรจะเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อไหร่ดี?”

"ถ้าหากท่านตกลงใจแล้ว ข้าจะให้เฉิงผู่นำทัพข้ามแม่น้ำมาสมทบ พวกเราจะได้บุกโจมตีได้เต็มที่! "

พอเขาพูดจบ  เตียนอุยก็มองไป๋หลี่หมิง  ดูเหมือนว่าจะตั้งตารอสงครามครั้งต่อไป

แต่ไป๋หลี่หมิงกลับรินสุราอีกจอก “ตอนนี้ ทหารของเราส่วนหนึ่งกำลังข้ามภูเขาหม่างตาง และพรุ่งนี้น่าจะถึง”

"อีกประมาณสามถึงห้าวันก็สร้างเขื่อนกั้นน้ำเสร็จ"

“พูดได้ว่าตอนนี้ พวกเราเป็นฝ่ายได้เปรียบ”

“ดังนั้น พวกเราจะเริ่มเคลื่อนไหวตอนไหน มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับโอกาส แต่ขึ้นอยู่กับว่านายท่านต้องการอะไร?”

"หมายความว่ายังไง?” ซุนเกี๋ยนงง

“หมายความตามนั้น ข้าว่านายท่านก็น่าจะเดาออก” ไป๋หลี่หมิงยิ้ม

“ถึงแม้ว่ากองกำลังพันธมิตรจะเข้าด่านโสหุยแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะบุกต่อแล้ว! ”

“หนึ่งเสบียงอาหารไม่พอ สองความสามัคคีไม่มี”

“พอเห็นตั๋งโต๊ะย้ายเมืองหลวง  พวกเขาก็ต้องเจอกับด่านหังกู๋กับด่านเถิง  ถึงตอนนั้น  คงแตกกระเจิงเป็นแน่ ”

“พอถึงตอนนั้นต่อให้พวกเราอยากจะสู้กับตั๋งโต๊ะ  พวกเราก็ทำคนเดียวไม่ได้”

“ดังนั้น  สงครามครั้งนี้เป็นโอกาสสุดท้ายที่พวกเราจะสู้กับตั๋งโต๊ะ!  ”

“ตอนนี้ กองกำลังพันธมิตรหนีไปตั้งหลักที่ด่านโสหุย  ส่วนกำลังทหารของพวกเราก็ไม่สามารถเอาชนะตั๋งโต๊ะได้”

“ดังนั้น สิ่งที่พวกเราทำได้คือตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นทิ้งซะ  แล้วดูว่าตั๋งโต๊ะต้องการอะไรตอนที่มันย้ายเมืองหลวง ”

“พอรู้แล้ว พวกเราก็ค่อยโจมตีใช้น้ำกั้นทาง แล้วโจมตีแบบรุมกินโต๊ะ!”

“ท่านกุนซือพูดถูก!” ซุนเกี๋ยนเห็นด้วย

ถึงเขาจะไม่อยากยอมรับ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าไป๋หลี่หมิงพูดถูก

กองกำลังพันธมิตรไม่น่าเชื่อถือ จะพึ่งตัวเองฝ่ายเดียวก็ไม่ได้

สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือพยายามทำให้ได้ผลประโยชน์สูงสุดจากสงครามครั้งนี้

“ถึงแม้ว่าพวกเราจะเอาชนะตั๋งโต๊ะไม่ได้ แต่ฮ่องเต้ก็ยังอยู่ในกำมือของมัน พวกเราต้องไปช่วยฮ่องเต้!”ซุนเกี๋ยนขมวดคิ้ว

ในความคิดของเขา สิ่งสำคัญอันดับแรกคือกำจัดตั๋งโต๊ะ ส่วนอันดับสองคือสนับสนุนราชวงศ์ฮั่น

ในเมื่อเอาชนะตั๋งโต๊ะไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องช่วยฮ่องเต้!

ไป๋หลี่หมิงส่ายจอกสุรา  มองไปรอบๆ  เห็นว่าทหารอยู่ไกล  จึงโน้มตัวเข้าไปกระซิบ

“ข้าขอถามได้ไหมว่านายท่านต้องการอะไร?”

“นี่…”

ซุนเกี๋ยนตกตะลึง

ทำไมจู่ๆ ถึงพูดเรื่องนี้?

ไม่ได้กำลังพูดถึงสินสงครามเหรอ?

แต่พอเห็นสีหน้าจริงจังของไป๋หลี่หมิง เขาก็อดตอบไม่ได้

เขาครุ่นคิดสักพักและพูดอย่างจริงจัง "ข้าเกิดในตระกูลยากจน ตอนอายุสิบเจ็ดข้าก็เริ่มปราบโจร ปราบกบฏ  ได้รับความดีความชอบมากมายจนได้เป็นเจ้าเมือง”

“ตอนนี้ ราชวงศ์ฮั่นกำลังเสื่อมถอย กบฏชั่วช้าก็ปรากฏตัว ข้าในฐานะขุนนางย่อมต้องสนับสนุนราชวงศ์ ปราบปรามกบฏ  ”

"ถ้าให้พูดถึงความทะเยอทะยานในชีวิตข้า ก็คงมีเพียงเท่านี้!   "

พูดจบเขาก็ถามอย่างสงสัยว่า "ท่านกุนซือถามแบบนี้หมายความว่าอย่างไร? ความทะเยอทะยานของข้าเกี่ยวอะไรกับสงครามครั้งนี้?”

“ไม่ใช่แค่เกี่ยว แต่ยังเกี่ยวข้องอย่างมากด้วย!” ไป๋หลี่หมิงยิ้ม

"ถ้านายท่านแค่อยากจะปราบกบฏ ปราบความวุ่นวายในโลก งั้นกองทัพเราคงไม่สามารถช่วยฮ่องเต้ได้!”

"ต่อให้ช่วยได้ก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย!”

"ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?"  ซุนเกี๋ยนขมวดคิ้ว

“ถ้าพวกเราช่วยฮ่องเต้ได้ บ้านเมืองจะวุ่นวายได้ยังไง?  ”

เตียนอุยหัวเราะขึ้นมา

"ในเมื่อนายท่านกับท่านกุนซือจะคุยเรื่องสำคัญ งั้นข้าไม่นั่งดื่มด้วยแล้ว ยังไงซะ ข้าก็ฟังไม่รู้เรื่อง!”

พูดจบ เขาก็ยืนขึ้น ยืนตระหง่านราวกับหอคอยสีดำ  แล้วเริ่มลาดตระเวณ

แม้เขาจะไม่รู้ว่าไป๋หลี่หมิงจะพูดอะไร

แต่การไม่ช่วยฮ่องเต้ถือเป็นการกบฏ ถึงแม้ว่าเขาจะฟังได้แต่คนอื่นฟังไม่ได้!

ไม่ว่าจะเพื่อนายท่านหรือเพื่อเพื่อน เขาก็ไม่อาจให้ใครมาได้ยิน

พอเตียนอุยไป ตอนนี้ ข้างกองไฟเหลือแค่ซุนเกี๋ยนกับไป๋หลี่หมิง

แสงไฟส่องสว่างใบหน้าของทั้งสอง

ไป๋หลี่หมิงไม่เกรงใจ "นายท่าน ท่านคิดว่าอ้วนเสี้ยวกับตั๋งโต๊ะ เทียบกันแล้วเป็นยังไง? "

"เรื่องความสามารถ แม้ว่าอ้วนเสี้ยวจะเป็นผู้นำ แต่ภายในอ่อนแอ ไม่ใช่วีรบุรุษ"  ซุนเกี๋ยนครุ่นคิด

“ส่วนตั๋งโต๊ะ  เริ่มต้นจากทหารอาศัยความชอบ ไต่เต้าจนมีอำนาจ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นกบฏ แต่ความสามารถของมันก็เหนือกว่าอ้วนเสี้ยว”

“ส่วนเรื่องชาติตระกูล ตระกูลอ้วนสี่ชั่วอายุคน มีถึงสามรุ่นที่ได้เป็นขุนนาง ยกเว้นตระกูลอ้วนแห่งฮงนง  ก็ไม่มีใครเทียบได้”

"หรือว่าท่านกุนซือหมายความว่าถ้าหากพวกเราช่วยฮ่องเต้  ฮ่องเต้จะตกเป็นเครื่องมือของอ้วนเสี้ยว?"ซุนเกี๋ยนถามอย่างตกใจ

"ใช่แล้ว!” ไป๋หลี่หมิงพยักหน้า

“ถึงแม้ว่ากองทัพของเราจะมีส่วนร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้  แต่พวกเราก็อยู่ใต้อาณัติของอ้วนเสี้ยว ต่อให้ช่วยฮ่องเต้ได้ ถึงนายท่านจะเหนื่อยยากแค่ไหน ความดีความชอบ... ก็ตกเป็นของอ้วนเสี้ยว พวกเราไม่มีวันได้ มันยากที่กองทัพเราจะได้ตัวฮ่องเต้”

“พอฮ่องเต้ตกไปอยู่ในมือของอ้วนเสี้ยว พวกเราจะรับประกันได้ยังไงว่าอ้วนเสี้ยวจะไม่กลายเป็นตั๋งโต๊ะคนที่สอง?”

"ตอนนี้ ถึงตั๋งโต๊ะจะมีความสามารถแต่ชาติกำเนิดต่ำต้อย  ไม่ได้รับการยอมรับจากตระกูลใหญ่อื่นของโลก "

"แต่อ้วนเสี้ยวแตกต่างออกไป ถ้ามันได้เป็นใหญ่ ภายในเวลาไม่นาน อำนาจของมันจะยิ่งใหญ่กว่าตั๋งโต๊ะ”

“น่าเสียดาย อ้วนเสี้ยวนะทะเยอทะยานแต่ไร้ความสามารถ ถ้ามันได้อำนาจมา ข้าเกรงว่าบ้านเมืองจะยิ่งวุ่นวาย!”

“และหากนายท่านยังยืนยันที่จะปราบกบฏ ถึงตอนนั้น ท่านจะต่อต้านหรือยอมสวามิภักดิ์”

“ถ้าหากยอมสวามิภักดิ์แล้วอ้วนเสี้ยวเกิดไร้คุณธรรม เราจะปกป้องบ้านเมืองอย่างไร?

“ถ้าหากต่อต้าน ตอนนี้พวกเราจะคิดแผนทำไม?”

“ดังนั้น ต่อให้กองทัพเราจะช่วยฮ่องเต้ได้  ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ!”

“อย่างน้อย ตอนนี้ก็ช่วยไม่ได้!”

ซุนเกี๋ยนขมวดคิ้ว

เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะกำจัดตั๋งโต๊ะและช่วยฮ่องเต้ แต่เขาไม่คาดคิดว่าเรื่องมันจะซับซ้อนขนาดนี้!

ถ้าช่วยฮ่องเต้แล้วทำให้เกิดตั๋งโต๊ะคนที่สอง เรื่องนี้ยอมให้เกิดไม่ได้

"ท่านกุนซือบอกว่าตอนนี้ช่วยไม่ได้ หมายความว่าช่วยได้ตอนไหน?”ซุนเกี๋ยนถาม

“ถ้าอยากช่วยฮ่องเต้ พวกเราต้องมีฐานที่มั่น!”ไป๋หลี่หมิงตอบ

"ถ้านายท่านอยากจะช่วยฮ่องเต้จริงๆ พวกเราต้องหาที่ดินผืนหนึ่งเป็นฐานที่มั่น เหมือนกับตั๋งโต๊ะ ถึงตอนนั้นไม่ว่ากบฏจะมาโจมตี พวกเราก็รับมือได้สบาย!"

"แต่ตอนนี้  ถึงแม้ว่านายท่านจะมีทหาร มีเสบียงอาหาร แต่พวกเราก็เหมือนผีไม่มีศาล อยู่ได้อีกไม่นานหรอก!"

"ฐานที่มั่น!" ซุนเกี๋ยนตาเป็นประกาย

ที่แท้ปัญหาก็อยู่ตรงนี้เองหรือ?

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด