ตอนที่ 19 น้ำลึกไฟร้อน* (1)
ตอนที่ 19 น้ำลึกไฟร้อน* (1)
*น้ำลึกไฟร้อน = ความทุกข์ยากลำบากเสมือนตกนรกทั้งเป็น
อวี้ซีไปเดินเล่นในสวนเพื่อย่อยอาหารหลังมื้อเย็น
หงซานเห็นว่าแม่นมเซินไม่อยู่ จึงกระซิบบอกอวี้ซี "คุณหนู กลางวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าให้ฮูหยินใหญ่ไปหาอาจารย์ซ่งเพื่อให้ช่วยขอร้องให้คุณหนูรอง" สองสามวันมานี้อวี้ซีเย็นชากับหงซาน ทำให้เจ้าตัวไม่สบายใจนัก นางรู้ว่าตนเองทำผิดจึงพยายามแสดงตัวต่อหน้าอวี้ซีให้มากที่สุด จุดแข็งของนางคือการสืบข่าว ในใจเชื่อว่าตราบใดที่ทำตัวเป็นประโยชน์ คุณหนูก็คงจะไม่เย็นชากับนางต่อไป
ใบหน้าของอวี้ซีปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน ท่านป้าเกลียดชังหรงอี๋เหนียงและลูกสาวถึงเพียงนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากลับให้นางไปขอร้องกับอาจารย์ซ่งให้ น่าขยะแขยงนัก
อวี้ซีทำการบ้านเสร็จในยามซวี แต่ไม่ได้เข้านอนทันที นางอยู่ทบทวนบทเรียนต่อ ไม่เพียงเท่านั้น ยังทบทวนตำราพื้นฐานต่างๆ ทั้ง "ตำราร้อยสกุล" และ "ตำราพันอักษร" ด้วย ด้วยความเร็วของอาจารย์ซ่ง คงจะสอนตำราเหล่านี้จบได้ภายในครึ่งเดือน สร้างความกดดันในใจนางไม่น้อย
อวี้หรูกำลังทำการบ้านอยู่เช่นกัน ทว่าเขียนได้เพียงครึ่งเดียวก็ทำต่อไม่ไหวแล้ว เขียนหนังสือมามากเกินไปจนมือนางเจ็บไปหมดแล้ว "จู๋เซวียน ข้าไม่อยากไปที่เรือนอวี้หลานอีกแล้ว" วันสองวันยังพอทนไหว แต่หากต้องทนทุกวันเป็นเวลาสามเดือน นางเป็นอันได้คลั่งแน่
จู๋เซวียนสงสารคุณหนูของตนไม่น้อย "คุณหนู หากไม่เรียนก็ต้องหาหนทางอื่น จะเป็นเหมือนคุณหนูรองไม่ได้เด็ดขาด"
อวี้หรูพยักหน้า "ข้าทนไม่ไหวแล้ว" นางไม่อาจทนได้อีกต่อไป ต้องหาหนทางเพื่อหลุดพ้นจากที่นี่ให้ได้
ด้านอวี้จิ้งเขียนไปได้เพียงไม่นานก็ร้องไห้โฮออกมา "ท่านแม่ ข้าเจ็บมือ เขียนต่อไม่ไหวแล้ว มือข้าจะหักแล้ว"
หรงอี๋เหนียงกัดฟันบอก "เจ็บมือก็ต้องเขียน ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าได้โดนตีฝ่ามืออีกแน่" การโดนตีเป็นเรื่องเล็ก กลัวแต่ว่าจะถูกอาจารย์ซ่งไล่ออกจากห้องเรียนเพราะเรียนได้ย่ำแย่
เด็กหญิงถูกบังคับให้เขียนต่อไป ถึงกระนั้นการถูกบังคับกับการเรียนด้วยความสมัครใจนั้นก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง นางคัดจนถึงเที่ยงคืนก็ยังทำไม่เสร็จ เหลืออีกกว่าร้อยตัวอักษร
หรงอี๋เหนียงไม่มีทางเลือกอื่นจึงบอก "เข้านอนก่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าค่อยตื่นมาเขียนต่อ"
อวี้จิ้งสะอื้น "ต่อให้ทำเสร็จแล้ว แต่หากจำไม่ได้ก็ยังต้องถูกลงโทษอยู่ดี" พรุ่งนี้คงไม่แคล้วถูกฟาดสิบทีที่ฝ่ามือเป็นแน่
เด็กหญิงตกอยู่ในความสลดหดหู่ ทั้งที่โดนตีมือซ้ายแต่ไม่วายส่งผลต่อความเร็วในการเขียน อาจารย์ซ่งผู้นี้ช่างเป็นปีศาจตัวจริงเสียงจริง
วันรุ่งขึ้นอวี้หรูโดนตีหกครั้ง อวี้จิ้งโดนตีแปดครั้ง อวี้เฉินยังคงเหมือนเดิมอย่างเมื่อวานนี้ ไม่เพียงจะท่องได้คล่องแคล่ว แต่ยังอธิบายได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ส่วนอวี้ซีท่องจำและอธิบายได้ไม่มีปัญหา เพียงแต่ชะงักไปกลางคันสองครั้ง
แท้จริงแล้วอาจารย์ซ่งค่อนข้างพอใจกับผลงานของอวี้ซี สามารถทำได้ดีขนาดนี้ทั้งที่ไม่มีพื้นฐาน ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว นางกล่าวชมอวี้ซี "ดีมาก แต่ก็ยังต้องพยายามต่อไป"
อวี้ซีไม่ได้ยินดีกับคำชมแต่อย่างใด แม้นางจะจงใจทำเป็นติดขัดไปสองครั้ง แต่ก็รู้ว่าถึงตนจะไม่ซ่อนความสามารถไว้ แต่ก็คงจะทำได้ดีที่สุดเพียงเสมอกับอวี้เฉินเท่านั้น ซึ่งสำหรับนางที่ได้กลับมามีชีวิตอีกหนึ่งชาตินั้น นับว่าเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังเต็มที
อวี้จิ้งรู้สึกไม่ยุติธรรม "อาจารย์ น้องสี่ก็ผิดพลาดเช่นกัน เหตุใดจึงไม่ตีนาง" ถึงจะอธิบายได้ไม่ผิดเพี้ยน แต่ก็หยุดพักไปสองครั้งไม่ใช่หรือ
ไหนเลยอาจารย์ซ่งจะมองไม่เห็นแววริษยาในสายตาของอวี้จิ้ง จึงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย "หากเจ้ารู้สึกว่าไม่ยุติธรรม ก็ออกไปได้" คนอยู่ใต้ชายคาต้องก้มหัว เมื่อวานนี้ถึงยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง หากเกิดเหตุซ้ำสองนางจะไม่ให้อวี้จิ้งปรากฏตัวในห้องเรียนของนางอีก
อวี้จิ้งนึกถึงเรื่องเมื่อวานนี้แล้วกลัวจะถูกไล่ออกไปจริงๆ จึงไม่กล้าโวยวายอีกต่อไป ตอนนี้ทำได้เพียงมองอวี้ซีด้วยความเกลียดชัง และเฝ้ารอโอกาสที่จะจัดการกับเด็กตัวดีผู้นี้
อวี้ซีสะบัดแขนที่ปวดเมื่อยไปมาหลังเลิกเรียน การเขียนหนังสือมากเกินไปในช่วงสองสามวันนี้ ทำให้แขนนางไม่เป็นของตนเองแล้ว
อวี้เฉินเห็นท่าทางนี้ของอวี้ซีตั้งแต่เมื่อวานทว่าอดทนไม่พูด ไม่คาดคิดว่าวันนี้อีกฝ่ายจะทำท่าทางนี้ซ้ำอีก คราวนี้นางจึงอดใจจะปรามไม่ไหว "น้องสี่ ทำท่าทางเช่นนี้ไม่สง่างาม หลังจากนี้ไม่ควรทำอีก" คุณหนูสูงศักดิ์ควรยิ้มบางยามเจรจา เดินเยื้องย่างราวดอกบัวบาน จะแสดงท่าทางหยาบกระด้างเช่นนี้ได้อย่างไร หากออกไปข้างนอกแล้วทำเช่นนี้ ผู้คนจะมองว่าจวนกั๋วกงไร้มารยาท อวี้เฉินรู้สึกว่าควรรายงานผู้เป็นย่าเกี่ยวกับเรื่องมารยาทของอวี้ซี
มุมปากของอวี้ซีกระตุกก่อนบอก "ข้าแค่สะบัดแขนเพราะเมื่อยเท่านั้น" นางปวดแขนไม่ได้ทำเพื่อเล่นสนุกสักหน่อย
อวี้เฉินไม่คาดคิดว่าน้องสาวจะโต้กลับจึงอึ้งไปชั่วขณะ ปกติผู้คนรอบข้างมักเชื่อฟังนางทุกอย่าง แม้แต่คนหัวรั้นอย่างอวี้จิ้งก็ยังไม่กล้าพูดจาเหิมเกริมต่อหน้านาง
อวี้ซีไม่สนใจปฏิกิริยาของอวี้เฉิน ทุกคนตามใจอวี้เฉินแต่ไม่ใช่สำหรับนาง ถึงกระนั้นนางก็ไม่ต้องการมีเรื่องขุ่นเคืองใจเช่นกัน เก็บของเรียบร้อยแล้วอวี้ซีก็บอก "หากพี่สามไม่มีธุระอะไร ข้าขอตัวกลับก่อน"
ซื่อชูมองแผ่นหลังอวี้ซีขณะพูดด้วยความไม่พอใจ "ช่างไม่รู้จักบุญคุณเสียจริง คุณหนูเจ้าคะ หลังจากนี้ เรื่องของคุณหนูสี่ก็อย่าไปยุ่งเลย"
อวี้เฉินเม้มปากก่อนบอก "จะไม่ยุ่งได้อย่างไร" ไม่ว่าอย่างไรอวี้ซีก็เป็นน้องสาว หากปล่อยปละละเลยและไม่ใส่ใจ หลังจากนี้คงได้ถูกตำหนิว่าบ้านรองไม่มีมารยาท
ด้านอวี้ซีคัดไปไม่กี่สิบตัวอักษรก็เขียนต่อไม่ไหว การเขียนหนังสือมากเกินไปตลอดสองสามวันนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้เจ็บมือ แต่ยังปวดลามไปถึงแขนด้วย
แม่นมเซินเห็นดังนั้นก็ทำได้เพียงนวดบ่าให้ ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามเด็กหญิงก็สบายตัวขึ้นมาก มือที่ทายาแล้วก็รู้สึกดีขึ้นเช่นกัน
อวี้ซีเอ่ยหน้าเศร้า "ต่อไปจะทำอย่างไรดี" เพิ่งผ่านไปได้แค่สองวัน หากต่อไปยังเป็นเช่นนี้ นางเป็นห่วงจริงๆ ว่ามือของตนจะพิการ
แม่นมเซินกล่าวปลอบ "คุณหนูวางใจเถิดเจ้าค่ะ อาจารย์ซ่งเข้มงวดมากในช่วงแรก เมื่อผ่านด่านนี้ไปได้แล้วก็จะดีขึ้น"
ชาติก่อนอวี้ซีแทบไม่ได้ออกไปไหน ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในเรือนของตน ดังนั้นแม้อาจารย์ซ่งจะสอนอวี้เฉินในจวนกั๋วกงเป็นเวลาห้าปี แต่ก็ไม่ได้รู้จักดีนัก นางจึงถาม "เหตุใดในช่วงแรกๆ จึงเข้มงวดมาก แต่หลังจากนั้นไม่เข้มงวดแล้ว"
แม่นมเซินสืบถามเรื่องราวของอาจารย์ซ่งมาแล้ว "การเรียนเป็นเรื่องยากลำบาก หากทนความยากลำบากในช่วงแรกไม่ได้ จะทนจนถึงที่สุดได้อย่างไร ข้าคิดว่าอาจารย์ซ่งน่าจะลองเชิงว่าท่านจะทนความยากลำบากได้หรือไม่"
อวี้ซีครึ่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ก็ต้องอดทนต่อไปในไม่กี่เดือนข้างหน้าให้ได้
อาจารย์ซ่งใช้เวลาเพียงสองวันครึ่งก็สอนหนังสือ "คัมภีร์สามอักษร" จบ จากนั้นใช้เวลาอีกครึ่งชั่วยามหยิบการบ้านของพวกนางออกมา ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของตัวอักษรที่เขียน
ในบรรดาคนทั้งสี่ อวี้เฉินเขียนได้ดีที่สุด ส่วนคนที่เขียนได้แย่ที่สุดไม่ใช่อวี้ซี แต่เป็นอวี้หรู
อวี้หรูได้ยินอาจารย์ซ่งพูดว่าตัวอักษรที่นางเขียนนั้นลอยฟุ้งไร้พลัง เหมือนกับที่คนป่วยเขียน เจ้าตัวก็หลั่งน้ำตาออกมาทันที
อาจารย์ซ่งรู้สึกเหมือนเห็นไม้ผุที่ไม่อาจแกะสลักได้ นางสอนรวดเร็วเพียงนี้ไม่ใช่เพื่อทรมานเด็กสาวทั้งสี่ แต่เป็นเพราะทุกคนผ่านการเรียนขั้นพื้นฐานมาแล้ว เท่ากับว่าตอนนี้นางแค่กำลังทบทวนสิ่งที่เด็กสาวทั้งสี่เรียนไปแล้ว อธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้จดจำได้มากขึ้น ทว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับเป็นคุณหนูรองไม่ผ่านเกณฑ์ ส่วนคุณหนูใหญ่ก็ย่ำแย่มาก ไร้สามารถแต่ยังไม่พยายาม เจอเรื่องอะไรก็ร้องไห้ไปหมด เสมือนโคลนที่พยุงกำแพงไม่ขึ้น
ในใจของอวี้ซีนึกประหลาดใจขึ้นมา ตามหลักแล้วนางน่าจะไร้กำลังที่สุดในบรรดาทั้งสี่คน แต่เหตุใดอวี้หรูที่มีแรงมากที่สุดจึงเขียนหนังสือไร้พลัง
อาจารย์ซ่งทำเมินอวี้หรูที่กำลังร้องไห้อยู่แล้วบอก "ตัวอักษรก็เหมือนหน้าตาคน หากเขียนหนังสือได้ไม่ดี หลังจากนี้ออกไปข้างนอกก็จะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ ดังนั้นไม่ว่าจะเรียนเก่งหรือไม่ก็ต้องเขียนหนังสือให้ดี หลังจากนี้พวกเจ้าต้องตั้งใจฝึกคัด"
อวี้ซีรู้สึกว่าคำพูดนี้เป็นเหมือนวรรคทอง น่าเสียดายที่เมื่อถึงเวลาทำการบ้านในตอนกลางคืน ดันเกิดเหตุให้ต้องติดขัด การหักโหมเขียนหนังสือทำให้มือมีตุ่มน้ำพอง ดูแล้วน่ากลัวมาก แม่นมเซินหยิบเข็มมาให้เจาะตุ่มน้ำพองให้จากนั้นจึงทายาให้
เห็นเด็กหญิงข่มกลั้นความเจ็บปวด หญิงชราก็สงสารจับใจ "คุณหนูอดทนไว้นะเจ้าคะ อดทนผ่านช่วงนี้ไปได้แล้วก็จะดีขึ้น มีคำกล่าวโบราณว่าความทุกข์ยากสร้างคน"
อวี้ซีมองยาในมืออีกฝ่ายแล้วถาม "ทายาแล้วจะเป็นแผลเป็นหรือไม่" ยานี้ทำให้อวี้ซีนึกถึงสูตรยาลบรอยแผลเป็น
แม่นมเซินส่ายหัวพร้อมรอยยิ้ม "คุณหนูวางใจได้ นี่คือยาชั้นดี ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้ส่งมาให้ ทาแล้วจะช่วยลดอาการบวมและเจ็บปวดได้โดยเร็ว ไม่เป็นแผลเป็นแน่นอน" ที่พูดเช่นนี้เพื่อให้อวี้ซีรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ายังคงเป็นห่วง
อวี้ซีไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งใจ คาดว่าคงจะให้กับอวี้เฉิน จึงถือโอกาสนี้มอบให้กับตนเองด้วย นางจึงขานรับด้วยสีหน้าเรียบเฉย "ข้ารู้แล้ว"
หลังทายาแล้วอวี้ซีก็พักผ่อนครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยเดินกลับไปที่โต๊ะ แม่นมเซินรีบร้องห้าม "คุณหนูเจ้าคะ มือทายาแล้ว วันนี้ไม่ต้องเขียนแล้ว พรุ่งนี้ค่อยเขียนก็ได้"
อวี้ซีส่ายหน้าบอก "ยังเหลืออักษรที่ยังเขียนไม่เสร็จอีกกว่าร้อยตัว วันนี้เขียนไม่เสร็จ พรุ่งนี้เช้าก็จะท่องจำบทเรียนไม่ได้" อืม เมื่อก่อนเคยได้ยินว่าอาจารย์ซ่งสอนหนังสือเข้มงวดมาก ยามนี้ได้สัมผัสด้วยตัวเองถึงได้รู้ว่าข่าวลือไม่ได้เกินจริงเลย
โม่จวีรีบเอ่ย "คุณหนูเจ้าคะ มือทายาแล้วจะเขียนได้อย่างไร" เห็นคุณหนูทรมานแล้วนางก็พลอยเจ็บปวดไปด้วย อาจารย์ซ่งช่างโหดร้ายเสียจริง
อวี้ซีตอบพร้อมรอยยิ้ม "ใช้มือขวาไม่ได้ ใช้มือซ้ายก็ได้"
ชาติก่อนนางไม่เป็นที่โปรดปรานในตระกูลเจียงและไม่ชอบเข้าสังคม ใช้เวลาทั้งวันอยู่ในเรือน นอกจากปักผ้าแล้วก็ทำสิ่งอื่นไม่เป็นอีก นางเบื่อหน่ายกับการปักผ้าทุกวัน ครั้งหนึ่งจึงลองใช้มือซ้ายปักผ้า ฝึกฝนมาหลายปีจนทำได้สำเร็จ ถึงกระนั้นนางก็ไม่ได้ถนัดเขียนมือซ้าย เมื่อลงมือเขียนจึงควบคุมแรงได้ไม่ดี ตัวอักษรที่เขียนออกมาจึงเป็นเพียงหมึกก้อนหนึ่ง เมื่อควบคุมแรงได้ดีแล้วค่อยเขียนพอดูได้ ทว่าตัวอักษรเหล่านี้ก็ยาวและหนาไม่เท่ากัน ดูแล้วอุจาดตาไม่น้อย
แม่นมเซินมองอวี้ซีด้วยความตกใจ นางไม่คาดคิดว่าคุณหนูสี่จะมีความสามารถเช่นนี้ ส่วนโม่จวีก็อ้าปากค้างและพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
อวี้ซีใช้เวลาสองเท่าในการทำการบ้านที่เหลือให้เสร็จ เมื่อเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาเข้านอนจึงหยิบตำรามาทบทวน
โม่จวีเห็นเทียนใกล้มอดหมดแล้ว จึงไปหยิบมาจุดเพิ่มอีกหนึ่งเล่ม