ตอนที่ 42: เลือดต้องล้างด้วยเลือด
ตอนที่ 42: เลือดต้องล้างด้วยเลือด
ส่วนผู้ชายคนนั้นนอนอยู่บนเตียง ฟังเสียงสายฝนและมองดูหญิงชราน่ารังเกียจข้างกายด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย เมื่อคิดถึงสาวงามผุดผ่องที่ได้เห็นจากนอกบ้าน เขาก็รู้สึกปากแห้งจนไม่อาจข่มตาหลับได้ทั้งคืน
ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่เขาได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้นอย่างแผ่วเบา
ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาต้องลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง แล้วเมื่อมองผ่านรอยแยกของประตู เขาก็เห็นนักปราชญ์ปลอมตัวเป็นผู้ชาย ความปรารถนาภายในพลันพลุ่งพล่าน เขาหันไปมองภรรยาก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินตามนางไป
ในช่วงเช้าตรู่ที่โลกมืดที่สุด ไร้ซึ่งแสงจันทร์แสงดาว มีเพียงพื้นดินโคลนหลังจากฝนตกเท่านั้น
ผู้ชายมองร่างผอมบางกำลังเดินอย่างรวดเร็วอยู่ไม่ไกลขณะคิดถึงฉากวสันต์อันงดงามที่ได้เห็นจากนอกบ้านเมื่อคืน เขาสืบเท้ายาวสองสามครั้งก่อนจะซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ข้างทางที่ผู้หญิงปลอมตัวเป็นนักปราชญ์ต้องเดินผ่านก่อนจะออกจากหมู่บ้าน
เมื่อนางเดินผ่านมา ผู้ชายจึงพุ่งเข้าใส่พร้อมเอามือหยาบกร้านปิดปากกับจับเอวด้วยมืออีกข้าง ก่อนร่างผอมบางอ่อนแอจะทันได้ขัดขืนก็ถูกลากเข้าไปในพุ่มไม้เสียแล้ว
ภายใต้ท้องนภายามราตรีอันมืดมิด เสียงกรีดร้องต่ำยังคงดังมาจากพุ่มไม้ที่ทางเข้าหมู่บ้านเริ่นเจีย
เมื่อท้องนภาสดใส ผู้ชายจึงยกกางเกงแล้วเดินกลับบ้านด้วยความพึงพอใจ
หลังจากนั้น มือเปื้อนโคลนข้างหนึ่งยื่นออกมาจากพงหญ้า ตามมาด้วยร่างหนึ่งที่ใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งคืบคลานออกมาอย่างยากลำบาก เส้นผมยาวปิดแก้ม หากมองจากเรือนร่างย่อมแยกออกว่าเป็นผู้หญิง
ผู้หญิงอยู่ในอาการมึนงง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเผยให้เห็นว่าเป็นเครื่องแต่งกายของผู้ชาย นางลุกขึ้นมองท้องนภาด้วยดวงตาไร้ชีวิต หลังจากผ่านไปพักใหญ่ นางหันมองกลับไปที่หมู่บ้านด้วยความเกลียดชังสุดแสน
นางหยิบกล่องที่แตกขึ้นหลังแล้วเดินโซเซไปทางเมืองเพื่อรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่
ภายในเมือง เสียงกลองอันแผ่วเบาดังก้องอยู่นอกประตูศาลาว่าการ เป็นผู้หญิงที่เดินมารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่หลายสิบลี้
เสียงกลองดึงดูดผู้คนจำนวนมากบนท้องถนนให้เข้ามามุงดู
“ใครเป็นคนตีกลอง?”
ไม่ช้านักการจึงเดินออกมา
“พลเรือนหญิงไช่หลานขอฟ้องชาวบ้านในหมู่บ้านเริ่นเจีย…”
ไม่ช้าผู้หญิงนามไช่หลานจึงถูกนำตัวขึ้นศาล เสียงเคาะโต๊ะดังระงม แล้วเจ้าหน้าที่ว่าการจึงเริ่มสอบปากคำนาง
“คนที่อยู่ในห้องโถงเป็นใคร ต้องการรายงานสิ่งใด ว่ามาทีละอย่าง…”
ไช่หลานบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังทันที ทำให้ผู้คนที่มองดูอยู่ด้านนอกศาลาว่าการต่างหลั่งน้ำตาพร้อมกับแสดงความเห็นอกเห็นใจ
ทว่าเจ้าหน้าที่ว่าการได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยคำ “ไช่หลาน เจ้าเอาแต่บอกว่าตัวเองเป็นผู้สมัครที่กำลังเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อเข้ารับการสอบเป็นขุนนาง แต่ราชสำนักต้าเซี่ยได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าผู้หญิงไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการสอบ เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?”
“ในเมื่อเจ้าเป็นผู้หญิงแต่งตัวเป็นผู้ชาย เหตุใดชาวบ้านในหมู่บ้านเริ่นเจียถึงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้หญิงไปได้?”
“การแต่งตัวเป็นผู้ชายจะทำให้ผู้อื่นเกิดอารมณ์ราคาะได้อย่างไร?”
“ข้า…” ไช่หลานพูดอะไรไม่ออกและไม่ทราบว่าจะเริ่มจากตรงไหนชั่วขณะ
ผู้คนที่อยู่นอกศาลาว่าการหยุดทำตัวเป็นเจ้าหน้าที่และไม่รู้เศร้าโศกตอนผู้หญิงอีกต่อไป ในต้าเซี่ย ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์สอบเป็นขุนนาง นี่คือความจริงที่มิอาจโต้แย้งได้
“เหอะ… ในความเห็นของข้า เห็นได้ชัดว่าเจ้ากำลังรายงานเท็จ แต่เห็นแก่ว่าเป็นผู้หญิง ข้าจะแสดงความเมตตาด้วยการไม่ลงโทษด้วยการโบย อีกเดี๋ยวเจ้าจะถูกส่งตัวไปที่เรือนจำเพื่อคุมขังไว้หนึ่งวันเป็นการลงโทษ” เจ้าหน้าที่ว่าการคนหนึ่งพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา
เสียงฆ้องดังขึ้น
“เลิกศาล”
“ไม่ยุติธรรม ช่างไม่ยุติธรรม… ข้าคือผู้หญิงมากพรสวรรค์ที่สุดแห่งเขตศาลาน้ำบ่า ข้าไม่อยากให้พรสวรรค์สูญเปล่า จึงปลอมตัวเป็นผู้ชาย…”
แม้ไช่หลานจะตะโกนเสียงแต่กลับเปล่าประโยชน์ นางยังไม่สามารถเปลี่ยนชะตาจากการถูกจองจำได้
แม้เรือนจำชื้นและหนาวเย็น แต่ไม่หนาวเหน็บเท่ากับหัวใจของนาง
หนึ่งวันต่อมา นางได้รับการปล่อยตัว
นางเดินไปตามถนนด้วยสภาพสับสนและไม่ทราบว่าจะไปแห่งหนใด จนกระทั่งมีร่างทั้งสามยืนขวางทาง นางเงยหน้าขึ้นก่อนจะถอยหนีจนล้มลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัว
“กรี้ด…”
มันคือไอ้เดียรัจฉาน
“เหอะเหอะ… นังตัวเหม็น เจ้าถึงกับวิ่งมาที่เมืองเพื่อรายงานกับเจ้าหน้าที่ แต่ไม่รู้หรือว่าเคยมีเซียนอยู่ในหมู่บ้านเริ่นเจีย? มีใครในพื้นที่รอบข้างบ้างที่กล้าก้าวก่ายเรื่องของพวกข้าหมู่บ้านเริ่นเจีย”
ผู้ชายยิ้มเยาะขณะยื่นมือหยาบกร้านเพื่อจับแขนของไช่หลาน มือของเขาประหนึ่งคีมเหล็กคู่หนึ่งที่จองจำอิสรภาพของไช่หลานเอาไว้ได้ในทันที ไม่ว่านางตะโกนเท่าไหร่ก็เปล่าประโยชน์
“ไอ้เดียรัจฉาน ไอ้เดียรัจฉาน…”
ผู้ชายอีกสองคนเดินตามชายวัยกลางคนพร้อมกับถูมือและเผยรอยยิ้มน่ารังเกียจออกมาเช่นกัน จากนั้นจึงยื่นเขี้ยวเล็บเข้าหาไช่หลาน
“ต่อให้ข้ากลายเป็นผีก็ไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่…”
“กลายเป็นผีหรือ? เหอะเหอะ ผีคือสิ่งที่ข้ากลัวน้อยที่สุด” ชายวัยกลางคนอุ้มไช่หลานขึ้นหลังแล้วสาวเท้ากลับหมู่บ้าน
ตกกลางคืน นอกหมู่บ้านเริ่นเจีย สถานที่เดิม ผู้หญิงคนเดิม ประสบการณ์เดิม แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือมีเพิ่มมาอีกสองคน
เปรี้ยง!
เกิดฟ้าแลบแวบพร้อมกับฝนที่เทลงมาอย่างหนัก
“อาจง… นะ นางตายแล้ว” ผู้ชายอายุน้อยสุดแตกตื่นเล็กน้อย
“จะตื่นตระหนกไปใย ตายก็คือตาย เอาไปโยนในหลุมศพรวม ไม่มีใครไปที่นั่น แถมยังมีสุนัขเร่ร่อนอยู่เต็มไปหมด เพียงไม่กี่วันก็ไม่เหลือแม้แต่กระดูกแล้ว”
“เหอะเหอะ อาจงช่างปราดเปรื่องเหลือเกิน…”
“จริงสิ ข้าใช้โอกาสนี้พาพวกเจ้าสองคนไปกินเนื้อดีกว่า อย่าลืมเอาของดีมาที่บ้านข้าเพื่อฉลองปีใหม่ด้วยล่ะ…”
“แน่นอนแน่นอน อาจงไม่ต้องห่วง…”
…
ผู้หญิงนามไช่หลานถูกโยนลงไปในหลุมศพรวมด้านหลังหมู่บ้านเริ่นเจียซึ่งมีหลุมศพกระจัดกระจายอยู่ทุกหนแห่งขณะสายลมเย็นเยือกพัดพา
หลังจากผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ อากาศสีดำกลุ่มหนึ่งจึงรวมตัวเข้าด้วยกัน สายลมส่งเสียงหวีดหวิว ภูตผีกรีดร้องพร้อมกับหมาป่าที่หอนดังระงม พวกมันมารวมตัวกันที่ศพใหม่ที่หลุมศพรวม แล้วเงาภูตผีสีดำร่างหนึ่งจึงค่อยก่อตัวขึ้นมา
“หมู่บ้าน… เริ่น… เจีย…”
“ข้าจะให้พวกเจ้าชดใช้ด้วยเลือด…”
“กรี้ด…”
…
…
หมู่บ้านเริ่นเจีย โถงบรรพชนเริ่นเจีย
พวกหวังฝูทั้งสามขมวดคิ้วขณะมองดูร่างทั้งสามที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาวบนพื้น
“ท่านเซียนทั้งสาม นี่คือร่างของพวกเริ่ิ่นจงทั้งสาม” เริ่นต้าเวยปิดจมูกขณะชี้ไปที่พื้น
ถานซานหยวนโบกมือ แล้วผ้าสีขาวจึงถูกยกขึ้นจนเผยให้เห็นมัมมี่สามร่าง ร่างกายซีดเผือด ดวงตาเบิกโพลง สีเทาไร้ชีวิต แม้ตายไปแล้วก็ไม่อาจข่มตาหลับได้
“จุ๊จุ๊… ถูกดูดกลืนจนแห้ง แต่ถ้าเป็นจริงดังที่หัวหน้าหมู่บ้านเริ่นว่า สามคนนี้ก็ทำตัวเองทั้งนั้น” หวังฝูหรี่ตาขณะฟังหัวหน้าหมู่บ้านเริ่นเล่าเรื่อง เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายตายสบายเกินไป “ผู้หญิงแซ่ไช่แก้แค้นเพื่อตัวเองเช่นกัน”
การที่ชายร่างใหญ่สามคนรังแกหญิงสาวผู้อ่อนแอที่จากบ้านเกิดเมืองนอนช่างเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจนัก เนื่องจากหมดหวังกับการรายงานให้ทางการทราบจนไร้ที่ไป สุดท้ายก็กลายเป็นวิญญาณร้ายมาพรากชีวิตคนทั้งสามไป
หวังฝูคิดว่าหญิงสาวแซ่ไช่ไม่ได้ทำอะไรผิด เขาเข้าใจเรื่องนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว หากฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต หากติดหนี้ใครก็ต้องใช้คืนให้ครบถ้วน
“ใครบอกว่าไม่จริงกัน หญิงสาวคนนั้นช่างน่าสงสารเหลือเกิน” เริ่นต้าเวยถอนหายใจ
“พวกเขาสมควรถูกสับนับพันชิ้น” ต่งซินโบกมืออย่างเดือดดาลขณะพลังวิญญาณพลุ่งพล่าน หวังฝูเกือบคิดว่าอีกฝ่ายจะลงมือหั่นศพ ทำให้อดไม่ได้ที่จะถอยออกมาสองก้าว
ทว่า ถานซานหยวนกลับขมวดคิ้ว
“ศิษย์น้องหวัง ศิษย์น้องหญิงต่ง เรื่องนี้อาจไม่เรียบง่ายอย่างที่ตาเห็น… หาไม่แล้วหัวหน้าหมู่บ้านเริ่นไม่ขอให้พวกเราช่วยหรอก” เขาเอ่ยคำ “วิญญาณชั่วร้ายสูบเลือดของชายสามคนเข้าไป ตอนนี้จึงทรงพลังขึ้นไม่น้อย ชาวบ้านในหมู่บ้านเริ่นเจียต่างตกอยู่ในอันตราย หากมันดูดกลืนเข้าไปอีกสองสามคนก็จะตัดขาดการเชื่อมต่อกับกระดูกตัวเองจนหลบหนีไปที่อื่นได้ ซึ่งมันคงไม่ดีนัก”
“พวกเราต้องกำจัดมัน”