ตอนที่ 40: หมู่บ้านเริ่นเจีย
ตอนที่ 40: หมู่บ้านเริ่นเจีย
ศิษย์พี่หวังฝู ท่านยังจำข้าได้หรือไม่?”
หญิงสาวในชุดเหลืองแทรกตัวเข้ามาระหว่างทั้งสองขณะจับจ้องหวังฝูด้วยดวงตาโตที่มีน้ำตาคลอเบ้า
เมื่อเห็นเช่นนี้ ถานซานหยวนมองพวกเขาทั้งสองพลางหัวเราะ จากนั้นเดินออกไปอย่างรู้งาน
เปลือกตาของหวังฝูกระตุก เขาจำไม่ได้ว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นใคร
“ศิษย์น้องหญิง โปรดอภัยให้กับความมืดบอดของข้าด้วย…”
“ศิษย์พี่ลืมคนสำคัญจริงด้วย” หญิงสาวในชุดเหลืองทำหน้ามุ่ย จากนั้นจึงแย้มยิ้ม “ศิษย์พี่ลืมไปแล้วหรือ? เมื่อประมาณสองปีก่อน ตอนที่ท่านทะลวงถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบ ข้าพาท่านไปตำหนักกิจการทั่วไปของสำนักชั้นในเพื่อรับอาวุธวิเศษกับชุดคลุม…”
หลังจากอีกฝ่ายเอ่ยคำเช่นนี้ ในที่สุดหวังฝูจึงจำบางอย่างขึ้นมาได้ ตอนแรกเขาทะลวงสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบก่อนจะพบกับอาจารย์ลุงหลี่อี้ แต่อาจารย์ลุงหลี่อี้มีบางอย่างต้องไปทำก็เลยให้ศิษย์คนหนึ่งที่อยู่ข้างทางพาหวังฝูไปตำหนักกิจการทั่วไป คนผู้นั้นก็คือหญิงสาวชุดเหลือที่อยู่ตรงหน้า
คิดว่านางน่าจะชื่อต่งซิน
กลายเป็นว่าต่งซินเพิ่งมาถึงสำนักชั้นในได้ไม่นาน หลังจากพาเวียนวนไปมาอยู่หลายครั้งจนหวังฝูเกือบจะอาเจียนออกมา เมื่อนั้นจึงพบทางไปยอดเขาตะวันลาลับกับตำหนักกิจการทั่วไปของสำนักชั้นใน
“ศิษย์พี่จำได้แล้ว…”
“แค่กแค่ก ตอนนี้ข้าจำได้แล้ว เป็นศิษย์พี่หญิงต่งที่ไม่รู้ทางนี่เอง แต่ตอนนี้ข้าควรเรียกว่าศิษย์น้องหญิงต่งสินะ” หวังฝูยิ้ม
“ตอนนั้นข้าเพิ่งมาถึงสำนักชั้นใน” ต่งซินหน้าแดง
“ฮ่าฮ่า…” หวังฝูหัวเราะเสียงดังขณะคิดว่าหญิงสาวผู้นี้น่าสนใจไม่เบา ไม่เพียงแต่หน้าแดงเวลาเห็นผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังพาคนหลงทิศหลงทางอีกด้วย “ช่างบังเอิญนักที่พวกเราสามคนมาพบกัน ศิษย์พี่ถานกับข้าเคยพบกันมาก่อน”
“เรื่องบังเอิญนั่นแหละ” ดวงตาโตของต่งซินหรี่ลงเพราะรอยยิ้ม
แต่นางทราบอยู่แก่ใจว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ซึ่งนางมาที่นี่ได้ก็เพราะแผนที่วางเอาไว้ นางคือลูกสาวของเจ้าตระกูลต่ง จึงได้ทำการขอศิษย์ในตระกูลเพื่อจับตาดูหวังฝูผ่านเครือข่ายตระกูล ทว่าหวังฝูอยู่แต่ในตำหนักยันต์ล้ำเลิศ ปีนี้นางจึงคาดเดาว่าหวังฝูจะต้องรับผิดชอบงานทั่วไปของสำนักก่อนจะทำการจับตาดูที่ตำหนักกิจการทั่วไปของสำนักชั้นใน แล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน หวังฝูเพิ่งรับภารกิจนี้ พอนางทราบข่าวจึงทำการรับภารกิจนี้ตามทันที
ต่งซินชอบหวังฝู แต่ไม่ใช่เพียงแค่ตกหลุมรักหวังฝูครั้งแรกในระยะเวลาอันสั้นเมื่อสองปีก่อน แต่ยังเป็นเพราะพ่อของนางอยากให้นางหาผู้สร้างยันต์มาเป็นลูกเขย หาไม่แล้วนางจะไม่สามารถระดมศิษย์สายในคนอื่นของตระกูลในสำนักด้วยเครือข่ายและเส้นสายที่มีได้อีก
หวังฝูมีภูมิหลังสะอาดสะอ้านและเป็นปรมาจารย์ยันต์วิญญาณที่ไม่มีภูมิหลังอย่างอื่น ซึ่งมันตรงตามมาตรฐานการเป็นลูกเขยในใจของเจ้าตระกูลต่งอย่างสมบูรณ์แบบ
ภายใต้สถานการณ์ทั้งสองนี้ ต่งซินกับพ่อของนางต่างคิดเห็นตรงกันทันที
แน่นอนว่าเหนือสิ่งอื่นใดก็คือต่งซินเองก็ชอบหวังฝู
“หลังจากนี้ก็รอคนสุดท้ายที่มาช้ากว่าข้า อยากรู้เหลือเกินว่าเป็นใคร” หวังฝูย่อมไม่ทราบว่าต่งซินกำลังคิดอะไร เขาเพียงอยากเสร็จภารกิจให้ไวแล้วกลับสำนักเพื่อทำการฝึกฝน
เขาต้องฝึกฝนไปถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบสามก่อนจะเตรียมการทะลวงสู่ขอบเขตสร้างรากฐาน
เขาทราบแล้วว่าจะหาวิธีได้ยาเม็ดสร้างรากฐานมาอย่างไร เขาจะวาดยันต์ระดับสูงที่ยากที่สุดที่ถูกบันทึกไว้ในตำหนักยันต์ล้ำเลิศมาสามใบ ขอเพียงวาดสำเร็จหนึ่งใบ สำนักก็จะมอบยาเม็ดสร้างรากฐานให้โดยไม่ถามไถ่อะไร หากสามารถวาดทั้งสามใบได้ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้สิทธิ์ในเส้นปราณปฐพีแห่งต้าเซี่ยในโอกาสต่อไป
“เขาหรือ... เหอะเหอะ… อาจจะคิดว่าเช้าเกินไปก็ได้” ถานซานหยวนเย้ยหยัน
“ศิษย์พี่ถานพูดอะไรหรือ?” หวังฝูสับสน
“เจ้ารู้จักตระกูลซุนหรือไม่” ถานซานหยวนไม่ตอบตามตรง แต่กลับถามหวังฝูแทน
“ข้ารู้จัก หนึ่งในสามตระกูลแข็งแกร่งที่สุดของสำนักขนนกร่วงโรย บรรพชนคือผู้อาวุโสซุนเฉียน เจ้ายอดเขาขีดสุด” หวังฝูเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
เมื่อมาถึงซุนเฉียน เขาจึงนึกถึงจ้าวเจ๋อหลินที่เคยกลั่นแกล้งเมื่อนานมาแล้ว จ้าวเจ๋อหลินคือศิษย์เอกของซุนเฉียน หวังฝูคอยสอบถามเกี่ยวกับอีกฝ่ายมาหลายปีจนทราบว่าจ้าวเจ๋อหลินทำการทะลวงถึงขอบเขตสร้างรากฐาน ซึ่งตอนนี้ก็ครองตำแหน่งสำคัญในโถงพิทักษ์กฎ
แม้อีกฝ่ายจะลืมมดตัวนี้ไปนานแล้ว แต่น่าเสียดายที่หวังฝูยังจำได้ไม่มีวันลืม
“ศิษย์พี่ถานกำลังจะบอกว่าคนที่สี่คือสมาชิกของตระกูลซุนหรือ?”
ถานซานหยวนพยักหน้า “ถูกต้อง ซุนเลี่ยงคือหลานชายรุ่นที่หกของปรมาจารย์ซุนเฉียน อีกทั้งเป็นเจ้าหนุ่มเสเพลที่การฝึกฝนอยู่แต่กับการสร้างโอสถ ข้าเองก็ถูกลากมาที่นี่เพราะอาจารย์อาขอบเขตสร้างรากฐานแห่งตระกูลซุนขอให้ปกป้องเขาพร้อมกับทำภารกิจให้ลุล่วง หาไม่แล้วข้าคงไม่รับงานนี้ไม่ว่าจะให้หินวิญญาณเท่าไหร่ก็ตาม”
“ซุนเลี่ยง…” หวังฝูเอ่ยคำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ทั้งสามคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเองขณะนั่งบนม้านั่งหินในศาลาเพื่อรอคอยอีกชั่วโมงครึ่ง แล้วเรือเวหาสีทองจึงค่อยใกล้เข้ามา ทันทีที่เรือเทียบเคียงก็มีชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมหรูหราเดินโซเซเข้ามาในศาลาพร้อมกับกลิ่นสุราฉุนที่ลอยฟุ้งไปทั่ว
เมื่อเห็นถานซานหยวนลุกขึ้น หวังฝูจึงทราบว่าลูกพี่ตัวจริงมาถึงแล้วก่อนจะใช้งานวิชาเนตรสวรรค์ หวังฝูประหลาดใจเล็กน้อยที่ซุนเลี่ยงไปถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบสอง
เป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่จริงด้วย
แต่ที่ทำให้หวังฝูประหลาดใจยิ่งกว่าคือซุนเลี่ยงมียันต์ที่เขาวาดอยู่กับตัวเช่นกัน นอกจากจะมีหลายใบแล้ว ยังมียันต์ธรรมดากับยันต์วิญญาณอีกมากมายรวมอยู่ด้วย
“คนไหนคือถานซานหยวน?” ซุนเลี่ยงเรอออกมา แล้วศาลาซึ่งระบายอากาศได้ดีทุกด้านก็ส่งกลิ่นสุราเข้มข้นออกมาทันที
หวังฝูอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ต่งซินปิดจมูกป้องปากด้วยมือข้างหนึ่งขณะพัดโบกอากาศตรงหน้าด้วยมืออีกข้าง
ถานซานหยวนตอบกลับอย่างสงบ “ข้าเอง ผู้อยู่ตรงหน้าคือศิษย์น้องซุนเลี่ยงใช่หรือไม่?”
“ข้านี่แหละซุนเลี่ยง เอ๊อะ… แต่ข้าไม่ใช่ศิษย์น้องของเจ้า พวกเราต่างอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบสอง แล้วเหตุใด… เอ๊อะ… ข้าต้องเป็นศิษย์น้องเล่า” ซุนเลี่ยงเรอไม่หยุด
“ศิษย์น้องซุนเมาแล้ว รีบพยายามไปให้ถึงหมู่บ้านเริ่นเจียก่อนฟ้ามืดดีกว่า” ถานซานหยวนยังคงอารมณ์ดีและเปี่ยมด้วยหลักการ เขามีระดับการฝึกฝนสูง ดังนั้นจึงนับว่าเป็นศิษย์พี่ มีหรือที่เขาจะยอมเรียกว่าศิษย์พี่ซุนเลี่ยง
“ก็ดี” ซุนเลี่ยงแย้มยิ้มโดยไม่ทราบว่าเป็นเพราะเมาหรืออะไร อีกทั้งไม่ได้สืบสาวเรื่องเมื่อครู่ต่อ “เช่นนั้นไปกันเถอะ”
หวังฝูสัมผัสได้ชัดเจนว่าถานซานหยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขาทั้งสี่ควบคุมอาวุธวิเศษบินได้ก่อนจะทะยานออกจากประตูสำนัก จากนั้นผ่านหมอกหนาของค่ายกลพิทักษ์สำนักก่อนจะมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเริ่นเจียตามคำแนะนำในแผนที่ภารกิจ
ในบรรดาทั้งสี่คน มีเพียงหวังฝูที่เป็นอาวุธวิเศษบินได้ใบไม้เขียวขั้นกลาง ส่วนอีกสามคนเป็นเรือเวหา โดยเฉพาะเรือเวหาของซุ่นเลี่ยงเป็นอาวุธวิเศษขั้นสูงสุดที่มีความรวดเร็วมหาศาล
อาวุธวิเศษบินได้ใบไม้เขียวขั้นกลางย่อมช้ากว่ามากอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ข้าขอพูดอะไรหน่อย เจ้าเร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ? ขืนทำภารกิจข้าล่าช้า เจ้าได้เจอดีแน่” ซุนเลี่ยงนั่งบนเรือเวหาหรูหราสีทองขณะเร่งเร้าให้หวังฝูผู้ช้ากว่าใครเขารีบตามมาอย่างหงุดหงิด
หวังฝูอันจนหนทาง
“ศิษย์พี่ มานั่งกับข้าสิ” ต่งซินเชื้อเชิญด้วยใบหน้าแดงก่ำ
หวังฝูไม่มีทางเลือกนอกจากตอบตกลง เขาไม่อยากฟังคำเร่งเร้าของซุนเลี่ยงเช่นกัน
“รบกวนศิษย์น้องหญิงต่งแล้ว”
“อย่าได้ถือสา” ต่งซินลอบยินดี
หลังจากกระโดดขึ้นเรือเวลาหาของต่งซินแล้ว ความเร็วของกลุ่มจึงเพิ่มขึ้นมาก หวังฝูคิดที่จะเปลี่ยนเป็นเรือเวหาทันทีหลังจากกลับไปที่สำนักอีกครั้ง
พวกเขาไม่ได้หยุดแวะกลางทางจนในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านเริ่นเจียตอนตะวันตกดิน
ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านเริ่นเจียเข้าสำนักชั้นในของสำนักขนนกร่วงโรย แม้จะล่วงลับไปแล้ว แต่ตามกฎของสำนัก สำนักจะต้องปกป้องหมู่บ้านเริ่นเจียเป็นเวลาห้าสิบปี ด้วยเหตุนี้หมู่บ้านเริ่นเจียจึงเดินทางมานับพันลี้เพื่อขอความช่วยเหลือจากสำนักขนนกร่วงโรย
สำนักขนนกร่วงโรยตั้งกฎนี้ขึ้นมาไม่ใช่เพียงเพื่อเอาใจศิษย์ของสำนักเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสวงหาสายเลือดใหม่ให้กับสำนักด้วย ถึงอย่างไรคนที่มีรากฐานวิญญาณหนึ่งคนได้ปรากฏขึ้นในหมู่บ้าน มันจึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีคนที่สองปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน
หัวหน้าหมู่บ้านเริ่นเจียคือชายวัยกลางคนร่างกำยำ เมื่อพวกหวังฝูทั้งสี่เคลื่อนลงมาจากท้องนภา หัวหน้าหมู่บ้านจึงออกมาต้อนรับพวกเขาที่ทางเข้าหมู่บ้านพร้อมกับคุกเข่ากับเพื่อแสดงความเคารพนอบน้อมในทันที
หวังฝูมองเห็นฉากของหมู่บ้านอู๋ถงอย่างเลือนรางเมื่อสิบปีก่อน
ในตอนนั้นที่อวิ๋นหนิงซวงมาเยือน ชาวบ้านของหมู่บ้านอู๋ถงก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันใช่หรือไม่?
ระหว่างเซียนกับมนุษย์มีความแตกต่างกัน ในสายตาของชาวบ้านเหล่านี้ พวกเขาคือเซียนผู้มีอำนาจสูงส่งและยิ่งใหญ่