ตอนที่ 39: หน่วย
ตอนที่ 39: หน่วย
ยันต์มังกรเหลืองคือยันต์วิญญาณระดับสูง หวังฝูสัมผัสได้ว่าจิตเทวะอ่อนกำลังหลังจากทำการวาดหนึ่งใบ เขาประเมินว่าสามารถวาดยันต์ได้มากสุดสี่ใบต่อหนึ่งวัน
หวังฝูยังคงวาดต่อไป แต่กลับล้มเหลวสองครั้งติดต่อกัน แม้เขาจะดึงจิตเทวะสุดท้ายออกมา แต่ก็ยังล้มเหลว
“ได้หนึ่งใบต่อหนึ่งวันก็ไม่เป็นไร ไปนอนพักหน่อยดีกว่า”
หวังฝูเข้าสู่ห้วงนิทราหลังจากใช้จิตเทวะมากเกินไป
วันรุ่งขึ้นตอนเที่ยง หวังฝูค่อยตื่นขึ้นมา ทันทีที่ลืมตาขึ้นจึงรู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่ง ส่วนระยะของจิตเทวะก็มากกว่าเมื่อวาน
“นี่มัน… ระดับของจิตเทวะที่อยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบสาม” ดวงตาของเขาทอประกายจนแทบจะอุทานออกมา
ยิ่งจิตเทวะกับพลังวิญญาณก้าวหน้ามากเท่าไหร่ ความยากในการฝึกฝนยิ่งมากตามไปด้วย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาทำการวาดยันต์ ฝึกฝนจิตเทวะและสร้างของเหลววิญญาณจากยาเม็ดเหลือทิ้งผ่านหม้อขนาดเล็กอย่างต่อเนื่อง เขาฝึกฝนทั้งวันทั้งคืนจนไปถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบเอ็ด แม้เส้นลมปราณจะปูดโปนด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ยังคงกดพวกมันเอาไว้จนถึงขีดจำกัด ขณะระดับพลังวิญญาณพัฒนาขึ้น จิตเทวะก็พัฒนาจนไปถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบสอง แต่น่าเสียดายที่เขาล้มเหลวในการไปถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบสาม
แม้ว่าจะผ่านการฝึกมาหลายวัน แต่ก็ยังไม่ทะลวงจุดวิกฤตินั้นไปได้
นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะทะลวงได้โดยไม่ต้องใช้กำลังแต่อย่างใด
ระยะของจิตเทวะของขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบสองอยู่ในรัศมียี่สิบห้าจั้ง ตอนนี้มันพัฒนาเป็นภายในรัศมีสามสิบจั้ง กลายเป็นระยะทางหนึ่งร้อยเมตร
ภายในหนึ่งร้อยเมตร อาวุธวิเศษสามารถทำงานได้ง่ายประหนึ่งใช้แขนขา
“พรสวรรค์ของศิษย์พี่สือหมิ่นไม่ดีเท่าของเรา เขาเหนือกว่าได้ก็เพราะอาศัยการฝึกฝนระดับสิบสามขั้นสมบูรณ์แบบกับจิตเทวะ แต่ตอนนี้จิตเทวะของเราไปถึงระดับนี้แล้วเหมือนกัน เหอะเหอะ… ครั้งต่อไปเราจะแข่งขันเพื่อชิงฉายาปรมาจารย์ยันต์วิญญาณคนแรกของศาลาช่างประดิษฐ์ เราอยากได้พู่กันยันต์ที่เทียบได้กับอาวุธวิเศษขั้นสูงสุดมานานแล้ว” หวังฝูสัมผัสได้ถึงจิตเทวะทรงพลังภายในหนึ่งร้อยเมตร เมื่อคิดถึงพู่กันยันต์วิญญาณแดงที่อยู่ในมือของสือหมิ่นก็เกิดเลียริมฝีปากขึ้นมา
“น่าเสียดายที่ยังเร็วเกินไปสำหรับการแข่งขันการสร้างยันต์ครั้งต่อไป ภารกิจเร่งด่วนในตอนนี้คือการวาดยันต์มังกรเหลือง มันคือไพ่ตายชั่วชีวิต”
หวังฝูเริ่มวาดยันต์มังกรเหลืองอีกครั้ง
ความแข็งแกร่งของจิตเทวะขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบสามขั้นสมบูรณ์แบบย่อมต่างออกไป เขาวาดยันต์มังกรเหลืองได้สามใบติดต่อกัน แม้คุณภาพของยันต์ใบที่สามจะไม่ดีนัก แต่มันก็ยังนับว่าประสบความสำเร็จ ยิ่งกว่านั้นหวังฝูยังไม่รู้สึกเหนื่อยล้า เขาประเมินว่าสามารถวาดยันต์ได้สามถึงสี่ใบก่อนจะถึงขีดจำกัด
ในอีกไม่กี่วันถัดมา หวังฝูวาดยันต์มังกรเหลืองอย่างคลุ้มคลั่ง และแล้วก็ถึงวันที่เจียงเหยียนมารับยันต์ เมื่อนั้นเขาวาดยันต์มังกรเหลืองใบที่สิบสามเสร็จแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่อยู่คุณภาพสูง แม้กระทั่งสองใบยังไปถึงมาตรฐานสูงสุดด้วยซ้ำ
หวังฝูเต็มไปด้วยความภาคภูมิขนาดโยนยันต์มังกรเหลืองห้าใบไปที่หน้าของเจียงเหยียนทันที ซึ่งหนึ่งในนั้นคือยันต์มังกรเหลืองคุณภาพสูงที่มีความแวววาวประหนึ่งหยก
ในฐานะผู้ซื้อยันต์รายใหญ่ เจียงเหยียนย่อมเข้าใจว่าความแวววาวประหนึ่งหยกมีความหมายว่าอย่างไร
“ราคาของยันต์มังกรเหลืองในตำหนักยันต์ล้ำเลิศเท่ากับหินวิญญาณหนึ่งร้อยก้อน… เจ้าสามารถวาดเจ้านี่ได้ด้วยหรือ?” เจียงเหยียนไม่สนเรื่องที่โดนยันต์วิญญาณฟาดหน้า แต่กลับมองหวังฝูด้วยความตกตะลึง “แถมยังมีคุณภาพสูงหนึ่งใบอีก…”
ยันต์มังกรเหลืองคุณภาพสูงจะเป็นอีกราคา มันอยู่ราวหินวิญญาณหนึ่งร้อยยี่สิบก้อน
“ตอนนี้ข้าไม่มีหินวิญญาณให้เจ้า”
ยันต์มังกรเหลืองห้าใบ รวมกันแล้วก็เท่ากับหินวิญญาณระดับต่ำมากกว่าห้าร้อยก้อน เพื่อออกไปเก็บสมุนไพรวิญญาณในครั้งนี้ เจียงเหยียนจึงไม่มีเงินเหลือแม้แต่แดงเดียว
“ข้าบอกแล้วไงว่าติดไว้ก่อนได้” หวังฝูโบกมือโดยไม่สนใจแต่อย่างใด
เจียงเหยียนพยักหน้าแล้วไม่เอ่ยถึงหินวิญญาณอีก จากนั้นจึงใส่ยันต์วิญญาณเข้าถุงเก็บของโดยตรง
“ขอตัวก่อน”
“อย่าตายล่ะ” หวังฝูพยักหน้า “ต่อให้เจ้าตายข้าก็ไม่อยากเผากระดาษให้หรอกนะ”
เจียงเหยียนไม่แม้แต่หันศีรษะ เขาเพียงโบกมือแล้วออกจากลานกว้างของหวังฝูไปพร้อมกับแบกกระบี่ดำที่ไม่เคยออกห่างจากร่างกาย
“หน้าดำใหญ่ไปซะแล้ว ใกล้ถึงเวลาที่เราต้องไปด้วยเหมือนกัน”
ดังที่คาดไว้ ไม่ช้าแผ่นป้ายชื่อส่งข้อความเกี่ยวกับภารกิจมาให้
หวังฝูรีบตรวจสอบอุปกรณ์สวมใส่ขณะเก็บยันต์เข้าถุงเก็บของที่สามารถหยิบออกมาได้อย่างง่ายดาย ตามด้วยเก็บยันต์มังกรเหลืองบางส่วนไว้บริเวณใกล้กับหน้าอก จากนั้นหยิบอาวุธวิเศษออกมาตรวจสอบ
“จริงสิ เกือบลืมซื้อยาเม็ดเลย”
หวังฝูตบศีรษะขณะรีบอัญเชิญอาวุธวิเศษบินได้ใบไม้เขียวออกมาเพื่อทะยานไปทางตำหนักเพลิงโอสถ ส่วนเพื่อนร่วมทางอีกสามคนก็ปล่อยให้พวกเขารอไปก่อนแล้วกัน
เมื่อมาถึงตำหนักเพลิงโอสถ หวังฝูใช้แต้มความดีที่เหลือทั้งหมดเพื่อซื้อยาเม็ดปฐมสำหรับการรักษา ยาเม็ดฟื้นคืนวิญญาณสำหรับฟื้นฟูพลังวิญญาณและยาเม็ดหุบเขาราชัน
หวังฝูถึงขั้นใช้หินวิญญาณเพื่อซื้อยาเม็ดบ่มเพาะเบื้องต้นกับยาเม็ดกลั่นลมปราณซึ่งก่อนหน้านี้หาซื้อได้ยาก จากนั้นใช้หม้อขนาดเล็กกลืนกินพวกมันเพื่อกลั่นเป็นยาเม็ดเหลว
โอสถสองชนิดนี้เป็นโอสถที่เหมาะกับการฝึกฝนในขอบเขตกลั่นลมปราณที่สุด ซึ่งเงินเดือนของศิษย์สายในสามารถซื้อรวมกับยาเม็ดกลั่นลมปราณได้เพียงสิบเม็ดเท่านั้น แต่เป็นเพราะเศษโอสถและยาเม็ดเหลือทิ้งที่หยางหลุนกับฉีหลี่เตรียมไว้ให้จึงแทบไม่ต้องโอสถเพื่อพัฒนาการฝึกฝน แม้ของเหลวโอสถที่กลั่นจากตัวโอสถจะมีผลที่ดีกว่า แต่หวังฝูเสียดายเกินกว่าจะเอามาใช้ เขาคิดที่จะใช้โอสถเมื่อผลจากของเหลววิญญาณที่เกิดจากเศษโอสถและยาเม็ดเหลือทิ้งลดลงไปมากแล้ว
ตอนที่หวังฝูทะลวงถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบเอ็ด ของเหลววิญญาณที่เกิดจากเศษโอสถและยาเม็ดเหลือทิ้งจึงมีผลเพียงครึ่งเดียวจากของเดิม ประกอบกับภารกิจนี้ต้องไปทำข้างนอก เขาจึงต้องเตรียมยาเม็ดบางส่วนเพื่อพัฒนาการฝึกฝนและเสริมแกร่งรากฐานเผื่อกรณีฉุกเฉินเอาไว้
“ยาเม็ดบ่มเพาะเบื้องต้นกับยาเม็ดกลั่นลมปราณเป็นยาเม็ดที่เหมาะกับการพัฒนาการฝึกฝนในขอบเขตกลั่นลมปราณมากที่สุด ตอนซื้อขวดเหล่านี้บางส่วนก็ใช้หินวิญญาณไปเกือบครึ่ง ถือว่าค่อนข้างแพงเอาการ แม้กระทั่งปรมาจารย์ยันต์วิญญาณยังไม่สามารถหาซื้อได้ แล้วนับประสาอะไรกับผู้ฝึกตนธรรมดา”
หลังจากซื้อโอสถแล้ว หวังฝูจึงรีบไปจุดรวมพลที่ประตูสำนัก
ชายหนึ่งหญิงหนึ่งกำลังรออยู่ในศาลาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากประตูสำนักอย่างเงียบงัน
“ถึงกับมีคนที่มาถึงช้ากว่าข้า”
หวังฝูเก็บอาวุธวิเศษบินได้ใบไม้เขียวขณะเดินเข้าไปในศาลา
วิชาเนตรสวรรค์ถูกใช้งานทันที แล้วดวงตาของเขาจึงทอประกายอย่างรุนแรงก่อนจะทราบระดับการฝึกฝนของทั้งสองอย่างชัดเจน
ผู้ชายอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบสอง อีกเพียงก้าวเดียวก็จะถึงระดับสิบสาม ส่วนผู้หญิงอยู่ระดับสิบเอ็ดซึ่งเท่ากับของหวังฝู
“ศิษย์พี่หวังฝู”
ขณะมองทั้งสอง พวกเขาก็มองหวังฝูเช่นกัน โดยเฉพาะหญิงสาวในชุดเหลืองผู้โบกมือให้ด้วยความประหลาดใจทันทีที่เห็นหวังฝู
หวังฝูสับสนเล็กน้อย เขาจำไม่ได้ว่าเคยปฏิสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับหญิงสาวในชุดเหลืองหรือไม่ ดังนั้นจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้มสุภาพ
หญิงสาวในชุดเหลืองวิ่งเข้ามาหาหวังฟฝูด้วยท่าทางเขินอาย หวังฝูยิ่งรู้สึกสับสน แต่โชคดีที่เสียงของผู้ชายดังขึ้น ทำให้หวังฝูรู้สึกโล่งอกก่อนจะหลบสายตาของหญิงสาวทันที
“ศิษย์น้องหวังฝู…”
“คารวะศิษย์พี่” หวังฝูโค้งคำนับเล็กน้อย
“อะไร? จำข้าไม่ได้หรือ ข้าซื้อยันต์จากเจ้าที่ตำหนักยันต์ล้ำเลิศไง” ศิษย์พี่ยิ้มเล็กน้อยด้วยท่าทางสุภาพ
หวังฝูสัมผัสได้ถึงบางอย่างก่อนจะรู้สึกผ่านวิญญาณยันต์ว่าศิษย์พี่ตรงหน้ามียันต์ที่เขาวาดอยู่กับตัว ขอเพียงต้องการ เขาสามารถสั่งใช้งานยันต์บนร่างของอีกฝ่ายได้ทันที
“ฮ่าฮ่า…” หวังฝูหัวเราะ “เป็นศิษย์พี่ท่านนั้นเอง การวาดยันต์มันน่าปวดหัวเกินไป ความจำของข้าจึงไม่ค่อยดี ศิษย์พี่โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
“ศิษย์น้องหวังฝูก็พูดเล่นไปเรื่อย ยันต์ที่เจ้าวาดเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ศิษย์ขอบเขตกลั่นลมปราณในสำนัก นึกไม่ถึงว่าจะได้พบศิษย์น้องในภารกิจนี้ ช่างเป็นเกียรติกับข้าเช่นกัน” ศิษย์พี่ส่ายหน้าแล้วยิ้มเล็กน้อย จากนั้นจึงโค้งคำนับ “ถานซานหยวน ครั้งนี้ถือว่าเป็นการทำความรู้จักกับศิษย์น้องอย่างเป็นทางการแล้วกัน”
“ด้วยความยินดี ศิษย์พี่ถาน” หวังฝูรีบโค้งคำนับตอบ
ทั้งสองแย้มยิ้มให้กัน
เขาคือปรมาจารย์ยันต์วิญญาณ แถมยังเป็นปรมาจารย์ยันต์วิญญาณผู้มากพรสวรรค์ ไม่ว่าไปที่ใดก็เลื่องชื่อลือชา การได้อยู่หน่วยเดียวกันนับว่ามีปืนใหญ่เคลื่อนที่เพิ่มมาหนึ่งกระบอกหรือไม่?
ถานซานหยวนสามารถรับมือกับน้ำหนักของหวังฝูได้