ตอนที่แล้วตอนที่ 16 อาจารย์ซ่ง (2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 18 อาจารย์ซ่ง (4)

ตอนที่ 17 อาจารย์ซ่ง (3)


ตอนที่ 17 อาจารย์ซ่ง (3)

โม่จวีสายตาแหลมคม ทันที่ที่เห็นคนยืนอยู่หน้าห้องก็รีบกระซิบบอกข้างหูอวี้ซี

อวี้ซีไม่โต้เถียงและนั่งลงด้านหลังอย่างว่าง่าย แม้จะไม่กลัวเรื่องต่างๆ แต่นางก็ไม่อยากให้อาจารย์ไม่ประทับใจในตนเองตั้งแต่วันแรกเพราะทะเลาะกับพี่สาว

ได้เลือกที่นั่งแล้วสาวใช้ของอวี้เฉินก็รีบนำผ้าขาวมาเช็ดโต๊ะและเก้าอี้ ก่อนปูผ้าปูโต๊ะและเบาะรองนั่งให้

อวี้ซีมองโต๊ะเก้าอี้ที่สะอาดไร้ฝุ่นละออง ในหัวไม่เข้าใจว่ามีอะไรให้เช็ด

กระทั่งสาวใช้ของอวี้เฉินจัดเครื่องเขียนเรียงรายเป็นระเบียบเสร็จสรรพ มันก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที เครื่องเขียนชุดนี้ทำจากหยกเขียวชั้นดี แต่ละชิ้นแกะสลักลวดลายโบราณ มองดูก็รู้ได้ทันทีว่ามีค่ามาก

เดิมทีอวี้ซีคิดว่าเครื่องเขียนของตนดีมากแล้ว แต่เมื่อเทียบกับของอวี้เฉินแล้วก็กลายเป็นของไร้ค่าในทันที

ซื่อชูมองแววตาละโมบของอวี้ซีอย่างดูหมิ่น ไม่พอใจที่คุณหนูสี่ผู้นี้ก่อนป่วยนั้นอ่อนแอราวกับจะล้มยามต้องลม ทว่าหลังหายป่วยแล้วร่างกายกลับแข็งแรงขึ้น แต่สายตาของเจ้าตัวกลับตื้นขึ้นมาก คราวก่อนเห็นผ้าปักสองด้านของคุณหนูของนางก็ส่งสายตาเป็นประกาย บัดนี้ได้เห็นเครื่องเขียนก็ยังส่งสายตาเหมือนเคย ราวกับว่าอยากจะครอบครองไว้เป็นของตน

อวี้ซีไม่ใช่คนโง่ ย่อมรับรู้ได้ถึงความดูถูกของซื่อชู ชวนให้ขุ่นเคืองใจไม่น้อย แค่เอาผ้าปักสองด้านของอวี้เฉินไปผืนเดียวเองไม่ใช่หรือ ทำท่าทีอย่างกับนางเป็นขโมย!

อวี้จิ้งเห็นของทั้งหมดของอวี้เฉินก็ไม่อาจปิดบังแววริษยาในดวงตาได้ ท่านย่าลำเอียงเกินไปแล้ว ของดีทั้งหมดล้วนเก็บไว้ให้อวี้เฉินประหนึ่งเป็นหลานสาวเพียงคนเดียว

สายตาของอวี้จิ้งชัดเจนเกินไปเสียจนอวี้เฉินต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงกระนั้นนางก็ไม่ได้สนใจ อวี้จิ้งจะหยิ่งผยองแค่ไหนก็คงไม่กล้ารังแกนาง

ไม่นานอาจารย์ซ่งก็เดินเข้ามาพร้อมตำราสองสามเล่ม ทว่ามันเป็นเรื่องสำคัญรองลงมา ประเด็นสำคัญคือมีไม้บรรทัดวางไว้ด้านบนต่างหาก

อวี้ซีมองไม้บรรทัดสีดำเงาในมือของอาจารย์ซ่งด้วยความตกใจ ไม่แปลกใจเลยที่หลายคนได้ยินชื่อของอาจารย์ซ่งแล้วจะพากันหวาดกลัว ไม้บรรทัดอันนี้นั้นนางเห็นแล้วยังตกใจ

อาจารย์ซ่งวางตำราและไม้บรรทัดไว้บนโต๊ะ ก่อนเอ่ยทั้งคิ้วขมวด "คุณหนูรองแลกที่นั่งกับคุณหนูสี่"

อวี้จิ้งไม่เต็มใจ "อาจารย์ น้องสี่ไม่ชอบนั่งข้างหน้า นางยินดีนั่งข้างหลัง" นางไม่ยอมนั่งมองท้ายทอยของเด็กหญิงคนนั้นเด็ดขาด

อวี้ซีเดือดดาลในใจ แต่ก็รู้ว่าไม่อาจโต้แย้งอาจารย์ได้จึงก้มหน้าเงียบ

อาจารย์ซ่งเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา "คุณหนูรอง แลกที่นั่งกับคุณหนูสี่ซะ" คำพูดนี้คือคำสั่งอย่างแน่นอน หาใช่การขอความเห็น ข่าวที่สืบมาว่าอวี้จิ้งเอาแต่ใจ ไร้เหตุผล ตอนนี้คล้ายจะย่ำแย่กว่าที่ร่ำลือกัน ไม่รู้จักความสุภาพอ่อนน้อม อีกทั้งยังพูดโป้ปดอีกด้วย

อวี้จิ้งไม่อยากย้ายที่ ทว่าแววตาเย็นชาของอาจารย์ซ่งนั้นสร้างความหวาดกลัวไม่น้อย ครั้นนึกถึงคำเตือนของสาวใช้ก็ลุกขึ้นเปลี่ยนที่กับอวี้ซีอย่างไม่เต็มใจนัก

ด้านอวี้ซีไม่แสดงอาการใดๆ แต่ในใจเจ้าตัวกลับรู้สึกสะใจมาก หลังเปลี่ยนที่นั่งแล้วอาจารย์ซ่งก็ถามว่าแต่ละคนอ่านตำราอะไรมาบ้าง

แน่นอนว่าอวี้เฉินเป็นคนอ่านตำรามามากที่สุด อวี้ซีคิดว่าตนเองเป็นคนที่ศึกษามาน้อยที่สุด บัดนี้เพิ่งได้รู้ว่าคนผู้นั้นไม่ใช่นาง แต่เป็นอวี้หรูต่างหาก

อวี้ซีรับตำราจากแม่เฒ่าติง เมื่อเปิดดูก็พบว่าเป็น "คัมภีร์สามอักษร" ตำราเล่มนี้ใช้ตัวอักษรจานฮวา นางเคยได้ยินมาว่าอาจารย์ซ่งสอนหนังสือโดยไม่ใช้ตำราที่ซื้อจากข้างนอก แต่คัดลอกด้วยตนเอง ทำให้ลูกศิษย์ที่เรียนกับนางล้วนเขียนตัวอักษรจานฮวาพิมพ์เล็กได้

อาจารย์ซ่งก็ไม่ได้เริ่มสอนทันทีที่ตำราถึงมือคุณหนูทั้งสี่ แต่สั่งให้สาวใช้ข้างกายเทหมึกของอวี้หรูและคนอื่นๆ ออก

อาจารย์ซ่งกล่าว "ฝนหมึกเอง"

อวี้ซีงุนงงเล็กน้อย ทว่าเมื่อเห็นอวี้เฉินทำตามคำอาจารย์ซ่งโดยไม่ทักท้วง อีกฝ่ายเทหมึกออก ล้างให้สะอาด เติมน้ำเปล่า แล้วหยิบแท่งหมึกขึ้นมาฝนหมึก แม้แต่อวี้เฉินยังเชื่อฟังอาจารย์ อวี้ซีจะกล้าคัดค้านได้อย่างไร

ผ่านไปได้สองนาทีอาจารย์ซ่งก็เอ่ยต่อ "พวกเจ้าฝนหมึกผิดวิธี ฝนหมึกไม่เพียงแค่ต้องมีจิตใจที่สงบ แต่ต้องทำอย่างเบามือและช้า ๆ รักษาระดับให้เรียบเสมอกัน จับตั้งฉากหมุนเป็นวงกลมบนแท่นหมึก อย่ายกมือเฉียงหรือดันลงไปตรงๆ" พูดจบก็สาธิตให้เด็กสาวทั้งสี่ดู

อวี้ซีในชาติก่อนก็รู้จักตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัว ไหนเลยจะรู้ว่าการฝนหมึกมีศาสตร์ที่ล้ำลึกเพียงนี้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงศาสตร์อื่นๆ

เมื่อทั้งสี่คนปรับท่าทางได้ถูกต้องแล้ว อาจารย์ซ่งก็บอก "พวกเจ้าใช้หมึกที่บดเอง เขียนตัวอักษรออกมาหนึ่งบรรทัด"

อวี้ซีทำได้อย่างราบรื่น นางเขียนด้วยหมึกที่ตนเองฝนเองมาเดือนกว่าแล้ว มันเป็นนิสัยที่อวี้ซีต้องการฝึกทำทุกอย่างด้วยตนเอง ในขณะที่อีกสามคนไม่เป็นเช่นนั้น หมึกที่ใช้เขียนหนังสือในแต่ละวันล้วนเป็นหมึกที่สาวใช้บด เมื่ออวี้เฉินมองตัวอักษรที่เขียนด้วยหมึกที่บดเอง ก็เป็นครั้งแรกที่เจ้าตัวเปลี่ยนสีหน้าไป

อาจารย์ซ่งดูอักษรที่ทั้งสี่คนเขียน ไม่ได้ชมหรือติติงใครแต่เพียงเอ่ย "หมึกต้องบดให้มีความเข้มข้นพอเหมาะ ไม่เข้มหรือจางเกินไป ตัวอักษรที่เขียนจึงจะออกมาดี ต่อไปพวกเจ้าต้องฝึกฝนให้มากขึ้น อีกทั้งการฝนหมึกใช้เวลานาน เพื่อหลีกเลี่ยงการปวดเมื่อยที่มือขวา จึงควรฝึกฝนหมึกด้วยมือซ้ายให้ได้ด้วย"

อวี้จิ้งไม่สนใจ รอบตัวนางมีสาวใช้มากมาย จะต้องฝนหมึกด้วยตัวเองไปทำไม ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่กล้าโต้แย้งคำพูดของอาจารย์ในห้องเรียน

อาจารย์ซ่งสายตาเฉียบแหลม ย่อมเห็นแววตาของอวี้จิ้ง ทว่าก็ไม่ได้ใส่ใจ นางสอนเด็กสาวจำนวนมากมาตลอดหลายปี คนที่มีนิสัยแบบอวี้จิ้งก็เคยเห็นมาไม่น้อย

"วันนี้เราจะเรียน ‘คัมภีร์สามอักษร’ ก่อน"

การสอนหนังสือของอาจารย์ซ่งก็ไม่มีอะไรพิเศษ อธิบายทีละประโยค จากนั้นเว้นเวลาให้คุณหนูทั้งสี่จดบันทึกค่อยสอนต่อ ใช้เวลาครึ่งเช้าก็สอน "คัมภีร์สามอักษร" ไปได้หนึ่งในสี่ ทั้งสี่คนมีพื้นฐานอยู่แล้ว ดังนั้นแม้อาจารย์ซ่งจะสอนเร็ว แต่พวกนางก็สามารถตามทัน

เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน อาจารย์ซ่งก็สั่งการบ้าน ซึ่งก็คือการคัดอักษรที่เรียนวันนี้ทั้งหมดหนึ่งจบ

อวี้ซีเกือบหลุดหน้าเสีย ให้คัดอักษรกว่าห้าร้อยตัวภายในคืนเดียวโดยไม่ผิดแม้แต่น้อย มือของนางจะต้องหักแน่ เป็นครั้งแรกที่อวี้ซีรู้สึกถึงความน่ากลัวของอาจารย์ซ่ง

อวี้จิ้งโวยวายในทันที "อาจารย์ แค่คืนนี้และพรุ่งนี้เช้า จะเขียนตัวอักษรได้กว่าห้าร้อยตัวภายในเวลาสั้นๆ แค่นี้ได้อย่างไร"

อาจารย์ซ่งตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย "ไม่อยากเขียนก็ไม่มีใครบังคับ"

ใบหน้าของอวี้จิ้งแดงก่ำ

มีตัวอย่างเช่นนี้คนอื่นก็ไม่กล้าคัดค้าน อวี้ซีแอบมองอวี้หรูและอวี้เฉิน อวี้หรูทำหน้าเศร้าสร้อย ในขณะที่อวี้เฉินยังคงนิ่งเฉยราวกับว่าอักษรกว่าห้าร้อยตัวเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับนาง

แม้อากาศช่วงบ่ายในเดือนเก้าจะค่อนข้างเย็นสบาย แต่การเดินมาเป็นเวลานานก็ทำเอาอวี้ซีเหงื่อโทรมกาย เมื่อก้าวเข้าไปในเรือนเฉียงเวย สาวใช้ก็รีบนำน้ำถั่วเขียวเย็นๆ มาให้

แม่นมเซินถามด้วยความเป็นห่วง "คุณหนู วันนี้เรียนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ"

อวี้ซีไม่กล้าพูดว่าเข้าใจทั้งหมด แค่ตอบไปอย่างคลุมเครือ "ข้าเข้าใจที่อาจารย์สอนทั้งหมด" เดิมทีนางคิดว่าตนเองได้เปรียบอยู่บ้างเพราะชาติก่อนเคยฝึกเขียนอักษรจานฮวาพิมพ์เล็ก แต่หลังได้เห็นอักษรงดงามของอวี้เฉินก็อยากจะมุดดินหนี นางได้กลับมามีชีวิตอีกหนึ่งชาติ แต่กลับเทียบอวี้เฉินในตอนนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ยังจะกล้าภูมิใจในตัวเองอยู่ได้อย่างไร

เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น อวี้ซีเห็นกับข้าวหกอย่างและน้ำแกงหนึ่งชามบนโต๊ะจึงถาม "วันนี้ทำไมถึงมีกับข้าวมากมายนัก" ปกติมีแค่กับข้าวสามอย่างและน้ำแกงหนึ่งชาม

แม่นมเซินกล่าวกลั้วหัวเราะ "ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าพวกท่านเรียนหนัก จึงสั่งให้ห้องครัวเพิ่มกับข้าวให้คุณหนู"

อวี้ซีก็ไม่พูดอะไรต่อ ถึงอย่างไรมีกับข้าวเยอะก็ไม่เสียหลาย นางกินไม่หมดก็ยังให้สาวใช้ข้างกายกินได้ อวี้ซีแสร้งถามด้วยท่าทีไม่สนใจ "เฉพาะวันนี้หรือว่าทุกวัน"

สีหน้าของแม่นมเซินแข็งทื่อขณะตอบ "เฉพาะวันนี้เจ้าค่ะ"

อวี้ซีร้องอ๋อขานรับแล้วก็เงียบไป

การบำรุงสุขภาพนั้นต้องกินอาหารให้อิ่มท้องเพียงเจ็ดส่วน นางจึงเหลือกับข้าวไว้ครึ่งหนึ่ง ทานมื้อเย็นเสร็จก็ไม่ได้รีบทำการบ้าน กลับออกไปเดินเล่นสักพักค่อยกลับมาลงมือทำการบ้าน

โชคดีที่อวี้ซีท่องจำ "คัมภีร์สามอักษร" เล่มนี้จนขึ้นใจแล้ว ไม่ต้องดูตำราก็เขียนได้จึงเร็วขึ้นมาก

อวี้ซีเขียนตั้งแต่หลังมื้อเย็นจนจบยามไฮ่สิ้นถึงจะทำเสร็จ แล้วบอกแม่นมก่อนเข้านอน "แม่นม พรุ่งนี้ยามเหม่าปลุกข้าด้วย" วันนี้ทำการบ้านเสร็จแล้วแต่ยังไม่มีเวลาตรวจสอบ ต้องตื่นมาทำพรุ่งนี้ แก้ไขข้อผิดพลาดแต่เนิ่นๆ เพราะนางไม่อยากโดนตีฝ่ามือ

เช้าวันรุ่งขึ้นอวี้ซีทบทวนบทเรียนก่อน จากนั้นจึงเริ่มตรวจสอบการบ้าน กว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีก็ถึงเวลาทานอาหาร

เมื่อมาถึงเรือนอวี้หลาน อวี้ซีเห็นอวี้หรูและอวี้จิ้งมีหมีแพนด้าอยู่ใต้ตาไม่ต่างกับตนเอง เห็นชัดว่าทั้งสองไม่ได้นอนหลับสบายนัก ในขณะที่อวี้เฉินยังคงมีสีหน้าปกติ ไร้ซึ่งท่าทีเหนื่อยล้า

เฮ้อ อวี้ซีอดถอนหายใจในใจไม่ได้ คนเราเทียบกันไม่ได้จริงๆ การร่ำเรียนกับอาจารย์ที่เข้มงวดเช่นนี้ต้องอาศัยความกล้าไม่น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่แคล้วมีปมในใจหากใจไม่แข็งพอ

อาจารย์ซ่งส่งการบ้านของทั้งสี่คนให้แม่เฒ่าติงตรวจสอบ ส่วนนางก็ให้เหล่าเด็กสาวท่องบทเรียน ทว่าไม่ใช่การท่องแบบสุ่ม แต่ให้ท่องทีละคน

อวี้หรูท่องได้เพียงครึ่งเดียว ผลลัพธ์คือโดนตีฝ่ามือห้าครั้ง แต่เพียงฟาดลงไปครั้งแรกก็ทำน้ำตาของอวี้หรูไหลพราก

อาจารย์ซ่งทำราวกับไม่เห็นว่าอวี้หรูกำลังร้องไห้ ไม้บรรทัดยังถูกตีลงมาอย่างต่อเนื่อง ส่งเสียงดังเพียะๆ

อวี้จิ้งหน้าซีดเผือด ไม่รู้ว่าเพราะขวัญเสียหรือไม่ เมื่อถึงคราวนางท่องบทเรียนจึงท่องได้เพียงสองประโยคแรก ไม่อาจท่องต่อได้อีก

อาจารย์ซ่งสั่ง "ยื่นมือออกมา"

เด็กหญิงยื่นมือออกมาอย่างอิดออด ทว่าโดนตีไปหนึ่งครั้งเจ้าตัวก็ไม่ยอมยื่นมือออกมาอีก อวี้จิ้งได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมตั้งแต่เด็ก ไม่ต้องกล่าวถึงการถูกไม้บรรทัดตีเท่านั้น แม้แต่การกระแทกหรือการแตะต้องใดๆ ยังไม่เคยมี

อาจารย์ซ่งบอกทั้งสีหน้าเย็นชา "ออกไป" เมื่อเห็นอวี้จิ้งไม่ขยับก็พูดโดยไม่ไว้หน้า "หากไม่ยอมออกไปเอง ข้าจะให้สาวใช้ลากเจ้าออกไป" ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ก็ดี นางเองก็ไม่อยากสอนคนไร้คุณธรรมเช่นนี้

อวี้จิ้งปล่อยโฮขณะวิ่งออกไป

อวี้ซีเห็นแล้วสะใจเหลือเกิน อาจารย์ซ่งดุจริงๆ ยอดเยี่ยมนัก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด