ตอนที่แล้วตอนที่ 36: ศาลาช่างประดิษฐ์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 38: ยันต์มังกรเหลือง

ตอนที่ 37: เจียงเหยียน


ตอนที่ 37: เจียงเหยียน

หวังฝูเข้าร่วมตำหนักยันต์ล้ำเลิศอย่างเป็นทางการ

ในฐานะปรมาจารย์ยันต์วิญญาณ ทำให้ได้รับการปรนนิบัติที่ยอดเยี่ยม นอกจากการฝึกฝนทุกวันแล้วก็จะทำการวาดยันต์ หลังจากวาดยันต์วัชระสิบใบ เขาจะหมกมุ่นอยู่ในศาลาศาสตร์ลับเพื่อเลือกวิชาในการฝึกฝน

หลังจากฝึกฝนสำเร็จแล้ว เขาจะวาดยันต์อีกครั้งแล้วทำตามกระบวนการนี้ซ้ำไปมา ทุกสามเดือน เขาจะไปหาหยางหลุนกับฉีหลี่แห่งสำนักสายชั้นนอกเพื่อรวบรวมเศษโอสถและยาเม็ดเหลือทิ้งเพื่อให้หม้อขนาดเล็กกลืนกินและกลั่น ไม่เพียงแต่วิชายันต์พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดเท่านั้น แต่การฝึกฝนของเขาจะต้องพัฒนาอย่างมั่นคงด้วยเช่นกัน

หลายปีผ่านไป ร่างของหวังฝูเติบโตขึ้นจากวัยรุ่นอายุสิบห้าหรือสิบหกปีกลายเป็นชายหนุ่มร่างสูงตรง แม้จะไม่หล่อเหลาจนไม่โดดเด่นยามอยู่ท่ามกลางฝูงชน แต่ดวงตาของเขากลับลึกล้ำและสดใสเป็นพิเศษ แม้กระทั่งหนึ่งในศิษย์น้องหญิงยังคลั่งไคล้ในตัวเขายังจงใจมาพบเจออยู่หลายครั้งเพียงเพื่อจะได้พบหน้าสักหน

จิตใจของหวังฝูล้วนเต็มไปด้วยการฝึกฝน ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจเรื่องส่วนตัวอย่างการมีลูก

ตอนนี้การฝึกฝนของเขาอยู่ที่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบเอ็ดจนกลายเป็นศิษย์สำนักชั้นในอย่างเป็นทางการจนต้องทำงานของสำนักชั้นในให้สำเร็จปีละหนึ่งครั้ง

หวังฝูทะลวงถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบในช่วงต้นปี ดังนั้นเขาจึงหลีกเลี่ยงการรับงานมาได้ แต่ปีนี้กลับไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โชคยังดีที่เขาหาทางทำสำเร็จได้มาจนถึงสิ้นปี แล้วในที่สุดการฝึกฝนจึงพัฒนาอีกหนึ่งระดับ ทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้น

“เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนจะถึงสิ้นปี หากไม่จัดการเรื่องงานให้เรียบร้อย เกรงว่าศิษย์พี่จากโถงพิทักษ์กฎจะต้องมาหาถึงบ้านเป็นแน่” หวังฝูเดินออกจากลานกว้างของสำนักชั้นในพลางถอนหายใจ แม้ตอนนี้จะไปถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบเอ็ดแล้ว แต่กลับไม่อยากไปทำงานทั่วไปของสำนักชั้นในแต่อย่างใด

งานทั่วไปของสำนักชั้นในไม่ง่ายเหมือนอย่างที่ทำในสำนักชั้นนอก พวกเขาสามารถทำสำเร็จได้หากมีเวลามากพอ โดยปกติแล้วงานทั่วไปของสำนักชั้นในต้องไปทำที่นอกสำนัก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะดำเนินชีวิตภายในสำนักอีกต่อไป

หลังจากอยู่ในตำหนักยันต์ล้ำเลิศมาเกือบสิบปี หวังฝูจึงไม่ใช่วัยรุ่นไร้เดียงสาเหมือนอย่างทุกทีอีกต่อไป เขาเคยเห็นและได้ยินเกี่ยวกับผู้คนและสิ่งทั้งหลายที่กล่าวถึงคนที่ไม่ได้กลับมาเพราะออกไปทำภารกิจ การอยู่นอกสำนักจึงนับว่าอันตราย ส่วนการสังหารภูตผีปิศาจที่เคยพูดถึงเหมือนว่าจะกลายเป็นเพียงกลุ่มควันไปตามกาลเวลา

แม้จะบอกว่าสังหารภูตผีปิศาจ แต่ภูตผีปิศาจก็สังหารเราได้เช่นกัน

ขณะระดับการฝึกฝนเพิ่มขึ้น หวังฝูจึงยิ่งระมัดระวังเรื่องการใช้ชีวิตมากขึ้น

ตำหนักกิจการทั่วไปของสำนักชั้นในมีขนาดใหญ่กว่าของสำนักชั้นนอก แม้กระทั่ง

แผ่นหยกขาวที่อยู่ภายในตำหนักยังกว้างกว่า

หวังฝูพบมุมหนึ่งขณะจับจ้องแผ่นหยกขาวราวกับไม่มีใครอยู่รอบข้าง เขาเห็นว่าแผ่นหยกขาวเต็มไปด้วยงานภายในที่ซับซ้อนจนหวังฝูรู้สึกเวียนหัว โชคยังดีที่จิตเทวะของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จึงทำให้จัดการความคิดได้อย่างรวดเร็ว

“ถึงรางวังในการทำงานเดี่ยวจะสูง แต่มันต้องอันตรายมากกว่าเป็นแน่ เลือกทำภารกิจเป็นกลุ่มน่าจะดีกว่า แบบนั้นจะทำสำเร็จได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากเท่าไหร่” หวังฝูมองแผ่นหยกขาวขณะค้นหา ไม่ช้าก็เลือกภารกิจกลุ่มอันหนึ่ง

“ไปหมู่บ้านเริ่นเจียเพื่อคลี่คลายการตายของชาวบ้านที่ไม่ทราบสาเหตุ”

เบื้องล่างมีคำแนะนำภารกิจอย่างละเอียด โดยบอกว่าชาวบ้านสามคนในหมู่บ้านเริ่นเจียเสียชีวิตอย่างไม่ทราบสาเหตุในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ความตายของพวกเขาแปลกประหลาด ไม่เพียงแต่ร่างกายซีดเซียวเท่านั้น แต่ยังดูเหมือนไม้แห้งอีกด้วย ตอนนี้ต้องการศิษย์สายในสี่คนในการตรวจสอบและแก้ไขปัญหานี้

“เสียชีวิตสามคนในหนึ่งเดือน ดูจากคำอธิบายแล้ว พวกเขาอาจจะถูกดูดกลืนแก่นโลหิต ดูจากการดูดกลืนแล้ว มันน่าจะเป็นเพียงปิศาจระดับต่ำขั้นหนึ่งเท่านั้น เหอะเหอะ… หรือว่าอาจารย์อาบางคนทิ้งภารกิจนี้ไว้ให้หนึ่งในรุ่นร้องตัวเองกันนะ?” หวังฝูมองรางวัลอันน้อยนิดในการทำภารกิจกับข้อมูลที่ว่ามีเพียงคนเดียวที่รับเอาไว้ จากนั้นจึงยิ้มกว้าง “ภารกิจแบบนี้เหมาะกับเราพอดี ยังไงก็ไม่ขาดแคลนหินวิญญาณหรือแต้มความดีอยู่แล้ว เราแค่อยากทำงานสำนักชั้นในให้สำเร็จเท่านั้น”

หวังฝูรับภารกิจอย่างรวดเร็วด้วยการใช้แผ่นป้ายชื่อของศิษย์สายในด้วยเกรงว่าใครบางคนจะได้ไปก่อน

หลังจากอยู่ในตำหนักยันต์ล้ำเลิศมาหลายปี หวังฝูจึงไม่ใช่หนอนหนังสือที่รู้เพียงวิธีสร้างยันต์กับการฝึกฝน เขายังเรียนรู้ขนบธรรมเนียมทางสังคมภายในสำนักเป็นอย่างดี แม้จะมีกฎและข้อจำกัดจากกฎของสำนัก แต่ศิษย์ทั้งหลายที่มีความสัมพันธ์กับภูมิหลังยังคงสามารถใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายผ่านการพึ่งผู้อาวุโสกับตระกูลที่คอยหนุนหลัง

การแวะเวียนมายังตำหนักกิจการทั่วไปแล้วจงใจทิ้งงานง่ายให้ลงนามเป็นคนแรกนับว่าเป็นเรื่องปกติ

หวังฝูออกจากตำหนักกิจการทั่วไปอย่างมีความสุข จากนั้นหันหลังแล้วตรงไปที่ตำหนักหลอมอุปกรณ์ แม้ดูเหมือนจะเป็นงานที่ง่ายดายมาก แต่หวังฝูมีความระแวดระวังตามธรรมชาติ ดังนั้นเขาย่อมวางแผนจะหาอาวุธติดไม้ติดมือให้ตัวเอง

เมื่อไปถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบ หวังฝูจึงไม่ถูกใจอาวุธวิเศษระดับกลางสองชิ้นที่ทางสำนักชั้นในแจกจ่ายให้ สิ่งที่มีประโยชน์เพียงหนึ่งเดียวคือถุงเก็บของสิบเท่า

เมื่อเข้ามาในตำหนักหลอมอุปกรณ์ หวังฝูจึงเดินไปมาและกำลังจะซื้ออาวุธวิเศษป้องกันที่สนใจ แต่แล้วสายตากลับไปสะดุดร่างที่คุ้นเคยเข้า

“เจียงเหยียน เหตุใดหน้าดำใหญ่ผู้นี้ถึงมาอยู่ที่นี่? เขาไม่ได้กำลังฝึกฝนวิชาเลี้ยงกระบี่ด้วยเลือดหรือ ทำไมถึงต้องซื้ออาวุธวิเศษด้วย?”

หวังฝูเดินเข้าไปหา

เจียงเหยียนคือชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเย็นชาที่หวังฝูพบในตำหนักกิจการทั่วไปของสำนักชั้นนอก ทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันจนกระทั่งตอนมาซื้อยันต์ใบหนึ่งจากหวังฝูในตำหนักยันต์ล้ำเลิศ คุณภาพของยันต์ที่วาดโดยหวังฝูนับว่าดีที่สุดในศาลาช่างประดิษฐ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการฝึกฝนไปถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบแล้ว คุณภาพของยันต์จึงพัฒนาขึ้นมาก มีเพียงศิษย์พี่สือหมิ่นสือแห่งศาลาช่างประดิษฐ์ผู้ไปถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบสามเท่านั้นที่สามารถเหนือกว่าเขาได้

เพราะระดับการฝึกฝนของหวังฝู ทำให้ราคายันต์ที่วาดออกมาจึงต่ำกว่าเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้เจียงเหยียนจึงกลายเป็นลูกค้าขาประจำ หลังจากแวะเวียนมาหลายหน ประกอบกับมิตรภาพที่เคยพบกันมาครั้งหนึ่งที่สำนักชั้นนอก ทั้งสองจึงยิ่งคุ้นเคยกันมากขึ้น

“เจียงเหยียน เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

ยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่น หวังฝูย่อมไม่เรียกอีกฝ่ายว่า “หน้าดำใหญ่” ซึ่งดุไม่สุภาพเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่เรียกอีกฝ่ายว่าศิษย์พี่เช่นกันแม้ระดับการฝึกฝนของหน้าดำใหญ่จะอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบสองก็ตาม

“มาหาอาวุธวิเศษน่ะ” เจียงเหยียนผู้กำลังถือกระบี่ดำไม่แม้แต่หันศีรษะมาราวกับไม่ประหลาดใจหรือสนใจในตัวตนของหวังฝู

“เจ้ารู้วิธีซื้ออาวุธวิเศษด้วยหรือ? ไม่ใช่ว่าวิธีการฝึกฝนของเจ้าขัดกับความช่วยเหลือของอาวุธวิเศษหรือไง?” หวังฝูเอ่ยคำติดตลก

“ข้าไปถึงจุดคอขวดในการฝึกฝนจนยากที่จะทำการทะลวงได้ในเวลาอันสั้น ข้าจึงต้องรับภารกิจเพื่อออกไปตามหาสมุนไพรวิญญาณ สถานที่ที่ข้าไปค่อนข้างอันตรายก็เลยต้องการอาวุธวิเศษป้องกันขั้นสูงสุดเพื่อปกป้องตัวเอง” เจียงเหยียนเอ่ยคำอย่างสงบโดยไม่ปกปิดสิ่งใด หวังฝูพยักหน้าเมื่อได้ยินเช่นนี้

เจียงเหยียนแตกต่างจากเขา เจียงเหยียนชอบทำงานทั่วไปของสำนักและออกไปหาประสบการณ์เพื่อแสวงหาการทะลวงผ่านการต่อสู้ เขาคล้ายกับกระตือรือร้นยิ่งต่อพละกำลังอันแข็งแกร่ง ส่วนเหตุผลน่ะหรือ ทุกครั้งที่หวังฝูถามเจียงเหยียน เขาจะทำเพียงยิ้มกว้างแล้วไม่ตอบอะไร ยิ่งการใช้คำโกหกเพื่อหลบเลี่ยงยิ่งไม่ต้องพูดถึง

“ต้องการยันต์วิญญาณหรือไม่?” หวังฝูเอ่ยคำ

“แต้มความดีกับหินวิญญาณของข้ามีเพียงพอต่ออาวุธวิเศษป้องกันขั้นสูงสุดเท่านั้น” เจียงเหยียนส่ายหน้าเพื่อบ่งบอกว่าไม่มีหินวิญญาณหรือแต้มความดีเหลือแล้ว

“ไม่ต้องใช้แต้มความดีหรอก ตอนนี้ข้าไม่ได้อยู่ในตำหนักยันต์ล้ำเลิศ ข้าจะขายให้กับเจ้าเป็นการส่วนตัวเอง ติดไว้ก่อนก็ได้” หวังฝูโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ เจียงเหยียนเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในสำนักขนนกร่วงโรยที่นับว่าเป็นสหายของหวังฝู แม้หวังฝูจะระแวดระวังเรื่องแบบหวงเจิงอยู่ตลอด แต่เขาก็รู้สึกเสมอว่าเจียงเหยียนคือชายที่มีบางอย่างอยู่ในใจ พวกเขาอาจจะเป็นคนประเภทเดียวกันก็ได้

“แต่เจ้าต้องรอหลายวันกว่าข้าจะวาดเสร็จ”

“ข้าจะไปในอีกห้าวัน” เจียงเหยียนครุ่นคิดสักพักก่อนจะไม่ปฏิเสธ

“ไม่มีปัญหา ข้าต้องออกจากสำนักเพื่อไปทำงานให้เสร็จ เจ้ามาหาข้าเพื่อรับของในอีกสี่วันได้เลย”

หวังฝูยิ้มแล้วเอ่ยคำ “ข้ารับปากว่าเจ้าจะต้องร้องขอยันต์วิญญาณในครั้งนี้แน่นอน”

“ข้าจะรอดูแล้วกัน”

เจียงเหยียนยิ้มเช่นกัน สถานที่ที่เขากำลังจะไปในครั้งนี้อันตรายจริง หาไม่แล้วเขาคงไม่มาตำหนักหลอมอุปกรณ์เพื่อซื้ออาวุธป้องกันขั้นสูงสุด ส่วนยันต์ที่หวังฝูสร้างขึ้นมาก็พึ่งพาได้มาก เขาเข้าใจเรื่องนี้ดียิ่งกว่าใคร

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด