ผู้ปรารถนาอำนาจเพื่อความแข็งแกร่งของตนเอง (6)
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอน แต่จะราคาแพงที่สุด]
[คนอ่านแต่ละตอนไม่ถึง 10 คน ขอร้องอย่า copy ไปเลยนะ อันนี้แปลเพราะอยากแปลจริง ๆ ไม่งั้นทิ้งไปนานแล้ว ,เพราะไปทำงานอื่นได้เงินกว่าเยอะ ที่แปลเนี่ยได้วันละ 20 บาทเอง]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
<เรื่องราวของแอรอน ตอนที่ 32>
4. ผู้ปรารถนาอำนาจเพื่อความแข็งแกร่งของตนเอง (6)
**********
ก่อนเข้าร่วมการแข่งขัน
ตอนที่จบหลักสูตรจากค่ายฝึกของเนลม์ไฮมฟ์ เพื่อนร่วมรุ่นของเขาไม่ได้ยกย่องอาจารย์ของเขานัก
พวกเขาเห็นว่าสมาชิกปาร์ตี้ 1 คนอื่นๆ ที่ออกไปทำภารกิจข้างนอกน่าประทับใจกว่าอาจารย์ที่ชอบทำตัวแปลกๆ และเอาแต่หมกตัวอยู่ในมิติแปลกๆ นั้นตลอดเวลา
เซริสและยูเน็ตไม่ค่อยปรากฏตัวออกมาให้เห็น และนิฮาคุก็มักจะออกไปทำภารกิจข้างนอกบ่อยๆ ตามหน้าที่ของเธอที่ต้องรับผิดชอบ
ยกเว้นรีเจียน
ดังนั้น สมาชิกปาร์ตี้ 1 ที่เจอได้บ่อยที่สุดในเนลม์ไฮมฟ์ก็คือรีเจียน ผู้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยจู่โจม หัวหน้าหน่วยป้องกัน และหัวหน้าผู้ฝึกสอน
จริงๆ แล้ว ผู้บริหารระดับสูงของค่ายฝึกจะบอกว่าเป็นรีเจียนก็ว่าได้
หลายๆคนมักจะบอกว่าควรจะให้รีเจียนเป็นรองหัวหน้าแทนเซริส เพราะเขาเป็นคนที่สามารถพบเห็นได้บ่อยที่สุดในเนลม์ไฮมฟ์
แต่ตัวเขาเองปฏิเสธข้อเสนอนั้น
เนลม์ไฮมฟ์เป็นห้องรอขนาดใหญ่ที่มีฮีโร่อยู่มากกว่า 20,000 คน
แน่นอนว่าเมื่อมีคนจำนวนมากมารวมกัน ก็ต้องมีการแบ่งพรรคแบ่งพวก
มีปาร์ตี้ต่างๆ ที่มีปาร์ตี้ 1 เป็นแกนนำ
รีเจียนเป็นสัญลักษณ์ของกำลังทหารในห้องรอ
กลุ่มที่ฝึกฝนร่างกายของฮีโร่ กองกำลังป้องกันที่ป้องกันการบุกรุก และปาร์ตี้ต่างๆ ที่มีเป้าหมายในการพิชิตหอคอย
เรียกได้ว่าเป็นกองกำลังหลักของเนลม์ไฮมฟ์ก็ไม่ผิด
รีเจียนได้รับการยอมรับในฐานะตัวแทนของกองทัพ
ยูเน็ตเป็นตัวแทนของนักเวทย์และช่างฝีมือในห้องพัก
เหล่านักเวทย์และนักวิชาการลึกลับที่ชอบความสันโดษ และช่างฝีมือผู้ภาคภูมิใจในผลงานของตน
เรือเหาะรุ่นใหม่ล่าสุดที่เป็นความภาคภูมิใจของเนลม์ไฮมฟ์ และสิ่งประดิษฐ์ทรงพลังและลึกลับต่างๆ ล้วนเป็นผลงานของคนเหล่านี้
พวกเขาติดตามยูเน็ตและใช้พลังของตัวเองเงียบๆ
ในช่วงที่นายท่านโลกิไม่อยู่ นิฮาคุรับผิดชอบกิจกรรมภายนอกทั้งหมดของเนลม์ไฮมฟ์
เธอเป็นตัวกลางในการเจรจาสัมพันธมิตรต่างๆ ดูแลอาณานิคมหลายแห่ง และเข้าแทรกแซงด้วยกำลังทหารหากจำเป็น เธอได้รับมอบอำนาจในการเจรจาทางการทูตจากโลกิผู้เป็นนายท่าน
แม้ว่าเด็กสาวคนนี้จะดูงุ่มง่ามและมักจะทำภารกิจคนเดียว แต่เธอก็มีกองเรือและกองกำลังที่พร้อมจะปราบปรามด้วยกำลัง
พวกเขาแต่ล่ะคนต่างก็มีอิทธิพลในห้องพักเช่นกัน
ดังนั้น เนลม์ไฮมฟ์จึงมีสามกลุ่มหลักๆ
ไม่ว่าพวกเขาจะชอบหรือไม่ก็ตาม การอยู่ในตำแหน่งสูงก็มาพร้อมกับภาระหน้าที่เช่นนี้
แต่ละกลุ่มนี้มีทักษะและอำนาจมากพอที่จะกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในเกมได้ หากแยกตัวออกจากเนลม์ไฮมฟ์
ในทางกลับกัน แม้ว่าเซริสจะเป็นผู้นำของปาร์ตี้ที่ 1 และมีตำแหน่งรองนายท่าน แต่เธอก็มีผู้สนับสนุนในห้องพักน้อยมาก
อำนาจของเธอมาจากสองสิ่งเท่านั้น คือ บารมีที่นายท่านโลกิที่แต่งตั้งเธอเป็นรองนายท่านโดยตรง และการยอมรับจากสมาชิกคนอื่นๆในปาร์ตี้ที่1
เธอแทบไม่มีอิทธิพลทางการเมืองในแง่ของการได้รับการสนับสนุนจากฮีโร่จำนวนมากในห้องพักหรือเป็นตัวแทนของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ในทางกลับกัน เซริสมักจะถูกต่อต้านจากฮีโร่ที่ภักดีต่อกองทัพและนายท่าน เนื่องจากเธอคัดค้านนโยบายของนายท่านโลกิอยู่บ่อยครั้ง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่มีผู้สนับสนุนเลย
สมาชิกที่ไม่เหมือนใครอย่างแท้จริงคือเด็กชายคนสุดท้าย
เด็กชายใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ลัวนาน ที่เป็นมิติอิสระ และแทบไม่เคยปรากฏตัวในห้องรอเท่าไหร่นัก
ฮีโร่ระดับล่างมักจะซุบซิบกันว่าเขาอาจจะเป็นสมาชิกของกลุ่มอื่น เพราะมีแค่ชื่อของเขาอยู่ในบัญชีรายชื่อเท่านั้นแต่ไม่เห็นตัวเลย
เนื่องจากสมาชิกปาร์ตี้ 1 คนอื่นๆ แสดงตัวตนในรูปแบบอื่นนอกเหนือจากการต่อสู้ ในขณะที่เด็กชายไม่เคยปรากฏตัวเลย
เขาแทบจะไม่มีงานประจำเลยก็ว่าได้
เด็กชายไม่มีผู้ช่วยหรือที่ปรึกษาเหมือนสมาชิกคนอื่นๆ แน่นอนว่าเขาไม่มีผู้สนับสนุน และแม้แต่การมีตัวตนของเขาก็ยังเป็นที่น่าสงสัย
ฮีโร่แบบนี้จะอยู่ในหนึ่งในที่นั่งอันทรงเกียรติของเนลม์ไฮมฟ์ ชั้นที่ 13 ได้อย่างไร?
ฮีโร่ระดับสูงที่หมายปองตำแหน่งนั้น หรือผู้ติดตามของสมาชิกคนอื่นๆ มักจะวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์นี้อย่างเปิดเผย
หลักการดำเนินงานของเนลม์ไฮมฟ์คือการให้คุณค่ากับความสามารถอย่างแท้จริง
สำหรับพวกเขา เด็กชายดูเหมือนจะเป็นเด็กเส้นที่มีความสัมพันธ์กับคนมีอำนาจชั้นสูง
พวกเขาเชื่อว่าการที่เด็กชายที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่รู้ว่ามีความสามารถอะไร และไม่มีอิทธิพลทางการเมือง ได้เป็นสมาชิกของปาร์ตี้ 1 นั้นเป็นเหมือนจุดอ่อนของเนลม์ไฮมฟ์ ห้องรอที่ให้ความสำคัญกับความสามารถและพรสวรรค์ของแต่ละบุคคล
อย่างไรก็ตาม อคตินี้มีอยู่เฉพาะในหมู่ฮีโร่ระดับล่างหรือฮีโร่ที่มาจากภายนอกเท่านั้น
ยิ่งมีตำแหน่งสูงขึ้นและมีประสบการณ์ในสนามรบมากขึ้นเท่าไหร่ เสียงที่ยอมรับเด็กชายก็ยิ่งดังขึ้นเท่านั้น
เพราะพวกเขาได้เห็นด้วยตาของตัวเอง
เขาไม่เคยปรากฏตัวในห้องพัก
เขาไม่มีงานประจำเลย
ส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเขามีผู้สนับสนุนหรือไม่
แต่เหตุผลที่เด็กชายยังคงอยู่ในปาร์ตี้ 1 ได้
มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น
"เพราะเขาแข็งแกร่งมาก"
อารอนพึมพำกับตัวเองถึงบทสรุปในใจ
ตอนที่เขาอยู่ที่เนลม์ไฮมฟ์ อารอนได้พูดคุยกับฮีโร่หลายคนที่เคยเห็นเด็กชายคนนั้นต่อสู้โดยตรง
เขาต้องการข้อมูลเกี่ยวกับเด็กชายคนนั้นให้มากกว่านี้
จากการพูดคุย อารอนได้รู้บางอย่างมาสองเรื่อง
เรื่องแรก
เด็กชายจะเข้าร่วมการต่อสู้เฉพาะในบางสถานการณ์เท่านั้น
แตกต่างจากสมาชิกคนอื่นๆ ที่ออกไปต่อสู้อย่างแข็งขัน เด็กชายแทบจะไม่เข้าร่วมการต่อสู้ส่วนใหญ่ของเนลม์ไฮมฟ์
เด็กชายจะเข้าร่วม 2 กรณีเท่านนั้น
1. ในกรณีที่การปีนหอคอยมีความเสี่ยงที่จะล้มเหลวและไปสู่การทำลายล้างกองกำลังทั้งหมด
2. เมื่อพิจารณาแล้วว่ามีโอกาสที่จะพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับห้องรออื่น เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญ พันธมิตรของศัตรูที่แข็งแกร่ง หรือสถานการณ์ต่างๆ
เด็กชายคนนี้คือไพ่ลับของเนลม์ไฮมฟ์
เขาการ์ดโจ๊กเกอร์ที่โลกิซ่อนไว้อนไว้เพื่อพลิกสถานการณ์เมื่อเกิดวิกฤตที่รุนแรงและอันตราย
ความสามารถของเด็กชายถึงขั้นสามารถแหกกฎของระบบ แสดงพลังที่เหมือนกับโกงหรือบั๊ก
เรื่องที่สอง
ดังนั้น ฮีโร่ระดับสูงที่เคยเห็นการต่อสู้ของเด็กชายโดยตรงจึงกลัวเขา
พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงเด็กชายราวกับว่าเขาเป็นปีศาจหรือสัตว์ประหลาด
มีเพียงสมาชิกปาร์ตี้ 1 และฮีโร่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่กลัวและปฏิบัติต่อเด็กชายอย่างปกติ แม้ว่าจะเคยเห็นพลังของเขาแล้วก็ตาม
'ส่วนคนอื่นนั้น….พวกเขากลัวกันหมด....'
ทำไมพวกเขาถึงกลัว?
'มันต่างจากปฏิกิริยาของท่านรีเจียน'
พวกเขาชื่นชมหรืออิจฉาความแข็งแกร่งของรีเจียน
'เพราะมันเป็นความแข็งแกร่งที่เข้าใจได้'
ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหน
แต่รากฐานของพลังนั้นคือศิลปะการต่อสู้
นั่นเป็นเหตุผลที่ทุกคนเคารพรีเจียน
เช่นเดียวกับยูเน็ต เซริส และนิฮาคุ
ความแข็งแกร่งของพวกเขาอยู่ในขอบเขตที่อารอนเข้าใจ
แม้ว่าจะมีทางเป็นเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นไปได้สำหรับคนเหล่านี้
'ถ้างั้น อาจารย์ก็ต่างออกไป?'
เหตุผลที่พวกเขากลัว
เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความแข็งแกร่งนั้น
มนุษย์มักรู้สึกกลัวสิ่งที่ตัวเองไม่รู้โดยสัญชาตญาณ
ตราบาป
มันคือพลังที่เหนือมนุษย์
ระบบเป็นเพียงแค่สิ่งที่ตัดสินว่ามันคือตราบาปหรือกรรม
มันไม่ใช่ชื่อที่แท้จริง และตราบาปอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพลังนั้น
'บางทีอารอนอาจจะแข็งแกร่งขึ้นมาแบบนั้นก็ได้'
จินตนาการแปลกๆ ผุดขึ้นมาในหัวของเขา
ยังไงซะตอนนี้ก็ทำได้เเค่นอนอยู่เฉยๆ เขาทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
"หึหึหึ...."
"ยิ้มอะไรของนายน่ะ น่าขนลุก"
"เฮ้ย!"
อารอนตกใจแล้วหันไปมองข้างๆ
เด็กชานที่เป็นอาจารย์ของเขากำลังมองเขาด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม
แล้วเขาก็ยิ้ม
"เมื่อกี้นายกำลังจินตนาการว่าตัวเองเป็นฮีโร่ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ใช่มั้ย?"
"ห่ะ? อาจารย์พูดอะไร...."
"เมื่อกี้นายกำลังคิดว่าตัวเองเป็นสุดยอดฝีมือ ฉันแข็งแกร่งที่สุด ใครก็มาสู้กับฉันไม่ได้ ฉันคือฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ใช่ไหมล่ะ?"
"ไม่ใช่นะครับ!"
"โอ้โห แค่ชมไปหน่อยเดียวก็เหลิงและได้ใจเลยนะ!"
"ขะ ขอโทษครับ"
อารอนก้มหัวลง
อาจารย์ของเขาพูดถูก
เขายังควบคุมพลังนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่กลับคิดถึงความแข็งแกร่ง
"เอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก การมีความหวังไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดสักหน่อย ฝันให้เต็มที่ไปเลย ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาจะได้รู้สึกดีไง"
"ก็จริงนะครับ"
อารอนยิ้ม
อาจารย์ของเขาพูดถูก
0 กับ 1 นั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ไม่มีโอกาสที่จะแข็งแกร่งขึ้นเลย กับมีโอกาสอยู่บ้าง แม้เพียงเล็กน้อยแค่นั้นก็ต่างกันมากแล้ว
'แค่ความจริงที่ว่ามีความเป็นไปได้ ก็ทำให้ใจฉันสงบลงได้ขนาดนี้'
60 ปีในความทรงจำของอารอนเป็นช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดและเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น
เป็นช่วเวลาที่เขาต้องเหวี่ยงและแทงหอกไปอย่างไร้จุดหมาย โดยไม่มีหลักประกันว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้น
ยิ่งเลือดและเหงื่อไหลริน น้ำตาก็เหือดแห้งไป
เขารู้สึกราวกับว่าวิญญาณของเขากำลังจะหายไป
แต่ตอนนี้มันต่างออกไป
เขามีความหวัง แม้จะดูริบหรี่ก็ตาม
เพียงแค่นั้น อารอนก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้
"แล้ว นอนอยู่เฉยๆ แบบนี้คงจะเบื่อแย่เลยสิ?"
"ครับ ก็คงงั้นแหละครับ"
นี้เป็นวันที่สองของการนอนโรงพยาบาล
ร่างกายของอารอนเริ่มกระสับกระส่าย
เขาไม่กล้าออกไปไหน เพราะกลัวว่าถ้าถูกหมอจับได้ หมออาจจะทำ 'การทดลอง' กับเขา
"ฉันว่าถึงเวลาที่ฉันจะเล่าอะไรให้นายฟังแล้วล่ะ ฉันก็เจอเรื่องที่เหมาะสมที่จะเล่าแล้วด้วย"
"เรื่องอะไรเหรอครับ?"
"นายก็อยากรู้ไม่ใช่เหรอ เรื่องตราบาป"
สีหน้าของอารอนเริ่มเปลี่ยนไป
เด็กหนุ่มพูดต่อ
"ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังอะไร ฉันจะให้คำใบ้นายสักหน่อยแล้วกัน"
เขาอยากให้อาจารย์เล่าให้ฟังทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ใช่แค่คำใบ้
แต่เด็กชายขัดจังหวะความคิดนั้นทันที
"ฉันก็บอกนายไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ? เกี่ยวกับอดีตของนาย นายลืมไปเอง ด้วยไม่ได้ ฉันไม่บอกซ้ำเป็นครั้งที่สองหรอกนะ"
"อย่างนั้นเหรอครับ"
"สิ่งที่ฉันจะบอกวันนี้คือเรื่องอันตรายของมัน"
"อันตราย?"
"นายก็พอจะเดาออกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าพลังที่พวกเราใช้มันไม่ใช่พลังของมนุษย์"
เด็กหนุ่มยิ้ม
แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงจังและเครียดแต่ใบหน้าของอาจารย์ก็ยังคงยิ้มอยู่
"บังเอิญว่ามีเรื่องน่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่งบนโลก เรื่องอะไรนะ การ์ตูนเหรอ?"
อาจารย์ทำท่าครุ่นคิดราวกับกำลังนึกอะไรบางอย่างอยู่ แล้วก็พยักหน้า
"ใช่แล้ว ใช่เลย เคยมีเรื่องแบบนี้อยู่"
"...."
“เรื่องราวเกี่ยวกับหลุม 500 ล้านปี”
อาจารย์เริ่มเล่าเรื่องทันที…