ตอนที่ 1 ยอดกุนซือในขุนเขา
**ซุนเกี๋ยนหรือชื่อจีนกลางที่ทุกคนรู้จักกันดี ซุนเจียน**
**หยวนซูหรือก็คืออ้วนสุด**
**หยวนเซ่าหรือก็คืออ้วนเสี้ยว**
**ชื่อพวกเล่าปี่ โจโฉจะไม่เปลี่ยนเพราะเรียกกันติดหูแล้วจริงๆ**
ในปีที่สองของรัชสมัยชูผิง ตรงกับ ค.ศ. 191
ยามนั้น ทั่วหล้าปั่นป่วน โจรทรราชย์ตั๋งโต๊ะกุมอำนาจราชสำนัก ราชวงศ์ฮั่นใกล้สิ้นอำนาจ ไพร่ฟ้าประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
เหล่าเจ้าเมืองต่างยกทัพ หวังปราบตั๋งโต๊ะ สถาปนาอาณาจักรขึ้นใหม่ กองทัพน้อยใหญ่เคลื่อนพลมาชุมนุมกัน ณ ด่านโสหุย
ด่านโสหุย ตั้งตระหง่านขวางทางสู่เมืองหลวง กองทัพทั้งสองฝ่ายต่างระดมพลต่อสู้กันอย่างดุเดือด บริเวณนอกด่านเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและซากศพทหารนับหมื่น
ต้นฤดูใบไม้ผลิปีนั้น ลมหนาวหวิวโหยหวน เมฆครึ้มปกคลุมทั่วท้องฟ้า ราวกับกำลังกดทับด่านโสหุยให้จมลงไป
ซุนเกี๋ยนกำลังสู้กับทหารม้าห้าพันนายนำโดยหูเจิน ขุนพลของตั๋งโต๊ะ
เสียงคนหมื่นคนกระทบกันดังสนั่นหวั่นไหว เสียงร้องโห่ร้อง เสียงอาวุธกระทบกัน ดังกึกก้องไปทั่ว ดุเดือดราวกับแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น
ทหารของซุนเกี๋ยนล้วนเป็นทหารราบ แม้จะมีจำนวนมากว่า แต่ก็ไม่อาจต้านทานการเคลื่อนที่อันรวดเร็วของทัพม้าเหลียงตะวันตกได้
ซุนเกี๋ยนประจันหน้าอยู่ท่ามกลางกองทัพ สีหน้าเคร่งเครียด ดวงตาทอประกาศถึงความเด็ดเดี่ยว ปล่อยให้ข้าศึกบุกโจมตีทางด้านข้างอย่างไม่หวั่นเกรง
เวลานี้ ณ ยอดเนินเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างไกลจากสนามรบ บุรุษรูปร่างสูงใหญ่กำยำ สะพายง้าวใหญ่คู่ หนึ่งในสิบสุดยอดแห่งยุค ยืนมองการต่อสู้เบื้องล่าง ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
บุรุษผู้นี้หาใช่ใครที่ไหน เตียนอุย ขุนพลที่เก่งฉกาจสุดของโจโฉในภายภาคหน้านั่นเอง
เขาหมัดแน่น ขมวดคิ้วพลางกล่าวกับบุรุษหนุ่มรูปงามข้างกาย
"น้องหรัวจง ดูสิ กองทัพของซุนเกี๋ยนล้วนเป็นทหารราบ ไม่อาจเทียบได้กับทัพม้าที่แข็งแกร่งของตั๋งโต๊ะ แม้จะมีจำนวนมาก ข้าเกรงว่ายากที่จะเอาชนะได้"
ว่าแล้ว เขาก็หันไปมองบุรุษหนุ่มข้างกาย
บุรุษผู้นั้นรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าขาวสะอาด สวมหมวกและเสื้อคลุมขนห่าน ดูสูงศักดิ์ แตกต่างจากเตียนอุยราวฟ้ากับดิน
เขาผู้นี้มีนามว่า ไป๋หลี่หมิง หรัวจงเป็นแค่ชื่อรอง
ไป๋หลี่หมิง ไม่ใช่พี่น้องกับเตียนอุย แต่ทั้งคู่พบกันโดยบังเอิญ ระหว่างที่เขากำลังหลบหนีภัยสงคราม
ไป๋หลี่หมิงรู้ว่าเตียนอุยใฝ่ฝันอยากเป็นทหาร จึงติดตามเขามาโดยตลอด
"ในเมื่อพี่เตียนอุยไม่เชื่อข้า งั้นเรามาเดิมพันกันดีหรือไม่?"
"ข้าว่าศึกนี้ซุนเกี๋ยนชนะแน่"
"เดิมพันเล็กๆ น้อยๆ ก็พอ" ไป๋หลี่หมิง "เอาง้าวคู่ของท่านเป็นเดิมพัน ถ้าท่านชนะ ข้าจะคืนของทั้งหมดที่ท่านเคยเสียพนันให้ข้า"
"ถ้าข้าแพ้ เอาง้าวคู่ของท่านมาเลย เป็นไง"
"ไม่เอา ไม่เอา ข้าไม่เดิมพันด้วยหรอก!" เตียนอุยรีบส่ายหัว ท่าทางราวกับเห็นผี
"เจ้าอย่ามาตบตาข้า ของรักของหวงของข้า ข้าไม่ยอมเสียมันไปง่ายๆ แน่"
"ถ้าจะพูดก็พูดมา ถ้าไม่พูดก็ช่างเเเหะ จะเอาง้าวของข้าไปทำไม"
ว่าจบก็รีบเอามือกอดง้าวคู่ไว้แน่น ราวกับกลัวว่าไป๋หลี่หมิงจะฉกไปเสียเดี๋ยวนั้น
ก็ไม่ใช่ว่าเตียนอุยจะขี้ระแวงเกินไป
เพราะไป๋หลี่หมิงมีประวัติโชกโชนเรื่องการพนัน!
นับตั้งแต่ที่เขารู้จักกับไป๋หลี่หมิง เขาก็ได้เห็นความเฉลียวฉลาดของไป๋หลี่หมิงมานับครั้งไม่ถ้วน
ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ตราบใดที่ไป๋หลี่หมิงเอ่ยปาก เรื่องนั้นมักเป็นไปดั่งคำพูด
ราวกับปากพระร่วง ระหว่างทาง ไม่รู้ว่ามีพ่อค้าเศรษฐีถูกไป๋หลี่หมิงหลอกไปกี่รายแล้ว
ตอนแรกเขาก็ไม่ได้คิดอะไร จึงลองเดิมพันกับไป๋หลี่หมิงดู แต่สุดท้ายก็เสียจนหมดตัว!
ที่ร้ายไปกว่านั้น ไป๋หลี่หมิง เป็นคนมือเติบ ได้อะไรมาก็เอาไปขายจนหมด
แม้แต่เสื้อคลุมหนังเสือของเขา ไป๋หลี่หมิงก็ยังเอาไปแลกกับเสื้อคลุมขนห่านมาแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะไป๋หลี่หมิง ใครจะอยากใส่เสื้อผ้าชั้นเดียวท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บแบบนี้กัน!
ดังนั้น เมื่อได้ยินว่าไป๋หลี่หมิงจะเดิมพันอีก เขาจึงรีบปฏิเสธโดยไม่ลังเล
เพราะเขารู้ดีว่า ตราบใดที่ง้าวคู่นี้อยู่ในมือของไป๋หลี่หมิง มันจะต้องถูกเอาไปขายเป็นแน่!
ถึงแม้เขาจะขาดไป๋หลี่หมิงไม่ได้ในเรื่องกินเรื่องเที่ยว แต่เขาก็ไม่ยอมแลกของสำคัญของตระกูลกับเรื่องพวกนี้เด็ดขาด!
"เอาเถอะๆ" ไป๋หลี่หมิงหัวเราะ "ในเมื่อท่านไม่ยอมเดิมพัน งั้นก็ลืมไปเถอะ"
"พี่เตียนอุย ท่านบอกว่ากองทัพของซุนเกี๋ยนยากที่จะชนะ แต่ในความคิดของข้า แผนการของซุนเกี๋ยนนั้นแยบยลนัก อีกไม่นาน เขาจะต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน"
"จริงหรือ? เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น? " เตียนอุยรีบถาม
"ท่านดูสิ" ไป๋หลี่หมิง ชี้ไปที่สนามรบ "กองทัพของซุนเกี๋ยนมีทหารราบมากกว่าหมื่นนาย ส่วนกองทัพศัตรูมีทหารม้าห้าพันนาย จำนวนต่างกันมากกว่าเท่าตัว"
"ผิวเผิน มันคือหูเจินที่กำลังนำทัพม้าโจมตีกองกำลังของซุนเกี๋ยนอย่างต่อเนื่อง แต่ท่านดูซุนเกี๋ยนสิ เขาแสดงท่าทีหวั่นไหวให้เห็นบ้างหรือไม่?"
เตียนอุยมองไปยังทิศทางที่ไป๋หลี่หมิงชี้
ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้อยู่ห่างไกลจากสนามรบมากนัก แต่ก็มองไม่เห็นสีหน้าของซุนเกี๋ยนชัดเจน
แต่พวกเขากลับเห็นแม่ทัพนายหนึ่งสวมชุดเกราะสีแดง ขี่ม้าอยู่ท่ามกลางกองทัพ ไม่ไกลนัก
เผชิญหน้ากับการโจมตีของข้าศึก ซุนเกี๋ยนกลับไม่มีท่าทีหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกแต่อย่างใด
"ที่เจ้าพูดมาก็ถูก แต่เหตุใดซุนเกี๋ยนจึงไม่ลงมือ?" เตียนอุย สงสัย
"เหตุผลที่ซุนเกี๋ยนไม่ขยับ มีอยู่สามประการ" ไป๋หลี่หมิง อธิบาย
"หนึ่ง เขาไม่ได้ต้องการเพียงแค่เอาชนะ แต่ต้องการกำจัดกองทัพของหูเจินให้สิ้นซาก ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ในการล่อให้ข้าศึกติดกับ"
"สอง ทัพม้าของข้าศึก อาศัยกำลังรุกที่หนักหน่วง รวดเร็ว และปราดเปรียว เข้าโจมตี"
"การที่ซุนเกี๋ยน ตั้งรับอย่างมั่นคง จะทำให้ข้าศึกลดความได้เปรียบลง"
"สาม กองทัพของซุนเกี๋ยนล้วนเป็นทหารราบ แม้จะเป็นทหารที่ฝึกฝนมาอย่างดี มีระเบียบวินัย แต่ก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีของทัพม้าได้ ซุนเกี๋ยนจึงต้องแสดงออกถึงความหนักแน่น มั่นคง เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับทหาร"
"เมื่อรวมทั้งสามข้อเข้าด้วยกัน ซุนเกี๋ยน ไม่ต้องการขยับ ไม่กล้าขยับ และไม่สามารถขยับได้"
"แต่ในตอนนี้ ขวัญกำลังใจของข้าศึกลดลง กำลังก็อ่อนล้า ถ้าซุนเกี๋ยนต้องการจะกำจัดทัพของหูเจิน ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว ถ้าข้าเดาไม่ผิด เขาจะต้องซุ่มกองกำลังเอาไว้อย่างแน่นอน"
"พอทัพของหูเจิน ติดกับเมื่อไหร่ ก็เป็นเวลาที่กองกำลังนี้ ปรากฏตัวออกมา โจมตีทัพของหูเจินจนแตกพ่าย"
"อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง" เตียนอุยพยักหน้า เหมือนกับเพิ่งเข้าใจอะไรบางอย่าง
"บุก!"
ทันใดนั้น เสียงตะโกนของแม่ทัพดังขึ้น ไป๋หลี่หมิงหันไปมองยังสนามรบอีกครั้ง
สถานการณ์เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ไม่มีผิดเพี้ยน ซุนเกี๋ยนเคลื่อนไหวแล้ว
กองทัพทหารราบที่เปรียบเสมือนกำแพงเหล็ก เคลื่อนที่อย่างพร้อมเพรียง เสียงกองทัพ เสียงร้องตะโกน ดังกึกก้องไปทั่วสมรภูมิ
ทัพม้าของหูเจิน ถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ เปรียบเสมือนเรือลำน้อย ที่ต้องเผชิญกับคลื่นทะเลอันเกรี้ยวกราด
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ทหารนับพันที่ซ่อนตัวอยู่บนเนินเขาก็กรูกันลงมาราวกับกระแสน้ำ
เตียนอุย มองดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
ทุกอย่างเป็นไปตามที่ไป๋หลี่หมิง คาดการณ์ไว้ไม่มีผิดเพี้ยน ไม่ว่าจะเป็น จุดประสงค์ ยุทธวิธี และผลลัพธ์ แม่นยำราวกับจับวาง
น้องชายของเขาช่างเฉียบแหลมยิ่งนัก!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ศึกครั้งนี้ซุนเกี๋ยนเป็นฝ่ายชนะ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เตียนอุยก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว และยิ้มอย่างขมขื่น
"น้องชาย เจ้ามันอัจฉริยะโดยกำเนิด ข้ายอมรับ!"
"เรื่องเล็กน้อย" ไป๋หลี่หมิง "ไปกันเถอะ เราไปต้อนรับท่านซุนเกี๋ยนที่เหลียงตงกัน"
"เหลียงตง?" เตียนอุยขมวดคิ้ว
"ทำไมต้องไปถึงเหลียงตงด้วย ซุนเกี๋ยนอยู่ตีนเขานี่เอง ทำไมไม่ลงไปหาเขาที่นั่นเลย"
"ไปตอนนี้ อาจจะไม่ได้เจอท่านซุนเกี๋ยน แต่ถ้าเป็นเหลียงตง ข้ารับรองซุนเกี๋ยนต้องไปตั้งทัพที่นั่นอย่างแน่นอน"
"ทำไม มั่นใจเช่นนั้น?"
"ข้าเดา"
ไป๋หลี่หมิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันมายิ้มให้เตียนอุย "พี่เตียนอุย ท่านอยากเดิมพันกับข้าอีกหรือไม่?"
"จะบ้าหรือไง!" เตียนอุยเบิกตากว้าง "ข้าไม่โง่พอ ที่จะเดิมพันกับเจ้าหรอก!"
"เหลียงตงงั้นรึ ไปก็ไป"
ว่าจบ เตียนอุยก็รีบวิ่งลงจากเขาไป โดยไม่รอให้ไป๋หลี่หมิงตอบรับแต่อย่างใด